ตอนที่แล้วตอนที่ 97 ชี้แนะสั่งสอน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 99 ทุบตีเหมือนกับครั้งก่อนๆ

ตอนที่ 98 เลียร้องเท้าข้าซะ


“เฟิงหยาง?” มุมปากของหลิงฮันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มและพูด “ตอนนี้เขาแข็งแกร่งขนาดไหนแล้ว?”

 

“ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ครั้งล่าสุดที่เขากลับมายังสำนัก เขาอยู่ในระดับก่อเกิดธาตุขั้นสี่ และตอนที่มีคนเห็นเขาใช้กระบวนท่าในโบราณสถาน เขามีปราณกระบี่ถึงสี่เล่ม” ฉีฮวงเย่พูดอย่างจริงจัง

 

ระดับก่อเกิดธาตุขั้นสี่นั้นสูงกว่าชางเย่เสียอีก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนตำแหน่งศิษย์หลักก็เหมือนกับการเปลี่ยนตำแหน่งของศิษย์ที่แท้จริง โดยจะจัดขึ้นช่วงสิ้นปีของทุกๆปี

 

เฟิงหยางคงจะเพิ่งทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุขั้นสี่ ยิ่งกว่านั้นพลังบ่มเพาะก็ไม่ได้แสดงถึงพลังต่อสู้ของคนคนนั้น ดังนั้นเฟิงหยางจึงไม่ได้ท้าประลองชางเย่ จ้าวฮวาน หรือฉีเฟิงหยุนตอนสิ้นปีที่ผ่านมา

 

“จริงสิ ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าได้รับข่าวมาว่าตำหนักสมบัติวิญญาณจะจัดการประมูลขึ้นคืนนี้ มีใครสนใจจะลองไปดูบ้าง?” จู่ๆจิงหวู่จื้อก็พูดขึ้นมา

 

“ตำหนักสมบัติวิญญาณ?” หลิงฮันถามด้วยความสงสัย

 

“มันคือสถานที่ประมูลของเมืองจักรพรรดิ เจ้าของตำหนักเป็นบุคคลที่ลึกลับ จากข่าวลือแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่รู้แม้กระทั่งเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงหรืออายุเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าอย่างไร คนคนนั้นก็ต้องมาจากขุมอำนาจที่สำคัญแน่ๆ เพราะไม่มีใครเลยที่กล้าจะสร้างปัญหาขึ้นที่ตำหนักสมบัติวิญญาณ” จิงหวู่จื้ออธิบาย

 

“ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครไปสร้างปัญหาที่นั่น แต่พวกที่เคยไปสร้างปัญหาก่อนหน้านี้ได้ตายไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าที่จะไปล่วงเกินตำหนักสมบัติวิญญาณอีกต่อไป” ฉีฮวงเย่พูดออกมา มันเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลราชวงศ์ ดังนั้นจึงรู้ข้อมูลมากกว่าจิงหวู่จื้อ

 

“น่าสนใจ งั้นก็ไปดูสักหน่อยแล้วกัน” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม ถ้าเขาสามารถได้รับส่วนผสมสำคัญสำหรับหลอมโอสถฟื้นคืนวิญญาณจากการประมูลนี้ ก็จะเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วที่เขาจะสามารถรักษารากฐานวิญญาณของหลิงตงซิงได้

 

หลังจากที่เขาทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุ เขาจะสามาถฝึกฝนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ ยิ่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็จะสามารถหลอมเม็ดยาที่มีระดับสูงขึ้นไปอีกได้เท่านั้น แต่อุณหภูมิของเปลวเพลิงที่เขาสามารถจุดขึ้นมาได้ยังเป้นปัญหาอยู่ อุณหภูมิของเปลวเพลิงจะเพิ่มขึ้นได้โดยการยกระดับบ่มเพาะของคนคนนั้นขึ้นเท่านั้น  ไม่ว่าจะมีความสามารถในการควบคุมเปลวเพลิงขนาดไหน อุณหภูมิของเปลวเพลิงที่สามารถจุดได้ก็ยังมีขีดจำกัด

 

‘อายุขัยของท่านพ่อมีขีดจำกัด เพราะงั้นเรื่องนี้จึงไม่อาจชักช้าได้!’ เขาคิดในใจ ‘ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องหาคนมาช่วยหลอมเม็ดยาแทน หรือไม่ก็ต้องผสานเพลิงของข้าเข้ากับเพลิงวิญญาณแห่งสวรรค์และปฐพี ด้วยการช่วยเหลือของเพลิงวิญญาณ ข้าจะสามารถเพิ่มความร้อนของเปลวเพลิงให้สูงขึ้นได้’

 

แต่ว่าเพลิงวิญญาณนั้นหายากเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นในชีวิตที่แล้ว ข้าก็ไม่เคยพบเห็นเพลิงวิญญาณเลย แต่ตอนนี้หนึ่งหมื่นปีได้ผ่านไปแล้ว บางทีดวงข้าอาจจะดีขึ้นก็ได้

 

เพลิงวิญญาณคือ เพลิงที่มีวิญญาณและความนึกคิดที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ ถ้าจอมยุทธสามารถหลอมรวมเพลิงวิญญาณเข้ากับตนเองได้ คนคนนั้นจะสามารถเพิ่มระดับพลังบ่มเพาะ หรือสร้างกายหยาบที่มีความพิเศษขึ้นมาได้ สำหรับนักปรุงยาแล้ว ถ้าพวกเขาสามารถหลอมเปลวเพลิงของตัวเองเข้ากับเพลิงวิญญาณได้ ความสามารถในการปรุงยาของพวกเขาจะเพิ่มสูงขึ้น เมื่อหมื่นปีก่อน มีนักปรุงยาไร้นามคนหนึ่งบังเอิญหลอมเพลิงของตนเองเข้ากับเพลิงวิญญาณได้ และในที่สุดคนคนนั้นก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญแห่งการปรุงยา

 

ถ้าหลิงฮันต้องการจะหลอมโอสถฟื้นคืนวิญญาณภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ การหลอมรวมกับเพลิงวิญญาณคือทางเลือกเดียวที่เขามี เพราะนักปรุงยาระดับสูงที่สุดของแคว้นพิรุณคือระดับดำขั้นสูง ซึ่งไม่มีความสามารถพอที่จะหลอมเม็ดยาระดับปฐพีได้แน่นอน

 

พวกเขากินกันเสร็จแล้ว เมื่อจ่ายเงินเสร็จพวกเขาได้ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังตำหนักสมบัติวิญญาณเพื่อเข้าร่วมงานประมูลที่กำลังจะจัดขึ้น

 

เนื่องจากระยะทางไม่ได้ไกลมากนัก พวกเขาจึงไม่ได้นั่งรถม้าและเดินไปด้วยตัวเอง ผ่านไปประมาณยี่สิบนาที ในที่สุดก็มาถึงตำหนักสมบัติวิญญาณ

 

นี่คือสถานที่ที่เอาไว้สำหรับขายสมบัติโดยเฉพาะ

 

อะไรบ้างที่นับว่าเป็นสมบัติ?

 

อาวุธ ทักษะบ่มเพาะ ทักษะยุทธ โอสถ และสมุนไพรเองก็นับว่าเป็นสมบัติหากมันมีมูลค่ามากพอจะสามารถนำมาขายที่นี่ได้ การมูลจะจัดขึ้นทุกๆเดือนเพื่อขายของที่หายากและมีมูลค่า บางเดือนถึงกับมีการจัดประมูลครั้งใหญ่ที่แม้แต่ตระกูลจักรพรรดิและแปดตระกูลใหญ่ยังต้องใจสั่น

 

การประมูลวันนี้เป็นเพียงการประมูลธรรมดา ดังนั้นจึงไม่มีจอมยุทธที่ทรงพลังมาเข้าร่วม แต่ถึงอย่างนั้นคนก็ยังเยอะอยู่ดี เพราะการประมูลจะจัดเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น แถมยังมีของหายากที่อาจจะนำมาประมูลอีกด้วย

 

พวกเขากำลังจะเดินเข้าไป แต่ได้มีรุ่นเยาว์สองคนเดินเข้ามาหาพวกเขา รุ่นเยาว์สองคนนี้เดินใกล้ชิดกัน จากที่ดูแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันคงจะค่อนข้างดีทีเดียว

 

“หือ เป็นเจ้านี่เอง!” เมื่อหนึ่งในพวกมันเห็นหลิงฮัน ท่าทางของมันได้เปลี่ยนเป็นเย็นชา มันชี้นิ้วมาที่หลิงฮันแล้วพูด “ฮ่าๆๆๆ เจ้าคนบัดสบ เจ้าคงจะไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นสินะ? ข้าเข้าร่วมกับสำนักฮูหยางได้ แถมยังทะลวงผ่านระดับรวมธาตุแล้วด้วย”

 

รุ่นเยาว์ที่อวดดีคนนี้คือเฟิงหลัว เรื่องที่มันทะลวงผ่านระดับรวมธาตุได้ค่อนข้างเหนือความคาดหมายเล็กน้อย จากพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดของมัน มันไม่น่าจะทะลวงผ่านระดับรวมธาตุได้เร็วขนาดนี้

 

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของหลิงฮัน มันเป็นเพียงเม็ดปลวกเท่านั้น เพราะงั้นหลิงฮันจึงไม่ได้เก็บเรื่องของมันมาคิดอะไร เขาทำเพียงตอบกลับไปอย่างสุขุม “หยุดชี้นิ้วซะ หรือถ้าไม่ทำ ข้าจะหักมันทิ้งให้เอง”

 

ใบหน้าของเฟิงหลัวเต็มไปด้วยความโกรธ แต่เมื่อมันนึกถึงพลังต่อสู้ที่หลิงฮันมี ความรู้สึกหวาดกลัวได้เกิดขึ้นมาในใจจนต้องเอานิ้วลง แต่ถึงอย่างนั้นปากของมันก็ยังพูดต่อไป “เจ้าขโมยสิทธิในการเข้าร่วมสำนักฮูหยางของข้าไปแล้วยังไงล่ะ? พี่ชายของข้าก็ยังช่วยให้ข้าเข้าสำนักได้อยู่ดี! หลิงฮันข้าจะบอกอะไรให้ ต่อจากนี้อย่าคิดว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ เพราะข้าจะต้องทำลายเจ้าทิ้งอย่างแน่นอน!”

 

เฟิงหยางมีวิธีการที่ทำให้น้องชายของมันเข้าร่วมกับสำนักฮูหยางได้ บางทีมันอาจจะทำเหมือนกับหลิงตงซิงที่ทำข้อตกลงบางอย่างกับสำนัก ไม่อย่างนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นอัจฉริยะขนาดไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่สำนักจะให้ความสำคัญกับมันถึงขนาดสิทธิในการเข้าร่วมสำนักให้อย่างฟรีๆ

 

หลิงฮันหัวเราะอย่างมุ่งร้ายและพูดออกไป “พวกโง่เง่าที่กล้าพูดจาข่มขู่ข้าแบบนี้กับข้า ไม่เคยมีใครจบสวยสักคน!”

 

“ทำเป็นพูดดี!” ชายหนุ่มข้างๆเฟิงหลัวพูดขึ้นมา ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความยิ่งยโสที่ยิ่งกว่าเฟิงหลัวเสียอีก ปลายจมูกของมันเชิดสูงจนราวกับจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า “ข้าเคยเห็นคนอวดในเมืองจักรพรรดิมาไม่ได้ แต่คนอย่างเจ้า... หึหึหึ ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”

 

“ฮ่าๆ เจ้ารู้ไหมว่านี่คือใคร?” เฟิงหลัวถามอย่างภาคภูมิใจ และชี้ไปที่สหายของมัน “นี่คือเว่ยเหอเลอ นายน้อยเว่น! เขาเป็นดาวรุ่งแห่งสำนักฮูหยาง เขาคือคนที่จะได้กลายเป็นนักปรุงยาระดับดำอย่างแน่นอน”

 

“นั่นคือเว่ยเหอเลอ!” จิงหวู่จื้ออ้าปากค้างด้วยความตะลึง

 

“มันแข็งแกร่งมากเลยรึ?” ไป๋ลี่เถิงหยุนถามขึ้นมา “แต่มันอยู่ในระดับรวมธาตุขั้นหนึ่งเองไม่ใช่รึไงกัน?”

 

ระดับรวมธาตุขั้นหนึ่ง... ต่อให้มันจะเป็นสัตว์ประหลาดเหมือนหลิงฮัน มันก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี ถ้าให้มันสู้กับจอมยุทธระดับรวมธาตุขั้นเก้า ผลลัพธ์ก็คือมันจะถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ไป๋ลี่เถิงหยุนเพิ่งจะเข้าร่วมกับสำนักฮูหยาง จึงยังไม่รู้ว่าทางสำนักมีฝ่ายปรุงยาอยู่ และไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมจิงหวู่จื้อต้องตกใจขนาดนั้น

 

“มันเป็นรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยา และตอนนี้ได้เป็นนักปรุงยาระดับเหลืองขั้นต่ำแล้ว มีคนเคยบอกว่า แม้แต่อาจารย์ใหญ่ของฝ่ายปรุงยาก็อยากจะได้มันมาเป็นศิษย์ส่วนตัว” จิงหวู่จื้อพูดออกมาด้วยความเกรงขาม เมื่อมันเห็นว่าใบหน้าของไป๋ลี่เถิงหยุนกับหลีตงเย่ยังดูเหมือนจะไม่เข้าใจมันจึงอธิบายต่อ “สำนักฮูหยางแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ซึ่งก็คือฝ่ายวรยุทธกับฝ่ายปรุงยา และอาจารย์ของฝ่ายปรุงยาคือนักปรุงยาระดับดำขั้นสูง!”

 

“ฮึ่ม!”

 

ไป๋ลี่เถิงหยุนกับหลีตงเย่สูดหายใจลึก ในที่สุดพวกมันก็เข้าใจเบื้องหลังของเว่ยเหอเลอเสียที นักปรุงยาระดับดำขั้นสูง แม้จะเป็นจูเฮอซินหรือจางเหวยชางก็ยังต้องปฏิบัติตัวอย่างสุภาพและเรียกคนคนนั้นว่าปรมาจารย์

 

“ฮ่าๆๆๆ!” เว่ยเหอเลอหัวเราะดังขึ้นมา ที่มันไม่ได้พูดแทรกอะไรเมื่อสักครู่ก็เพื่อจะให้อีกฝ่ายรู้ถึงเบื้องหลังของมัน แล้วมันจะได้โอ้อวดออกมา มันมองพวกเขาด้วยสายตาเหยียดหยามและพูด “ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้ามีความบาดหมางอะไรกับนายน้อยหลัว แต่ในเมื่อวันนี้ข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็คงต้องทำตัวเป็นกลาง”

 

มันหยุดนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดกับหลิงฮันด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “คุกเข่าและเลียรองเท้านายน้อยหลัวให้สะอาดซะ!”

 

เฟิงหลัวรู้สึกรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก ด้วยการช่วยเหลือจากเว่ยเหอเลอในวันนี้ ถ้าหลิงฮันคงไม่ยอมจำนน นั่นก็หมายความว่าเขากำลังต่อต้านเว่ยเหอเลอ เว่ยเหอเลอคือใครกัน? มันคือนักปรุงยาระดับเหลืองขั้นต่ำ และมีโอกาสสูงมากที่จะได้เป็นศิษย์ของหวู่ซงหลิน สิ่งที่รอมันอยู่คือความก้าวหน้าอันไร้ที่สิ้นสุด

 

ใครก็ตามที่มีสมอง มันจะต้องไม่กล้าต่อต้านเว่ยเหอเลอแน่นอน

 

วันนี้มันจะได้เอาคืนหลิงฮันแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด