ตอนที่แล้วChapter 6: ตาย !
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 8: ผิวหนังของย่าซี

Chapter 7: กำแพงแก่นวิญญาณ


ลิงปิศาจหงุดหงิดขึ้นมาทันทีและเริ่มไล่ตาม ฉินมู่ แต่หลังจากที่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวมันก็ตะหนักได้ถึงความเร็วที่น่ากลัวของ ฉินมู่ เพราะขนาดอันใหญ่โตของมัน  นี่เหมือนกับการดูถูกมันอย่างมาก  มันเริ่มถอนต้นไม้ออกทีละต้นๆและเริ่มใช้มันเขวี้ยงออกไปเหมือนกับหอก

“ตายซะ เด็กน้อย !”

ท่อนไม้พุ่งผ่านอากาศออกไปด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่ามันรุนแรงแค่ไหน่แต่การเขวี้ยงของลิงนั้นไม่ได้แม่นยำเท่าไหร่นัก  ดังนั้นท่อนไม้พวกนั้นจึงพลาดเป้าออกไปหลายหลา

ลิงปิศาจโกรธยิ่งกว่าเดิมและอยากโยนหอกต้นไม้ออกไปอีกแต่ ฉินมู่ นั้นได้วิ่งออกไปไกลแล้ว ไม่ว่ามันจะโกรธเพียงใดมันก็ไม่อาจปาออกไปโดนเขาได้  ดังนั้นที่มันทำได้ตอนนี้คือตีอกตัวเองด้วยความหงุดหงิดเท่านั้น

ศิษย์พี่กู่ นั้นเรียกคนอื่นออกมาเบาๆ – “การบ่มเพาะของเด็กปิศาจนั่นแน่นอนว่าน่ากลัวสำหรับเราและการบาดเจ็บของเขาต้องร้ายแรงกว่าข้าแน่  ไม่มีทางที่เขาจะหนีไปได้ไกลได้”

เขาผลักตัวเองให้กลับมายืน  เขาอดกลั้นความเจ็บปวดปะทุขึ้นมาที่อกตัวเอง  เขากลัวว่าซี่โครงเขาคงหักหลายซี่จากการโดนลิงปิศาจนั่นโจมตีเข้ามาแต่เขาเชื่อว่าถ้า ฉินมู่ นั้นทนได้ เขาก็ต้องทนได้ด้วย

เขาไม่คิดว่า ฉินมู่ จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้

การบ่มเพาะของ ฉินมู่ แน่นอนว่าไม่ได้อ่อนแอ  พลังฉีภายในของเขานั้นขาดคุณสมบัติของร่างวิญญาณ นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่เขาไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่

แม้ว่าจะยังเด็กแต่ก็ถ้ามาเปรียบเทียบเรื่องการบ่มเพาะกันแล้ว แน่นอนว่า ฉินมู่ นั้นไม่ได้อ่อนแอกว่าใครเลย ....รวมถึงศิษย์พี่กู่ด้วย !

พวกเด็กๆเดินอ้อมเขตของลิงปิศาจเพื่อตามหาร่องรอยของ ฉินมู่ อีกครั้ง  ก็อย่างที่ศิษย์พี่กู่ได้พูดไว้  ฉินมู่ นั้นคงได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเช่นกันทำให้อีกฝ่ายไม่มีตัวเลือกนอกจากลดความเร็วลงจนพวกเขาตามมาทัน

แต่แม้ว่าพวกนั้นจะไล่ตามต่อแต่พวกนั้นก็พบว่าความเร็วของ ฉินมู่ นั้นเพิ่มขึ้นราวกับว่าอาการบาดเจ็บนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเลย

“ปิศาจน้อยนี่คงมียารักษาที่อัศจรรย์เป็นแน่ !”

เด็กๆทั้งสี่คนใจหล่นวูบ   ศิษย์พี่กู่นั้นได้กินยาที่สำนักของพวกเขามองมาให้แต่ชัดเจนแล้วว่ามันไม่ได้ผลเท่ากับ ‘ ยา ‘ ของ ฉินมู่   เมื่อเห็นว่าความเร็วของ ฉินมู่ นั้นเพิ่มขึ้น พวกนั้นจึงเดาว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นแน่นอนว่าต้องฟื้นฟูได้ระดับที่เห็นด้วยตาเปล่าได้

ยาแบบนี้ทำให้พวกนั้นเกิดความโลภขึ้นมา

“ยาในสำนักของเรานั้นไม่ได้มีคุณภาพสูงที่สุด ถ้าเราจัดการจับปิศาจน้อยนั้นมาและเอายาจากเขามาได้ อาจารย์ของเราต้องยินดีและให้รางวัลเราอย่างงามแน่ !”

แต่กลับกันกับที่พวกเขาคิด  ฉินมู่ นั้นไม่ได้กินยาใดๆเลย  เขาแค่ปรับลมหายใจเข้าออกในตอนที่วิ่งทำเทคนิคร่างราชันสามชีวิตไปเรื่อยๆตามที่ผู้ใหญ่บ้านได้สอนเขามา  เทคนิคที่เขาไม่รู้ว่าคนทั่วไปนั้นเรียกสิ่งนี้ว่าทักษะเตาหยิน

การบ่มเพาะด้วยการใช้ทักษะร่างราชันย์สามชีวิตในตอนที่วิ่งนั้นทำให้เขาค้นนพบสิ่งใหม่  เขาตระหนักได้ว่าพลังฉีภายในของเขานั้นทำงานมากกว่าเดิมในตอนที่เขาวิ่ง  ความเร็วในการปรับลมหายใจเองก็เร็วขึ้นเช่นกัน

นี่คือสิ่งแตกต่างจากที่เขาเรียนมา  ทักษะร่างราชันย์สามวิญญาณที่ผู้ใหญ่บ้านได้สอนเขานั้นต้องให้เขาเข้าสมาธิและควบคุมลมหายใจ  ฉินมู่ เรียนรู้วิธีโคจรพลังฉีภายในและปรับตัวให้เข้ากับมันโดยใช้มันในการปรับสภาพร่างกาย

เขาทำตามสิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านสอนมากว่าสิบปีในการบ่มเพราะทักษะนี้ ตอนนี้เขาได้ค้นพบว่าทักษะนี้จะใช้ได้ดีกว่าเดิมในการบ่มเพาะมันในตอนที่วิ่ง

ฉินมู่ วิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้และโคจรทักษะได้เร็วขึ้นเรื่อยๆซึ่งมันได้ปรับตัวและพัฒนาทั้งความเร็วและสภาพร่างกายของเขา !

อีกอย่างเขาได้โคจรพลังฉีภายในผ่าอวัยวะภายใน,แขนขา,กระดูกและแม้แต่เส้นเอ็นระหว่างกล้ามเนื้อและกระดูกอยู่หลายรอบเพื่อชำระล้างพวกมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อวัยวะภายในและกระดูกที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของลิงปิศาจนั้นได้ฟื้นฟูขึ้นมาทีละนิดๆด้วยการชำระล้างของพลังฉีที่โคจรในตัวเขา

ศิษย์พี่กู่และคนอื่นๆคิดว่าเขาคงพึ่งยาระดับสูงแต่ไม่คิดว่าเขาจะพึ่งแค่ทักษะอันน่าเหลือเชื่ออย่างร่างราชันย์สามชีวิต

ฉินมู่ ตระหนักได้ว่าพลังฉีภายในเขายังไม่ได้ไปถึงจุดสำคัญจุดหนึ่ง – จุดตรงหว่างคิ้วของเขา

ตรงหว่างคิ้วนั้นมีพื้นที่ขาดพอๆกับนิ้วหนึ่ง

พลังฉีภายในนั้นยังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้  แม้ว่าพลังฉีภายในเขาจะผ่านไปทั่วทั้งกะโหลกและชำระล้างและทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นแล้วแต่มันก็หยุดทุกครั้งที่มาถึงหน้าผากของเขา  มันราวกับว่ามีกำแพงที่มองไม่เห็นกันพลังฉีไม่ให้ไหลผ่านเข้าไป

ในตอนที่เขาส่งพลังฉีไปตรงกำแพงนั้นก็ได้มีบางอย่างแปลกๆเกิดขึ้น

ฉินมู่ ได้ยินเสียงลึกลับดังขึ้นมา

เสียงนี้เหมือนกับเสียงที่มาจากท้องฟ้าไกลไปถึงสวรรรค์  เสียงมันดูศักดิ์สิทธิ์และน่าเคารพ เหมือนกับเสียงของพรเจ้าที่ส่องลงมาจากสวรรค์

ทุกครั้งที่เสียงนั้นดังขึ้นมา พลังฉีภายในของเขาจะถอยกลับไปราวกับคลื่นที่ควบคุมไม่ได้และผ่านจุดตรงหว่างคิ้วเขาไป

“รึว่ามันคือกำแพงแก่นวิญญาณ ?” - ฉินมู่ พูดกับตัวเอง

ฉินมู่ สับสน   ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆนั้นได้อธิบายเรื่องกำแพงและวิธีทลายกำแพงให้เขาฟัง  กำแพงนั้นคือสิ่งที่ผนึกจุดต่างบนร่างกายนักรบ  ในตอนที่กำแพงได้พังทลายแล้วจะได้พบกับจุดสวรรค์ด้านใน

แต่พวกนั้นไม่ได้บอกเขาว่ากำแพงแก่นวิญญาณนั้นอยู่ส่วนไหนของร่างกายและวิธีที่จะทลายกำแพงนั่นด้วย

ที่ ฉินมู่ ไม่รู้คือไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆจะไม่อยากบอกเขาเรื่องนี้  จริงๆแล้วมันไม่มีเทคนิคพิเศษอะไรในการทำลายกำแพงแก่นวิญญาณอยู่บนโลก

คนที่มีร่างกายธรรมาและคนที่มีร่างวิญญาณนั้นมีสิ่งที่อยู่ภายในสองอย่างต่างกัน

คนที่มีร่างวิญญาณนั้นะเกิดมาพร้อมกับกำแพงแก่นวิญญาณตั้งแต่กำเนิด ทำให้ตัวของพวกเขานั้นเหนือกว่าคนอื่นๆ   กำแพงแก่นวิญญาณของคนธรรมดานั้นกลับกัน  กำแพงพวกนั้นจะถูกผนึกไปตลอด  คนที่มีร่างวิญญาณจึงไม่ได้สนใจเรื่องคนธรรมดามากเท่าไหร่

แม้ว่าจะมีผู้ฝึกทักษะต่อสู้จากคนธรรมดาอยู่บ้างแต่ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆไม่เคยได้ยินว่าพวกนั้นจะทำลายกำแพงแก่นวิญญาณได้  ผลก็คือพวกเขานั้นไม่รู้ว่าคนธรรมดานั้นจะทำลายกำแพงนั้นได้อย่างไร

ในตอนที่เขาใช้พลังฉีภายในแผ่เข้าไปตรงหว่างคิ้ว ฉินมู่ ก็ยังคงทำการหลบหนีต่อไปด้วย  ทุกครั้งที่เสียงลึกลับดังขึ้นมา พลังฉีภายในของเขาจะถอยออกมาจากกำแพงนั่น  แม้ว่าตอนนี้เขาจะทลายกำแพงไม่ได้แต่ ฉินมู่ ก็ยังอดทนและเชื่อว่าเขาจะทำมันได้สำเร็จ

ฉินมู่ นั้นไม่ได้คิดจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน  เขาตัดสินใจว่าจะทำให้พวกนั้นแปลกใจหลังจากทลายกำแพงได้แล้ว

มันยากที่จะบอกว่าพวกนั้นจะแปลกใจ...รึช็อค

เพราะศิษย์พี่กู่และอีกสี่คนนั้นไล่ตาม ฉินมู่ อยู่ พวกนั้นจึงเริ่มกังวัลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ปิศาจน้อยนี่ไม่ใช่แค่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บแต่ความเร็วยังเพิ่มขั้นเรื่อยๆอีก !

ตอนนี้แหละคือสิ่งที่น่ากลัว  มันหมายความว่าแม้ ฉินมู่ จะทำการวิ่งหนีอยู่การบ่มเพาะของเขาก็ยังพัฒนาขึ้นไปด้วย !

แม้ว่าการเพิ่มความเร็วจะช้าลงและเริ่มคงที่แต่มันก็ยังคงน่ากลัวอยู่ดี !

การบ่มเพาะนคั้นมีกฎที่ทุกคนต้องทำตาม  แม้แต่คนที่ประสบผลสำเร็จก็จยังต้องทำการบ่มเพาะไปช้าๆไม่ใช่ในครั้งเดียว  ทุกคนนั้นต้องบ่มเพาะหลายวัน,รึหลายเดือนเพื่อที่จะพัฒนาการบ่มเพาะขึ้นเล็กน้อย

ด้วยกฎข้อนั้นทำให้พวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการบ่มเพาะของปิศาจน้อยนี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆซึ่งมันน่ากลัวสำหรับพวกเขา !

โชคดีที่ ฉินมู่ นั้นยังด้อยกว่าทั้งห้าคน  แม้ว่าการบ่มเพาะของเขาจะพัฒนาแต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างเขากับพวกนั้นอยู่

แต่การที่พวกนั้นจะตามเขาทันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย   เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บเพราะปิศาจลิง  ฉินมู่ นั้นต้องระวังตัวมากกว่าเดิมและหลบเลี่ยงเขตของพวกสัตว์อสรูแปลกๆ

เมื่อไหร่ก็ตาม ตอนที่หมอพา ฉินมู่ ออกมาเก็บสมุนไพร  ปู่หมอมักจะบอกเขาว่าสัตว์อสูรพวกนี้นั้นฉลาดอย่างมาก  พวกมันมีเขตของตัวเองและจะทิ้งเครื่องหมายบ่งบอกเอาไว้  เครื่องหมายเหล่านั้นก็รวมไปถึงต้นไม้ที่มีกองกระดูกฝังอยู่ที่พื้น, กองกะโหลกของสัตว์อสูรเป็นกองๆรึแม้แต่เยี่ยวของมัน  ตราบใดที่เห็นเครื่องหมายเหล่านั้น เขาก็จะหลบเลี่ยงอาณาเขตของมันได้

ในตอนที่ ฉินมู่ ไปพบกับปิศาจลิง มันได้มีเครื่องหมายของรอยกำปั้นบ่งบอกว่านี่คืออาณาเขตของมัน  ฉินมู่ นั้นบังเอิญวิ่งเข้าไปในอาณาเขตมันเพราะเขาไม่เห็นเครื่องหมาย  เนื่องจากตอนนี้เขาระวังตัวมากกว่าเดิม ทำให้เขาจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมซ้ำอีก

แต่แม้ว่าเขาจะไม่ได้บังเอิญเข้าไปในเขตของสัตว์อสูรพวกนั้นแต่ก็ยังมีพวกที่ออกมาหาอาหารนอกเขตของมันอยู่ ทำให้ดินแดนแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยอันตราย

ฉินมู่ วิ่งไปที่บ่อที่ซึ่งเขาเห็นสัตว์อสูรสองตัวกำลังสู้เพื่อแย่งอาณาเขตกันอยู่  สัตว์อสูรที่สู้กันนั้นคือแร้งหิมะหัวงูและมังกรงูพิษ  ตัวแรกนั้นได้สร้างเกล็ดลมขึ้นมาทั่วทั้งปีก  ร่างกายขนาดใหญ่ของมันทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า  ตัวหลังนั้นพุ่งลงไปในบ่อด้านล่างทำให้เกิดแรงระเบิดมหาศาลเพราะร่างกายอันยาวเหยียดของมัน

ก่อนที่ ฉินมู่ จะได้เข้าไปในบ่อก็เกิดพายุที่ซึ่งสัตว์สองตัวนั้นสร้างขึ้นมาพัดเขากระเด็นออกมา  เมื่อกลับมายืนที่พื้นแล้วเขาก็พบกับกระทิงที่เกือบจะกระทืบเขาตาย

“ข้าเริ่มไกลจากหมู่บ้านขึ้นเรื่อยๆแล้ว...”

เมื่อเขารู้แบบนั้นเขาก็ใจหล่นวูบ

คนห้าคนยังคงไล่ตามเขาอยู่ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะกลับหมู่บ้านไปได้แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ....

พระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้ว !

ฉินมู่ และ ท่านย่าซี ได้ออกจากหมู่บ้านมาตอนบ่าย  ตอนนี้พระอาทิตย์นั้นกำลังจะตกดินและความมืดนั้นจะมาเยือน   ถ้าเขากลับหมู่บ้านก่อนความมืดครอบคลุมไม่ได้แล้วเขาคงต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่หนักหนาเป็นแน่ !

“ท้องฟ้ากำลังจะมืดแล้ว ศิษย์พี่กู่ !”

ห่างไปด้านหลัง ฉินมู่   ศิษย์พี่กู่และพวกเองก็เห็นว่าพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแล้วเช่นกัน

เด็กคนที่ ฉินมู่ เตะใส่นั้นแสดงสีหน้าอึดอัด – “อาจารย์บอกว่าดินแดนแห่งนี้นั้นโดนสาป  พวกมันคือเขตหวงห้ามในตอนกลางคืน  เราต้องกลับไปที่หมู่บ้านซึ่งมีรูปปั้นหินคอยปกป้องอยู่ ! ไม่งั้นแล้ว....ทางเดียวที่เหลืออยู่คือความตาย !”

ศิษย์พี่กู่ส่ายหน้า – “มันสายเกินไปที่จะหันหลังกลับตอนนี้  ด้วยระยะทางที่เรามาได้ เราคงกลับไปที่หมู่บ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดินไม่ได้แน่   ความมืดเองก็เป็นอันตรายต่อปิศาจน้อยพอๆกับเรา   เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหาว่าปิศาจน้อยนั้นเขาจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน !”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด