ตอนที่แล้วThe Dark King – Chapter 25 บันทึกของนักเล่นแร่แปรธาตุ [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปThe Dark King – Chapter 27 รางวัล [อ่านฟรี]

The Dark King – Chapter 26 สิบวัน [อ่านฟรี]


“ดูนั่น มีรอยเท้าอยู่” คนที่ร่างกายกำยำพูดขึ้นมา

 

ทั้งสามคนมองไปผืนทรายที่มีรอยเท้าและร่องรอยที่ถูกทิ้งเอาไว้ ใบหน้าอันสง่างามของหญิงสาวเปลี่ยนไป “มันเป็นรอยเท้าของเด็ก ให้ตายสิ นักเล่นแร่แปรธาตุคนนี้ทดลองเกี่ยวกับมนุษย์ซะด้วย ฉันจะลงไปดูหน่อย” หลังสิ้นสุดคำกล่าวหญิงสาวกระโดดลงไปในทันที

 

ในช่วงเวลาต่อมา เธอกระโดดขึ้นมาจากข้างล่าง ถ้าหากฟู่เทียนยังคงอยู่ที่เขาจะต้องตะลึงอย่างแน่นอน เพราะความสูงจากข้างบนกับห้องด้านล่างมีมีความสูงถึงสามเมตร ด้วยการกระโดดระดับนี้จะต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเพียงใดกันถึงจะทำได้?

 

“คนๆนี้เป็นนักเล่นแร่แปรธาตุด้าน ‘ชีวิต’ หญิงสาวผู้สง่างามถือเหรียญสีดำเอาไว้ บนเหรียญนั่นมีดวงดาวห้าดวง (★) สลักเอาไว้ ตามความเชื่อของเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุ พวกเขาปฏิเสธที่จะเชื่อเรื่องผู้สร้างหรือพระบิดา แต่บนท้องฟ้าเหนือศรีษะพวกมัน มีนักเล่นแร่แปรธาตุบางคนยังคงมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างดวงดาวขึ้นมา”

 

ซึ่งนักเล่นแร่แปรธาตุเหล่านี้หันเหเข้าสู่อาชีพที่รู้จักกันในนามผู้แสดงหาดวงดาวศักดิ์สิทธิ์

 

เหล่าผู้แสดงหาดวงดาวศักดิ์สิทธิ์มีหน้าที่ในการทำนายโชคชะตาให้กับผู้คน และพวกเขายังถูกไล่ล่าโดยโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ เหตุผลง่ายๆก็เพราะผู้คนสามารถติดต่อพระบิดาได้ผ่านโบสถ์ศักดิ์สิทธิ์เพียงทางเดียวเท่านั้น มีเพียงพระสันตะปาปาระดับสูงเท่านั้นที่สามารถเข้าใจประสงค์ของพระบิดาได้ สิ่งอื่นๆเป็นเพียงความต้องการของลัทธิที่ชั่วร้ายทั้งสิ้น

 

“ฉันไม่คิดว่าเขาจะมีร่างกายแข็งแรงนัก” ชายในร่างกำยำกล่าว “นักเล่นแร่แปรธาตุระดับ3ดาวควรจะมีพลังพิเศษครอบครองอยู่ เพื่อที่จะสังหารเขาอาจะต้องมีนักเล่นแร่แปรธาตุหลายคนหรือ….นักเล่นแร่แปรธาตุระดับ4ดาวอยู่ด้วย”

 

หญิงสาวที่มีมบหน้าอันสง่างามรู้สึกเศร้าหมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ “สั่งให้คนมาขุดร่างของเด็กพวกนี้ อย่างน้อยพ่อแม่ของพวกเขาควรได้รับรู้ เป็นเพราะพวกเขาตายด้วยการการฝึกฝน”

 

“หวังว่าจะระบุร่างของพวกเขาได้นะ” คนที่ตัวเตี้ยถอนหายใจ

 

หญิงสาวที่มีใบหน้างดงามไม่ได้กล่าวอะไรอีก

 

“นายลองหาเบาะแสบริเวณรอบๆ ฉันจะเอาร่างของนักเล่นแร่แปรธาตุไปให้พวกอัศวิน อย่างไรก็ตามตรวจสอบสิ่งของภายในบริเวณนี้ด้วย” ชายในร่างกำยำพูดจบก็กระโดดลงไปด้านล่าง

 

หญิงสาวที่มีใบหน้าสวยงามและอีกร่างที่เตี้ยกว่าต่างหยิบอาวุธของตนออกมาและเดินไปรอบๆเพื่อหาเบาะแส

 

 

 

ชั่วพริบตาเดียว เวลาผ่านไปสิบวัน

 

ฟู่เทียนและเพื่อนทั้งสามกำลังพักพิงอยู่กับต้นไม้ในทะเลทราย ทะเลทรายอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาครอบคลุมวิสัยทัศน์เอาไว้ทั้งหมด ร่างกายของพวกเขาแห้งเหี่ยวเพราะการขาดน้ำ และผลที่ตามมาคืออุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น

 

“สิบวันแล้ว….” เมสันกำลังเคี้ยวรากของหญ้าเพื่อหาน้ำอยู่ “พวกเราจะต้องเดินทางกลับกันเองสินะ? ฉันแทบจะไม่มีแรงเหลือแล้ว”

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะดีน พวกเราคงไม่รอดจนถึงสิบวันหรอก” ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราถูกกำจัดทิ้ง สิ่งที่เป็นได้ที่สุดที่จะเกิดขึ้นคือหายะทางการเงินของครอบครัวของพวกเรา” แชมกล่าว

 

เมสันกลอกดวงตาของตนและกล่าว “นั่นเป็นเหตุที่ฉันชอบพูดว่า ดีนคือผู้มีพระคุณของฉัน”

 

ฟู่เทียนชำเลืองไปมองและพูดว่า “นายรู้ว่าฉันเป็นผู้มีพระคุณ แต่เมื่อคืนนายก็ไม่ได้ให้น้ำฉันเลยสักนิด”

 

เมสันหน้าแดงพร้อมกล่าว “ฉันเหนื่อยและหิวน้ำไปหน่อย ถ้าพวกเรากลับไปได้ ฉันจะเอาน้ำไปให้นายทุกวันเลย หรือให้คุณยายเอาไปให้ก็ยังได้”

 

ฟู่เทียนยักไหล่ “ฉันไม่ได้อยากเป็นคุณตาของนายสักหน่อย”

 

“ฉันเป็นคนอ่อนแอใช่ไหม?”

 

“อย่างน้อยนายก็ยังมีแรงพูดล่ะนะ” แซคกำลังนั่งอยู่ในฝั่งตรงข้าม

 

“งั้นนายก็ควรเป็นคนกลับไปบอกทุกๆคนว่าพวกเรากำลังติดอยู่ที่นี่”

 

“ฉันผิดไปแล้ว ผิดไปแล้ว ฉันไม่มีแรงเหลืออยู่เลย เพราะฉะนั้นนายควรเป็นคนไปบอกพวกเขา! ต้องฝากด้วยล่ะนะ!”

 

“นายนี่ไม่รู้จักทำอะไรและยังเก่งแต่พูดจริงๆ” แซคตอบกลับ

 

ในช่วงสิบวันมานี้พวกเขาทั้งสี่ได้เผชิญความยากลำบากไปด้วยกัน พวกเขาค่อยๆกลายมาเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง พวกเขาไม่มีอะไรให้ปกปิดต่อกันอีก และเป็นไปตามคาด แชม แซค ฟู่เทียน กำลังได้รู้จักกับอีกด้านของเมสัน นั่นคือการรู้จักหยอกล้อกับคนอื่นๆ

 

ตึ๊ง! ตึ๊ง!

 

ทันใดนั้นเองมีเสียงระฆังดังขึ้น

 

พวกเขาหันไปพบกับอูฐที่มีความสูงกว่าห้าเมตรกำลังเดินอยู่บนทะเลทราย มันลากไม้อานไม้ที่ยาวกว่าสิบเมตร มีเด็กเจ็ดถึงแปดคนกำลังนั่งอยู่บนนั้น

 

ฟู่เทียนรู้สึกตะลึง รังสีจากนิวเคลียร์มีผลกระทบมากมายกับโลกใบนี้  แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ายีนของอูฐจะถูกพัฒนามาได้ถึงขั้นนี้ กล่าวคือขนาดของมันใหญ่กว่าวสองเท่าเมื่อเทียบกับอูฐขนาดปกติและยังมีเกล็ดคล้ายๆกับเกล็ดงูปกคลุมอยู่ที่กับเท้าของมัน ราวกับมันเป็นสัตว์เอาไว้ออกรบ

 

แม้จะเคยเห็นม้าตัวสีดำขนาดสามเมตรมาก่อนหน้า แต่อูฐตัวนี้ได้รับผลกระทบจากรังสีมากไปอีกขั้นจริงๆ “นั่นมันอูฐนี่!!” แซครู้จักสัตว์ชนิดนี้ เขาตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ “มันเป็นสัตว์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับใช้งานในทะเลทรายล่ะ ฮะ ฮ่า...” เขากำลังจะหัวเราะแต่ก็มีลมพัดผ่านพาเม็ดทราบเข้าไปในปาก ทำให้เขาสำลักออกมา

 

ฟู่เทียนมองไปยังเด็กๆที่นั่งอยู่บนอานนั่น คนพวกนั้นคงได้รับการประเมินให้ผ่านสำหรับการฝึกฝนในครั้งนี้

 

เหมือนกับว่าการประเมินผลได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เขารู้สึกโล่งใจขึ้น ในที่สุดเขาก็จะได้กลับไปพักผ่อนและมีโอกาสได้อ่านบันทึกของนักเล่นแร่แปรธาตุคนนั้น เขาค่อนข้างสนใจในวิทยาศาสตร์ของโลกปัจจุบันนี้

 

“พวกเธอทั้งสี่คนมาสิ” มีหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าพร้อมนั่งอยู่บนอูฐกล่าวออกมา ฟู่เทียนและเพื่อนๆต่างลากสังขารก็ตัวเองมุ่งหน้าไปยังอูฐและตรงไปยังอานนั่ง

 

“พวกนายทั้งสี่คนรอดชีวิต” ในคราวนี้เด็กชายในร่างผอมที่นั่งอยู่บนอานกล่าวพูดกับพวกเขาด้วยท่าทีประหลาดใจ

 

ฟู่เทียนมองไปยังผู้กล่าว เขาจำได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้อยู่ห้องถัดไปจากพวกเขา ฟู่เทียนยิ้มออกมาและไม่ได้กล่าวอะไรตอบ

 

เมสันกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ฉันคิดว่านายน่าจะไม่รู้ว่าพวกเราเป็นใคร พวกเราคือสี่คนที่สุดยอดที่สุด การเอาชีวิตรอดสิบวันในทะเลทรายไม่ได้มีผลอะไรกับพวกเราเลย ถ้าหากเป็นสักยี่สิบห้าหรือสามสิบวันอาจจะยากขึ้นมานิดหน่อย”

 

แชมกระซิบ “หยุดทำอะไรโง่ๆได้แล้ว ถ้ายังอยากให้พวกเราเป็นเพื่อนกับนายอยู่”

 

แซคยักไหล่: “นิสัยของเขาชอบพูดโอ้อวด จะให้แก้คงไม่ง่ายนักหรอก”

 

เมสันหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเขาเปลี่ยนความเงียบงันบนหลังอานให้เป็นบรรยากาศแห่งความสนุก

 

เด็กหนุ่มร่างผอมถอนหายใจและกล่าว “ฉันและเพื่อนๆอีกสามคนไม่ได้รวมตัวอยู่ด้วยกัน พวกนายโชคดีชะมัด!” มีแต่ความโดดเดี่ยวและความเสียใจปรากฏบนใบหน้าของเขา เป็นเพราะเพื่อนๆทั้งสามแยกตัวออกไปและทิ้งเขาไว้กับคนอื่นๆ

 

เด็กคนอื่นๆที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างรู้สึกเศร้าใจเพราะพวกเขาส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้

 

ฟู่เทียนไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขามังไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่บนหลังอูฐ ในใจก็คิดถึงปัญหาต่างๆ… เธอปีนขึ้นไปบนหลังอูฐได้ยังไง?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด