ตอนที่แล้วChapter 127: ฉันจะชำระหนี้แค้นของฉัน!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 129: เทศกาลนักเวทย์

Chapter 128: กรงขัง


หลังจากกลับมาถึงสถาบันเวทมนตร์ ลิงค์ ก็ได้จัดการให้ ไรไล ได้เข้าพักในหอคอยเวทมนตร์ของ เอร์เรร่า ด้วยเช่นกัน

 

ในตอนที่ เอเลียร์ด กับ ลิงค์ พยายามที่จะเข้าสถาบันในอดีต พวกเขาได้พบเจอกับอุปสรรคมากมาย ไม่เพียงแค่พวกเขาต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการเข้าที่แพงหูฉี่เท่านั้น แต่พวกเขายังถูกปฏิเสธอีกหลายรอบเพราะว่าทักษะทางด้านเวทมนตร์ของพวกเขานั้นไม่เพียงพอ ในอีกด้านนึง ไรไล มีโอกาสได้ร่ำเรียนเวทมนตร์ในสถาบันโดยไม่เจออุปสรรคใดๆเลยเพราะว่า ลิงค์ เป็นคนปูทางให้กับเธอ

 

เส้นทางการร่ำเรียนเวทมนตร์ของ ไรไล นั้นช่างราบรื่นเสียจริงๆ

 

ลิงค์ ได้กลับสู่ชีวิตประจำวันของเขาที่หอคอยเวทมนตร์ของ เอร์เรร่า เช่นกัน เขาทดลองเวทย์ขั้นสูงสุดเวทย์ใหม่, เรียนเวทมนตร์บทใหม่และที่สำคัญที่สุดคือการเริ่มสร้างคทาของเขาอันใหม่ ลิงค์ ได้เตรียมพร้อมที่จะใช้วัตถุดิบหายากทั้งหมดที่เขามี เช่นไม้เพริลล่า,ทอเรียม,แร่ทองและแม้กระทั่งโดมิงโก้คริสตัลในการสร้างคทาอันทรงพลังนี้ 

 

ขณะที่ ลิงค์ ยุ่งอยู่กับการสร้างคทาอันใหม่ของเขา แอนโทนี่ กับเหล่าจอมเวทย์จากสภาทั้งหกก็ได้ผนึกพลังเวทย์ของเบลเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามที่ได้วางแผนไว้ เบล จะถูกส่งไปที่หอคอยแห่งอสุราในทันทีหลังจากนี้

 

เบล ถูกบังคับให้อยู่ในรถม้าที่ถูกปิดผนึกและมีนักเวทย์อย่างน้อยเลเวล 3, 4คนคอยตามอารักขาไปที่คุกที่อยู่ในมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหุบเขา

 

เนื่องจากพวกเขายังคงอยู่ภายใต้การตรวจตราแบบเรียลไทม์จากดวงตาเวทมนตร์ของสถาบัน ผู้ติดตามทั้ง4จึงดูผ่อนคลายมากๆ ไม่มีใครกล้าที่จะก่อความวุ่นวายใดๆเมื่ออยู่ต่อหน้าการตรวจตราที่แน่นหนาอย่างนี้แน่ๆ

 

พวกเขาทั้ง 4 นั้นเดินไปและคุยไปตลอดทาง; หัวข้อการสนทนาของพวกเขานั้นไม่เกี่ยวข้องกับ เบล เลยด้วยซ้ำ ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งของสภาทั้งหกเท่านั้นและไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของนักโทษที่อยู่ในรถม้าเลยด้วยซ้ำ

 

รถม้าได้เดินทางขึ้นเขาผ่านทางแคบๆของภูเขาที่มีลมรุนแรงประมาณ 5 นาทีก่อนที่จะถึงพื้นที่โล่งที่มีความกว้างอย่างน้อย 1,000 ตารางฟุต ที่กึ่งกลางของพื้นที่กว้างนั้นคือหอคอยที่ดูเก่าแก่สีขาว ตัวหอคอยนั้นไม่ได้สูงมาก มันมีแค่ 3 ชั้นและสูงประมาณ 30 ฟุตเท่านั้น จากภายนอก มันดูเหมือนกับหอคอยธรรมดาและไม่มีอะไรน่าสงสัย ยังไงก็ตาม จริงๆแล้วมันเป็นที่อยู่ของปีศาจ, สัตว์ร้าย, สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายและนักเวทแห่งความมืดที่ทางสถาบันเวทมนตร์ระดับสูงอีสโควฟได้จับมาผนึกเอาไว้กว่าศตวรรษ

 

เมื่อรถม้ามาถึง ประตูที่ชั้นแรกก็ได้เปิดออก นักเวทย์สวมหน้ากากที่ใส่ผ้าคลุมสีขาวได้เดินออกมาจากหอคอยและพูดอย่างเสียงดังราวกับฟ้าร้อง “นำตัวนักโทษมาให้ข้า”

 

นักเวทย์คนนี้คือผู้พิทักษ์ของหอคอยแห่งอสุราและเป็นที่รู้จักกันว่าแข็งแกร่งมากๆ พลังของเขานั้นเทียบเท่ากับนักเวทย์เลเวล 5 นักเวทย์ผู้ติดตามทั้ง 4 นั้นไม่ปล่อยให้เสียเวลาและทำตามคำสั่งของเขาในทันที พวกเขาปลดผนึกรถม้าและลาก เบล ที่สวมผ้าคลุมสีดำที่มีฮู้ดออกมาด้วยกำลัง

 

เบล นั้นเงียบตลอดเวลา เขาไม่ได้แสดงการต่อต้านอะไรเลยและดูเหมือนกับซากศพยังไงอย่างนั้น

 

เขารู้ว่าเขาจะต้องไปใช้เวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ในคุกและพบเจอกับความโดดเดี่ยว กลุ่มที่ชื่อว่าจอมเวทย์แห่งสภาทั้งหกนั้นช่างขี้ขลาด ไม่มีใครกล้าสั่งโทษประหารกับเขาเพราะกลัวว่าจะทำให้ชื่อเสียงของพวกเขาเปรอะเปื้อน พวกเขาจึงอาศัยวิธีการที่ทรมาน ด้วยการไว้ชีวิตเขาแต่ว่าเขาต้องอยู่กับชีวิตที่ทรมานชั่วนิรันดร์

 

แต่ว่าเขาจะทำอะไรได้? เขาได้สูญเสียพลังเวทมนตร์ของเขาไปแล้วและตำแหน่งของเขาด้วยเช่นกัน ร่ายการที่แปลงไปได้ครึ่งนึงของเขานั้นอ่อนแอซะยิ่งกว่าคนแก่ธรรมดาๆเสียอีก เขาเพียงแค่รอให้ยมทูตมาเคาะประตูเรียกเขาเท่านั้น

 

เบล ถอนหายใจออกมา จิตใจของเขาตอนนี้นั้นว่างเปล่าไม่สนใจต่อโลกภายนอก เพียงแค่เฝ้ารอการทรมานของเขาด้วยเวลาที่เหลืออยู่

 

ในตอนนั้นเอง เบล ก็รู้สึกได้ถึงแรงบีบอันหนักแน่นที่มือของเขาด้วยฝีมือของหนึ่งในนักเวทย์ผู้ติดตามที่เป็นคนคอยพยุงร่างกายของเขา การกระทำนี้มันไม่ปกติ-ดูเหมือนว่ามันจะเป็นคำใบ้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

 

เกิดอะไรขึ้น? เบล ตกใจ

 

จากนั้น เบล ก็รู้สึกได้ว่าได้มีของบางอย่างได้ถูกยัดเข้ามาในมือของเขา สิ่งของนั้นมีขนาดเท่านิ้วโป้งและแข็งมากๆ เหมือนกับหินก้อนเล็กๆ จากนั้นนักเวทย์ผู้ติดตามก็ได้กำมือของเขาให้เป็นรูปหมัด เป็นการส่งสัญญาณที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าให้ถือของสิ่งนี้ไว้แน่นๆ

 

เบล นั้นสับสนว่าใครกันที่จะมาช่วยเขา เขาเชื่อฟังและกำนิ้วของเขาไว้แน่นรอบๆหินก้อนเล็ก

 

นักเวทย์ผ้าคลุมสีขาวได้เอาคทาของเขาออกมาและชี้ไปทาง เบล, เบล ลอยขึ้นกลางอากาศในทันทีและค่อยๆลอยไปทางหอคอยแห่งอสุราอย่างช้าๆ และนักเวทย์ก็เดินตามไปติดๆ

 

เบล รู้สึกว่าประตูของหอคอยอยู่ใกล้ๆกับหลังของเขา นับจากนี้เป็นต้นไปความสัมพันธ์ของเขากับโลกภายนอกจะถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์

 

เนื่องจากการดำเนินการแปลงร่างที่ผิดพลาด เบล จึงตาบอดและไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งรอบข้างได้ เขาเพียงแค่รู้สึกอย่างเลือนลางว่าเขาได้ถูกพาลงไปยังห้องใต้ดิน

 

หลังจากผ่านไป 5 นาที เบล ก็ได้ยินเสียงของนักเวทย์ผ้าคลุมสีขาวอีกครั้ง “นี่คือห้องของเจ้า กำแพงได้ถูกเสริมพลังด้วยเวทย์กักกัน ถ้าเจ้าไม่อยากเจ็บตัวหล่ะก็ อย่าไปแตะต้องมันหล่ะ”

 

จากนั้น เบล ก็รู้สึกว่าตัวของเขานั้นได้ลงมายังพื้นและรู้สึกถึงลมหนาวที่หลังของเขา ตามมาด้วย เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่ห่างใกลออกไป ซึ่งมันอยู่เพียงแค่ประมาณ 3 วินาทีก่อนที่รอบๆของเขาจะตกลงสู่ความเงียบอย่างสมบูรณ์

 

“ตอนนี้ห้องได้ถูกผนึกอย่างสมบูรณ์แล้ว” เบล ถอนหายใจ เขายังคงกำหินปริศนาเอาไว้อย่างแน่นหนา เพื่อความปลอดภัย เบล รอเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มก่อนที่จะค่อยๆคลายมืออกและเริ่มที่จะลูบมันเบาๆด้วยนิ้วของเขา

 

ตัวหินนั้นมีความอุ่นในตอนที่สัมผัสและมีการแกะสลักที่ซับซ้อนที่รู้สึกได้อย่างชัดเจน มันน่าจะเป็นรูนชนิดหนึ่ง เบล ได้ควานหารอยแกะสลักอย่างช้าๆ พยายามที่จะหาว่ามันเป็นรูนชนิดไหนกันแน่

 

ประสาทสัมผัสของเขานั้นไม่ได้ว่องไวเหมือนแต่ก่อน เขาใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงและในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุป Wนี่มันรูนสื่อสาร!”

 

พลังเวทย์ของเขานั้นได้ถูกปิดผนึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเขาไม่สามารถใช้พลังจากมานาของเขาได้ ยังไงก็ตาม รูนเวทมนตร์นั้นสามารถใช้งานได้แม้ว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดาก็ตาม

 

หลังจากยุ่งอยู่กับหินรูนอยู่พักใหญ่ๆ เบล ก็เจอตำแหน่งของตัวเปิดใช้งาน เขารีบลบรูนผนึกที่อยู่บนหินทำให้เกิดการปั่นป่วนของสนามพลังเวทมนตร์เล็กน้อย หลังจากนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นในหัวของเบล

 

“นี่ท่าน เบล ใช่มั้ย?”

 

“ใช่ นี่ข้าเอง เจ้าเป็นใคร?” เบล ตอบในใจ

 

เจ้าของเสียงนั้นไม่ได้สนใจกับคำถามของ เบล และถามเขา “ท่านต้องการอิสรภาพและพลังเวทมนตร์ของท่านกลับคืนมามั้ย?”

 

นี่เป็นจุดอ่อนของ เบล เขาเลิกยุ่งกับคำถามก่อนหน้านี้ของเขาทันทีและถามอย่างรีบร้อน “เจ้าสามารถช่วยข้าได้งั้นรึ?”

 

“นี่ท่านคิดว่าข้ากำลังล้อเล่นงั้นเหรอ?” เสียงนั้นดูเหมือนว่ามันกำลังยิ้มอยู่เลย

 

“แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่มีพลังเวทมนตร์แล้ว แอนโทนี่ กับจอมเวทย์อีก 5 คนได้รวมพลังกันร่ายเวทย์ผนึกใส่ข้า ไม่มีใครในอาณาจักรนอร์ตันที่จะสามารถลบล้างมันได้ ยิ่งไปกว่านั้น มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะมีอิสรภาพในเมื่อข้าไม่มีพลังเวทมนตร์?” เบล ถอนหายใจ

 

“ใครบอกท่านว่ามันไม่สามารถลบล้างได้? และใครบอกว่าข้านั้นเป็นนักเวทย์จากอาณาจักรนอร์ตัน? ตราบใดที่ท่านเชื่อใจข้า อะไรๆก็เกิดขึ้นได้” เสียงนั้นฟังอู้อี้ๆมากขึ้นจนทำให้มันดูน่าหลงไหล

 

เบล ตกอยู่ในความเงียบ จากนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ของเขาในตอนนี้เป็นกรณีที่แย่ที่สุด ขนาดความตายก็ยังดีกว่าสภาพที่เขาเป็นอยู่ในตอนนี้ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงใดๆก็ตามอาจจะทำให้มันมีแต่ไปในทางที่ดีขึ้น และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล

 

“แล้วข้าต้องทำอะไรบ้าง?” เบล ถาม

 

“ท่านจะต้องทำ...”

 

เสียงนั้นกระซิบภายในจิตใจของ เบล เมื่อ เบล ได้ฟังเขาก็รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่เสียงนั้นอธิบายจบ เบล ก็ส่ายหัวของเขาอยู่ในใจ

 

“ไม่ นี่มันจะทำให้ทั้งสถาบันล่มสลายนะ!”

 

“นี่ท่านยังคงเป็นห่วงสถาบันอยู่อีกเหรอ? สถาบันที่กักขังท่านและเอาพลังเวทย์ของท่านไปหน่ะ?” เสียงได้ทำการโต้แย้ง

 

“ข้า...” เบล พูดไม่ออก ตอนนี้เขานั้นเป็นความอับอายขายหน้าของสถาบัน สถาบันต้องการที่จะตัดขาดการติดต่อทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับนักเวทย์ที่ตกลงสู่ด้านมืด  ดังนั้นต่อให้สถาบันจะถูกทำลายและนักเวทย์จะถูกฆ่ามันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว

 

“จัดการซะ เบล เอาเรื่องมิตรภาพออกไป จรรยาบรรณและกฎระเบียบได้บดบังสายตาของเจ้า พวกมันเป็นแค่สิ่งหลอกลวงที่เป็นตัวจำกัดอิสรภาพของเจ้า เจ้าจะต้องทำลายห่วงโซ่นั้นที่ปิดผนึกตัวเจ้าอยู่!” เสียงนั้นค่อยๆดังขึ้นและดูน่าหลงใหลยิ่งขึ้น

 

เบล เงียบไปเป็นพักใหญ่ๆ และในที่สุดเขาก็ถามออกมา “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

 

“ข้าคือผู้ส่งสารจากความมืด 5555555”เสียงนั้นค่อยๆเบาลงและ เบล ก็รู้สึกว่าหินที่มือของเขานั้นสั่นก่อนที่มันจะกลายเป็นผงไป

 

ในกรงขังที่เปล่าเปลี่ยวด้วยความมืดอันน่าอึดอัด เบล นอนนิ่งอยู่ที่พื้น ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

...  

 

ที่ป่าที่อยู่ภายนอกของสถาบันเวทมนตร์ระดับสูงอีสโควฟ นักเวทย์ผ้าคลุมดำได้ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้า ยืนอยู่ข้างหน้าวงเวท ดูเหมือนว่าเขาจะถูกปกป้องโดยสิ่งที่พร่ามัวที่ยืนอยู่ข้างๆเขา ด้านในของวงเวทนั้นมีหินรูนส่องสว่างอยู่และยิงแสงสว่างจ้าขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ลำแสงนั้นก็ได้หายไปและหินรูนก็ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ และวงเวทย์ก็หยุดการทำงาน

 

เงาดำนั้นบ่นขึ้นมาในทันที “เฟลิเดีย อย่าทำให้ข้าต้องทำแบบนี้อีกนะ ลอบเข้าไปในสถาบันนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ข้าเคยทำมาในชีวิตเลย!”

 

“แต่มันก็ได้ผล ไม่ใช่เหรอ?” นักเวทย์นั้นคือ เฟลิเดีย ดาร์กเอลฟ์อัจริยะที่เคยประมือกับ ลิงค์

 

“มันยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่าพวกเราทำสำเร็จ ใครจะรู้ว่าความคิดของสภานั้นได้ผลหรือเปล่า? ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราก็ยืนยันไม่ได้ว่าไอโง่ในหอคอยนั่นจะทำตามคำแนะนำของพวกเราไหม”

 

“ใจเย็นสิ รัฐมนตรีนั่นเป็นถึงนักเวทย์เลเวล 8 แม้แต่ แอนโทนี่ ก็ไม่แข็งแกร่งขนาดนั้น พวกเราได้หว่านเมล็ดพันธ์แห่งความสิ้นหวังเอาไว้แล้ว ทั้งหมดที่พวกเราต้องทำก็คือรอ”

 

“ข้าก็หวังอย่างนั้น”

 

...  

 

ในเวลาเดียวกัน ลิงค์ ที่ได้เก็บตัวอยู่ที่หอคอยเวทมนตร์ก็ได้รับจดหมายจาก แจ็คเกอร์ ดูจากลายมือที่อ่านไม่ออก ลิงค์ คิดว่าจดหมายนี่ แจ็คเกอร์ น่าจะเป็นคนเขียนมันเอง เขาพยายามที่จะตีความมัน จ้องอ่านทุกตัวอักษร มันดูเหมือนกับจดหมายตอบจากอัศวินหลวง แอนเดอร์สัน ซึ่งบ่นเกี่ยวกับเรื่องที่รถม้าที่ส่งตัว ดาริส นั้นมาไม่ถึง

 

ลิงค์ ตกใจและไปหา เอร์เรร่า ในทันที

 

ในอีกด้านนึง เอร์เรร่า ก็เพิ่งได้รับข่าวมาไม่นานนัก เธอมีสีหน้าเคร่งเครียด

 

“ดาริส หายตัวไปจริงๆ ทางสถาบันได้ส่งนักสืบไปแล้ว ฉันเชื่อว่าพวกเราจะได้รับเบาะแสในอีกไม่กี่วันนี้”

 

“ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่องเลยหล่ะ?” ลิงค์ มีลางสังหรณ์ว่ามันจะต้องเป็นผลงานของดาร์กเอลฟ์แน่ๆ

 

“นายยุ่งอยู่กับการสร้างคทาอันใหม่ของนายและฉันก็ไม่อยากรบกวนกระบวนการของนายด้วย ไม่ต้องกังวลไปและเฝ้ารอผลอย่างอดทนเถอะ” เอร์เรร่า พูดปลอบใจ

 

มันคือความจริง ลิงค์ ไม่ใช่พระเจ้าและเขาก็ไม่สามารถเข้าร่วมกับเหตุการณ์ทุกอย่างในโลกแห่งฟิรุแมนได้ เขาต้องใช้เวลาในการพัฒนาตัวเองเช่นกัน…เขาหวังว่าเขาจะมีเวลามากกว่านี้

 

ขอเถอะนะอย่าเป็นพวกด้านมืดเลย...ไม่ใช่ตอนนี้...

 

สิ่งเดียวที่ ลิงค์ ทำได้ก็คือแข็งแกร่งให้มากยิ่งขึ้นเพื่อเตรียมตัวรับมือกับโศกอนาถกรรมที่กำลังจะมาถึง

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด