ตอนที่แล้วตอนที่ 108 องค์ชายจักรพรรดิที่สาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 110 แอบบุกรุก

ตอนที่ 109 ใส่ร้าย


“ฮ่าๆๆ การชิงทรัพย์คือการกระทำที่เลวร้ายและไร้ยางอาย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าองค์ชายสามจะเข้ามาข้องเลย!” เว่ยเหอเลออดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้น แม้ว่าสำนักจะไม่คิดที่จะสืบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จากการที่มีตระกูลจักรพรรดิเข้ามาเกี่ยวด้วย แม้จะเป็นสถานะของหวู่ซงหลินก็ไม่มีความหมาย!

 

เหตุการณ์ใดก็ตามที่มีตระกูลจักรพรรดิเข้ามาเกี่ยวด้วย ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก และหลิงฮันที่กล้าขโมยสิ่งของที่เป็นขององค์ชายสาม นั่นจะต้องหมายถึงความตายแน่นอน

 

“อย่างไรก็ตาม พวกเราต้องคิดหาเหตุผลด้วยไม่ใช่รึ ว่าเจ้านั่นจะขโมยเพื่ออะไร?” เว่ยเหอเลอหยุดหัวเราะและถามขึ้นมา

 

เฟิงหลัวหัวเราะในใจและพูด “นี่คือเหรียญตราขององค์ชายสามที่จะมอบให้เพียงคนไม่กี่คนเท่านั้น คนที่ครอบครอบมันจะถือว่าเป็นสหายขององค์ชายสาม มันไม่ใช่สัญลักษณ์ที่เอาไว้แสดงสถานะเท่านั้น มันยังสามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายในร้านอาหารหรือโรงแรมในเมืองจักรพรรดิได้อีกด้วย”

 

“โอ้!” เว่ยเหอเลอแสดงสีหน้าอิจฉาออกมา ถึงแม้มันจะเป็นอัจฉริยะในด้านปรุงยา มันก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากองค์ชายสามและไม่ได้รับของขวัญที่มีค่าเช่นเหรียญตรานี่ และตอนนี้มันต้องมาเห็นนายน้อยเสเพลที่ถูกตามใจมาตลอดกำลังถือเหรียญตราอยู่ จะไม่ให้รู้สึกอิจฉาได้อย่างไร?

 

เฟิงหลัวยิ้มอย่างภูมิใจ สิ่งนี้มันได้รับมาจากเฟิงหยางเพราะพี่ชายของมันกลัวว่ามันจะพบเจอปัญหาในเมืองจักรพรรดิ ถ้าเฟิงหลัวถือครองเหรียญตราขององค์ชายสามเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องไว้หน้าองค์ชายสาม เฟิงหลัวแตะไปที่ไหล่ของเว่ยเหอเลอและพูด “นายน้อยเว่ย หน้าที่ในการใส่ร้ายหลิงฮันจะเป็นงานของเจ้า”

 

“ข้า?” เว่ยเหอเลอดูท่าทางตะกุกตะกัก มันรู้เพียงแค่วิธีการหลอมเม็ดยาและเดินเตร็ดเตร่ไปมาเพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นถึงสถานะที่สูงส่งของมัน การใส่ร้ายคนอื่นเป็นงานที่มันไม่เคยทำมาก่อน ยิ่งกว่านั้น ในอดีตมีคนมากมายที่ต้องการจะเอาใจมัน และไม่ว่ามันอยากจะทำอะไรมันก็แค่พูดออกไปเดี๋ยวก็มีคนทำให้เอง เมื่อใดกันที่มันจะต้องเป็นคนสงมือทำอะไรด้วยตัวเอง?

 

“อะไรกัน? เจ้าไม่อยากทำงั้นรึ?” เฟิงหลัวยิ้มอย่างเย็นชาและแกล้งทำเป็นเก็บเหรียญตรากลับไป “งั้นก็ลืมไปเถอะ ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าก็เพียงแค่อยากจะช่วยเจ้าแก้แค้นเท่านั้น แต่ในเมื่อเจ้าไม่อยากจะทำข้าก็ไม่ฝืนใจเจ้า!”

 

“เดี๋ยวก่อน!” เว่ยเหอเลอรีบตะโกนขึ้นมา มันกัดฟันและพูด “ข้าจะทำเอง!”

 

มันรู้สึกขมขื่นเป็นอย่างมาก ที่มันล่วงเกินหลิงฮันก็เป็นเพราะมันยืนอยู่ฝ่ายเฟิงหลัวไม่ใช่รึไง? แต่ตอนนี้หมอนี่กลับพูดว่าอยากจะช่วยมันแก้แค้นและเปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือ ช่างเลือดเย็นจริงๆ!

 

แต่หลังจากที่มันถูกไล่ออกโดยหวู่ซงหลิน มันไม่ใช่นายน้อยเว่ยเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป มันเป็นเพียงนักปรุงยาระดับเหลืองขั้นต่ำ แล้วมันจะมีอะไรไปต่อต้านเฟิงหลัว?

 

เฟิงหลัวมีอัจฉริยะในด้านวรยุทธคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และเพราะพี่ชายของมัน อนาคตของเฟิงหลัวจึงไร้ขอบเขต นักปรุงยาที่ตกอับอย่างมันจะไปเทียบได้อย่างไร?

 

ด้วยสภาพที่ย่ำแย่เช่นนี้ เว่ยเหอเลอจึงทำได้เพียงก้มหัวยอมรับ ถ้ามันกล้าที่จะปฏิเสธเฟิงหลัว นั่นก็หมายถึงการทิ้งโอกาสเดียวที่จะมีอนาคตที่สดใส แต่ถ้ามันติดตามเฟิงหลัวต่อไป ในอนาคตยังมีโอกาสที่มันจะได้ออกไปจากแคว้นพิรุณ และหนีออกจากเงาของหวู่ซงหลิน

 

มันรับเหรียญตราสีม่วงมาและเดินช้าๆไปอยู่ข้างๆเฟิงหลัว มือทั้งข้างของมันกุมต่ำอยู่ที่หน้าท้อง แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งที่ต่ำต้อยกว่าอีกฝ่าย

 

“ฮ่าๆๆๆ!” เฟิงหลัวหัวเราะดังลั่น ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

 

แม้แต่พี่ชายของมันก็คงไม่เคยคิดว่ามันจะสามารถทำให้นักปรุงยามาอยู่ใต้บัญชาได้สินะ? ไหน? ใครกันกล้ามาพูดมันเป็นนายน้อยที่ไม่ได้เรื่อง! ทำไมเจ้าไม่ลองทำให้นักปรุงยาระดับเหลืองแสดงความเคารพต่อตัวเจ้าเองบ้างล่ะ?

 

เว่ยเหอเลอก้มหัว ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความโกรธและความเสียใจ แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่มีทางที่จะย้อนเวลากลับไปได้

 

***

 

หลังจากกินอาหารกับหลิงฮันเสร็จ ฉีซางไต๋กลับไปยังตำหนักโอสถสวรรค์ ส่วนหลิงฮันได้พาฮูหนิวเดินไปยังร้านค้าต่างๆเพื่อซื้อวัสดุในการสร้างพื้นที่ส่วนตัวในลานที่พักของเขา จากนั้นจึงเดินทางกลับไปยังสำนัก

 

ตอนนี้เขาไม่รีบที่จะใช้เม็ดยาสองดารา สิ่งที่จำเป็นที่สุดในตอนนี้คือการสร้างพื้นที่ต้องห้ามรอบๆลานที่พักของเขา

 

นี่คือวิธีการสร้างระบบเตือนภัย ถ้ามีใครบุกรุกเข้ามาในลานที่พักของเขา จะเกิดการแจ้งเตือนที่มีเพียงแค่เขาที่รับรู้ได้ขึ้นมา ถึงแม้เขาจะไม่อยู่ในห้อง มันก็จะยังคงหลงเหลือร่องรอยที่บอกว่ามีผู้บุกรุกเข้ามายังลานที่พักของเขาอยู่ดี

 

ตอนนี้เขามีวัสดุที่จำกัด ดังนั้นจึงสามารถสร้างได้เพียงเขตหวงห้ามแบบง่ายๆ ถ้าเป็นในชีวิตที่แล้ว  แม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ก็ไม่กล้าบุกเข้ามายังที่พักของเขา

 

“ข้าจะใช้วัสดุเท่าที่มีก่อนแล้วกัน เพราะอย่างไรตอนนี้ข้าก็ไม่มีศัตรูอยู่แล้ว” หลิงฮันบ่นพึมพำ

 

...ถ้าหลิวอู๋ตง ฉีฮวงเย่ และคนอื่นๆมาได้ยินคำพูดนี้ พวกมันคงจะกระโดดคัดค้านแน่นอน

 

ไม่มีศัตรู? เจ้ากล้าคำนั้นออกมารึ!

 

อู่โปวก็คนหนึ่ง เฟิงหยางก็อีกคน เหอจุนเฉิงเองก็นับว่าเป็นศัตรูเหมือนกัน ไหนจะยังมีหนานกงจื้ออีก คนเหล่านี้ไม่ใช่บุคคลที่จะล่วงเกินได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอู่โปวกับเฟิงหยาง อู่โปวเป็นนายน้อยของตระกูลอู่ และเฟิงหยางเป็นอัจฉริยะในด้านวรยุทธที่มีศักยภาพจะกลายเป็นราชัน ถ้าคนเหล่านี้ยังไม่เรียกว่าเป็นศัตรู แล้วต้องเป็นคนแบบไหนกันหลิงฮันถึงจะคิดว่าเป็นศัตรู?

 

พวกมันไม่รู้เลยว่าถึงแม้ตอนนี้พลังบ่มเพาะของหลิงฮันจะอ่อนแอ แต่ศักดิ์ศรีของจอมยุทธระดับสวรรค์ได้ฝังลงไปจนถึงกระดูกเขาแล้ว เขาจะไปเก็บเรื่องของพวกมดปลวกมาคิดมากทำไม? ในชีวิตที่แล้วเขาจะไม่ยอมก้มหัวให้ใครเด็ดขาด

 

เขตหวงห้ามนั้นเป็นแบบเรียบง่าย หลิงฮันจึงใช้เวลาไปไม่นานเท่าไหร่ หลังจากนั้นเขาได้กลืนเม็ดยาสองดาราลงไป และเริ่มเสริมแกร่งให้กับสัมผัสสวรรค์ของเขา

 

จากความรู้ของหลิงฮัน ในโลกนี้ไม่มีทักษะบ่มเพาะที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับสัมผัสสวรรค์ได้ มีเพียงเฉพาะตอนที่ระดับพลังของจอมยุทธเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้นระดับของสัมผัสสวรรค์ถึงจะเพิ่มขึ้น อย่างเช่นเมื่อตอนที่เขายังอยู่ในระดับสวรรค์ เพียงแค่การสั่นจิตวิญญาณเล็กน้อยก็สามารถบดขยี้วิญญาณของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณได้โดยตรง!

 

แต่เขาสงสัยมาตลอดว่า ในเมื่อสัมผัสสวรรค์สามารถใช้ทักษะบ่มเพาะในการฟื้นฟูและสามารถเสริมให้แข็งแกร่งได้ด้วยเม็ดยาหรือโอสถศักดิ์สิทธิ์ งั้นก็อาจจะเป็นไปได้ที่จะสามารถทำให้สัมผัสสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นโดยทักษะบ่มเพาะ เพียงแต่ทักษะบ่มเพาะประเภทนี้ยังไม่ถูกค้นพบก็เท่านั้นเอง

 

ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

 

เพราะถ้าไม่ใช่เพราะว่าตัวเขามาจากหนึ่งหมื่นปีก่อน เขาจะรู้ได้อย่างไรในปัจจุบันนี้ว่ามีสูตรเม็ดยาหลายสูตรที่สูญหายไปตามการเวลา?

 

แน่นอนว่ามีหลายสิ่งที่ได้สูญหายไปแล้วตามกาลเวลา

 

ตัวอย่างที่มาจากเรื่องจริงเลยก็คือในชีวิตที่แล้วของเขา เมื่อตอนที่เขาเข้าไปยังโบราณสถานหลากหลายที่ เขาได้พบเจอเข้ากับสูตรเม็ดยาจากยุคบรรพกาลมาบ้างนิดหน่อย ซึ่งสูตรเม็ดยาจากบุคบรรพกาลเหล่านั้นได้ถูกจัดอยู่ในประเภทเม็ดยาที่สูญหายไปนานแล้ว

 

ดังนั้นบางที่เมื่อหลายหมื่น หลายแสนปีก่อนหน้านั้นไปอีก อาจจะมีทักษะบ่มเพาะที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับสัมผัสสวรรค์อยู่ก็เป็นได้

 

ขณะที่กำลังครุ่นคิดเขาก็ซึมซับเม็ดยาสองดาราไปด้วย เขารู้สึกได้ถึงความผ่อนคลาย เนื่องจากจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายเกิดความรู้สึก ในตอนที่สัมผัสวิญญาณของเขากำลังถูกเสริมแกร่งอยู่ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะรู้สึกผ่อนคลาย

 

หลังจากกลืนเม็ดยาลงไปเรื่อยๆ ในไม่ช้าเขาก็ใช้เม็ดยาทั้งเจ็ดเม็ดจนหมด

 

‘จิตวิญญาณของข้าตอนนี้แข็งแกร่งกว่าเดิมเกือบสองเท่า!’ ดวงตาของหลิงฮันเปิดขึ้นมา ข้างในดวงตาของเขาราวกับกลายเป็นหลุมลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด ทำให้ผู้ที่มองเข้าไปรู้สึกตกอยู่ในภวังค์อย่างช่วยไม่ได้ หลิงฮันยิ้มและคิดในใจ ‘นี่คือผลประโยชน์จากการเสริมแกร่งสัมผัสวิญญาณ สัมผัสวิญญาณของข้าที่สามารถใช้สยบคู่ต่อสู้ได้เรียกว่าว่าเป็นทักษะพิเศษอย่างหนึ่ง ถ้าศัตรูของข้าไม่มีความสามารถในการป้องกันจิตวิญญาณ มีโอกาสสูงมากที่ข้าจะสามารถสังหารมันได้ในทันที’

 

‘พลังจิตวิญญาณของข้าในตอนนี้สามารถเทียบเท่าได้กับคนที่อยู่ในระดับก่อเกิดธาตุ’ หลิงฮันยิ้มกว้างขึ้นไปอีก ‘นี่หมายความว่าข้าจะสามารถดูดซับพลังวิญญาณได้ในอัตราเดียวกันกับจอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุ และด้วยรากฐานวิญญาณระดับนิรันดร์ของข้า ความเร็วในการบ่มเพาะจะสูงขึ้นจนแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังต้องตกตะลึง’

 

‘ข้าต้องรีบบรรลุระดับก่อเกิดธาตุให้ได้โดยเร็ว! มีเพียงแค่เมื่อข้าบรรลุระดับก่อเกิดธาตุเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกฝนทักษะระดับดำได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของวิธีวรยุทธ ตอนนี้ตัวของข้าเต็มไปด้วยความรู้และความสามารถที่อยู่เหนือกว่าใครๆ แต่กลับไม่สามารถใช้พวกมันได้... ช่างเป็นความรู้สึกที่แย่จริงๆ!’

 

“หืม? ดูเหมือนจะมีหนูแอบบุกรุกเข้ามาซะแล้ว!”

*ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ*

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด