ตอนที่แล้วDND.19 - วางกับดัก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDND.21 - ชิ้นส่วนลึกลับ

DND.20 - วายุกระหน่ำ


“ข้าขอโทษ ขะ...ข้าถูกบังคับ”

ฉวนหลีเฟยน้ำตาซึมราวกับลูกไก่ในกำมือ

ซือหยูไม่เชื่อนางอยู่แล้ว

เขาค้นตัวนางและพบกล่องไม้

“โอสถวิญยาณระดับสูงงั้นเหรอ?”

ซือหยูที่เปิดกล่องไม้ตกใจ เขาหรี่ตาลงเมื่อเห็นของในกล่อง ฉวนหลีเฟยจะหาโอสถวิญญาณราคาขนาดนี้ได้ยังไง?

“ก่อนที่ข้าจะโกรธไปมากกว่านี้ บอกความจริงมา!”

ซือหยูเดินไปหาฉวนหลีเฟยช้าๆ

นางหลับตาด้วยความกลัว นางหายใจถี่ด้วยความวิตก

“คะ...คือ ฉินเฟิง เขาให้ข้าทำ ข้าขอโทษ”

ฝีมือฉินเฟิงจริงๆ! มันร่วมมือกับเจียงซื่อฉีด้วยเหรอเนี่ย?

ฉินเฟิงเป็นศิษย์ทองคำอันดับสอง มีพลังระดับสี่ขั้นต้น พลังของเขาน่ากลัวมาก

เขาแย่งคนรักไปจากซือหยู! แล้วเขาก็ยังใส่ร้ายซือหยูซ้ำแล้วซ้ำเล่า!

“ฉินเฟิง! ถ้าข้าไม่แก้เค้น ถือว่าซือหยูไม่ใช่คน!”

ซือหยูกำหมัดแน่น

ฉวนหลีเฟยห่อตัวบนเตียงราวกับกวางน้อย

“ปล่อยข้าไปได้ไหม? ข้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”

นางพูดเบาๆ

ซือหยูมองนางอย่างเย็นชา สุดท้ายเขาก็โบกมือให้นางออกไป

“จงจำไว้ อย่าทำเช่นนี้อีก!”

ทั้งซือหยูและฉวนหลีเฟยมาจากชนชั้นรากหญ้า ซือหยูเข้าใจความลำบากของฉวนหลีเฟยดี เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ซือหยูได้ประโยชน์มาก เขาจึงปรานีแก่ฉวนหลีเฟย

เมื่อนางถูกปล่อยก็สบายใจขึ้นมากและรีบจัดเสื้อผ้าก่อนจะรีบไปด้วยความกลัว

“โอ๊ะ- เดี๋ยวก่อน เรื่องสัตว์อสูรในเทือกเขารัตติกาลนั่นใช่เรื่องจริงไหม? มันกำลังปกป้องสมบัติจริงๆใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินซือหยูเรียกนางก็ตัวแข็งทื่อและหันมาตอบด้วยความกลัว นางผงกหัวเหมือนกับไก่จิกข้าว

“ชะชะ ใช่ มันเป็นเรื่องจริง ข้ามีแผนที่ด้วย”

นางรีบทิ้งแผนที่ทันทีและรีบออกไป เมื่อนางไปไกลพอแล้วนางก็ร้องไห้ นางรู้สึกผิดและอับอายขายหน้า

“ข้าไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว! เขาเอาโอสถวิญญาณข้าไป และยังเห็นเรีอนร่างข้าอีก และข้าไม่ได้อะไรเลย!”

นางคิดถึงชายเจ้าชู้จำนวนมากที่ไปมาหาสู่กับนาง ไม่มีใครเลยที่ได้ล่วงเกินนาง จนกระทั่งซือหยู...เขาจับตัวนางอย่างง่ายดาย นางร้องไห้ฟูมฟาย ที่แย่ที่สุดคือซือหยูไม่ได้สนใจในตัวนางด้วยซ้ำ!

แน่นอนว่าเรื่องสำคัญคือโอสถวิญยาณ นางคิดจะใช้มันตอนทำงานสำเร็จ และหากทำงานล้มเหลวนางก็จะคืนมันให้ฉินเฟิง แต่ตอนนี้นางทั้งทำล้มเหลวและเสียโอสถวิญยาณไป นางไม่รู้จะบอกฉินเฟิงยังไง

ซือหยูนั่งมองโอสถวิญญาณระดับสูงด้วยรอยยิ้ม พลังที่มันมีนั้นมากกว่าโอสถวิญญาณระดับกลางมากโข

ซือหยูปรับท่าทางให้สบายและกินโอสถวิญยาณ พลังอันรุนแรงกระจายไปทั่วร่างราวกับไฟป่า ไม่นานซือหยูก็เหงื่อไหลออกมาทั้งตัว เขาตัวเปียกโชกในไม่นาน…

ซือหยูตื่นขึ้นหลังสองชั่วโมง

เมื่อลืมตาก็เกิดแสงออกมา เขากำหมัดและรู้สึกถึงพลังที่กระจายตามเส้นเลือด ราวกับมีพลังเอ่อล้นจากทั้งร่างกาย เขารู้สึกว่าฆ่ากระทิงตัวใหญ่ได้ในหมัดเดียว

“นี่น่ะหรือพลังระดับสาม? ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้เลย”

ซือหยูตื่นเต้น ตอนนี้เขาชนะคนอย่างเฉินเทียนหนานด้วยทลายจักรวาลเพียงอย่างเดียวได้แล้ว

ซือหยูมีพลังเพิ่มขึ้นมาก!

แต่ซือหยูก็ยังไม่พอใจ...เขาต้องการแข็งแกร่งขึ้นอีก

“จากนี้ไปศัตรูข้ามีแต่จะแกร่งขึ้น ข้าจะใช้แต่ทลายจักรวาลไม่ได้”

ซือหยูหยิบเหรียญคำสั่งไร้จำกัดมาดูด้วยรอยยิ้ม

“เจียงซื่อฉี กับดักทั้งหมดนี้เข้าทางข้าจริงๆ เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”

ครึ่งวันถัดมา เขากลับไปที่ห้องตำราหลังจากที่มายืมตำราครั้งที่แล้ว ชายแก่ที่ดูแลยังคงอยู่เช่นเคย เมื่อเห็นซือหยูเขาก็พูดอย่างเย็นชา

“เจ้าเข้ามาได้ครึ่งเดียวเท่านั้นในครึ่งปี”

ชายแก่ไม่พอใจและบ่น

“ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วว่าเงาเมฆามันฝึกยาก คนหนึ่งในพันก็ฝึกไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าเจ้าจะไม่สำเร็จ แล้วตอนนี้เจ้ามายอมแพ้รึ? ถ้าตอนนี้เจ้าอยากจะเปลี่ยนวิชามันก็สายไปแล้ว!”

ซือหยูชูมือช้าๆ

“ข้าดูดี แต่ข้ามีคำสั่งไร้จำกัด”

ซือหยูยื่นเหรียญให้กับชายแก่ เขาจ้องซือหยูครู่หนึ่ง เจ้าเด็กระดับเงินนี่มีคำสั่งไร้จำกัดได้ยังไง? มันช่างน่าสงสัยซะจริง แต่เขาไม่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบ ชายแก่เพียงถามคำถามใหม่

“เจ้าฝึกเงาเมฆาไปถึงไหนแล้ว?”

เขาหวังว่าซือหยูจะล้มเลิกเพราะเขาเคยบอกว่าซือหยูตั้งเป้าเกินกว่าที่ตัวเองจะสำเร็จได้

ซือหยูหน้าแดงเล็กน้อย

“เงาเมฆามันฝึกยากจริงๆ ข้าฝึกได้แค่ระดับหนึ่งขั้นสูงเท่านั้นเอง”

เขาพูดเบาๆ

ตามปกติ ศิษย์ระดับเงินอย่างซือหยูจะใช้เวลาอย่างน้อยหกเดือนในการฝึกเงาเมฆา แต่ด้วยพลังเวลาที่คนอื่นไม่มีทำให้เขามาถึงขั้นนี้ได้

ใบหน้าของชายแก่เปลี่ยนไป

“เพียงครึ่งเดือนเจ้าก็ฝึกถึงระดับหนึ่งขั้นสูงงั้นรึ? พิสูจน์ซะ เจ้ารู้ว่าจะต้องเจออะไรหากโกหกข้า”

ชายแก่พูดดุ

มันยากที่จะเชื่อว่าในระดับเงินจะมีคนที่ฝึกวิชาตัวเบาที่ยากขนาดนี้ได้ ถึงจะเป็นคนที่ความสามารถสูงส่งก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนในการเริ่มฝึก แต่ซือหยูฝึกมันสำเร็จระดับหนึ่งขั้นสูงในครึ่งเดือน มันจะเป็นไปได้ยังไง?

แน่นอนว่าชายแก่ไม่รู้ว่าซือหยูมีพลังเร่งเวลาที่ทำให้เขาฝึกเร็วกว่าคนทั่วไปสิบเท่า และตอนนี้พลังก็เพิ่มขึ้นจนทำได้เขาเร่งเวลาได้ยี่สิบเท่าแล้ว ความเร็วในการพัฒนาของเขาจะเร็วกว่าเดิมเสียอีก

ซือหยูที่ถูกชายแก่ท้าจึงได้ใช้วิชาเงาเมฆาออกมา เขาตัวเบาบางราวกับเงาเมฆจริงๆ มันเบาและไหลลื่น สง่างามและรวดเร็วโดยไม่ช้าลงเลย

ชายแก่ตกใจมาก เขาลืมตัวไปชั่วขณะ เขารีบเปลี่ยนสีหน้าทันที

“เจ้ามีสิทธิ์เข้าชั้นสองและชั้นสาม แต่เจ้าเลือกได้แค่วิชาเดียวเท่านั้น กฎยังเป็นเช่นเดิม”

“ตกลง!”

ซือหยูลอยผ่านชายแก่ไปอย่างรวดเร็ว

ซือหยูเห็นวิชาในห้องตำราชั้นแรกมาหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่จับตาเขาได้อีก มีเพียงชั้นสองและชั้นสามเท่านั้นที่มีวิชาที่เขาต้องการ ที่ทางเข้าชั้นสองมีป้ายศิลาติดอยู่

“ชั้นสอง 49 วิชาบ่มเพาะพลัง 490 วิชารอง”

ซือหยูเดาะลิ้น วิชาบ่มเพาะพลังในชั้นหนึ่งมี 101 วิชาและ 491 วิชารอง ที่ชั้นสองมีวิชาน้อยลงกว่าครึ่งของชั้นแรก แน่นอนว่าวิชาทั้งหมดในชั้นสองเป็นวิชาระดับกลางและแกร่งกว่าวิชาในชั้นหนึ่งอย่างเทียบไม่ติด ด้วยจำนวนที่น้อยขนาดนี้ทำให้ซือหยูต้องเลือกอย่างจริงจัง

เขาเลือกอยู่นาน

“วิชาระดับกลาง วายุกระหน่ำ!”

ซือหยูลืมตากว้าง

“หลังจากสำเร็จวิชานี้ จะมีสายลมเย็นอยู่ล้อมรอบวิชาขา หลังจากฝึกวิชานี้จนถึงขั้นสุดท้าย สายลมเย็นจะเปลี่ยนไอน้ำให้กลายเป็นน้ำแข็ง และจะมีวายุหิมะออกมาจากลูกเตะ นี่เป็นวิชาระดับกลางขั้นสูงเทียบได้กับวิชาขั้นสูง”

“วิชานี้ต้องการพื้นฐานวิชาขาที่ดี”

“ผู้ที่เลือกฝึกวิชานี้ต้องระวังให้ดี! หากไม่มีความแน่วแน่เหนือว่าหนึ่งในล้าน โปรดอย่าเสียเวลา!”

ซือหยูเปิดตำราอ่าน และข้อมูลข้างในก็ถาโถมเข้ามา ข้อความด้านในทั้งเปลี่ยนแปลงและอ่านยาก เงาเมฆานับว่าเป็นวิชาที่ยากแล้วเทียบกับวิชานี้ไม่ได้เลย ซือหยูใช้เวลาอ่านตำราสิบนาทีแต่ไม่เข้าใจเลยสักประโยคเดียว!

ซือหยูไม่หมดกำลังใจ เขากลับรู้สึกฮีดสู้กว่าที่เคย วิชาที่ยากหมายถึงพลังอันแข็งแกร่ง และยังหมายความว่าเป็นวิชาที่มีคนใช้ไม่มากนัก จึงยากที่ศัตรูจะสวนกลับ

ซือหยูใช้พลังเร่งเวลา เวลาเร็วขึ้นยี่สิบเท่า ในโลกภายนอกซือหยูเพียงดูตำราอยู่ครึ่งชั่วโมง แต่ในความจริงเขาใช้เวลาตลอดสิบชั่วโมงในการจดจำ

หลังจากนั้นซือหยูก็ดูตำราอื่นต่อ

“วิญญาณภูติ วิชาระดับกลาง”

มันเป็นวิชาที่เฉินเทียนหนานใช้ เขามองมันเพียงครั้งเดียวและวางมันกลับคืน แม้จะเป็นวิชาที่แข็งแกร่ง แต่มันต้องการพื้นฐานวิชาพิษที่ซือหยูไม่มี

“โอ๊ะ? เนตรอสูร?”

เขามองตำราสุดท้าย มันเป็นตำราปกสีดำ

“เนตรอสูร วิชาระดับกลาง หลังจากฝึกแล้วจะโจมตีดวงวิญญาณได้ ระดับต่ำจะทำให้เหยื่อมึนงง ระดับสูงจะใช้สังหารได้ มันอันตรายมาก”

“พื้นฐานต้องมีพรสวรรค์ด้านพลังวิญญาณ”

“วิชานี้แข็งแกร่งมากเพราะเกี่ยวข้องกับวิญญาณ มีความเสี่ยงอย่างมากในการฝึกวิชานี้ เพราะดวงวิญญาณจะโต้กลับอย่างง่ายดาย ผู้มีพลังวิญญาณสูงควรเลือกให้ดี ผู้ที่ไม่มีพลังวิญญาณมีโอกาสตายเก้าในสิบส่วน”

ซือหยูเดาะลิ้น เนตรอสูรต้องการพลังที่มีเอกลักษณ์มาก

แล้วเรามีพลังวิญญาณเท่าไหร่กัน?

เมื่อเปิดตำราเขาก็พบบรรทัดสั้นๆ

“เพื่อตรวจสอบพลังวิญญาณ ท่านสามารถอ่านสิบคำแรกในหน้าแรกของตำรานี้ คำเหล่านั้นมีการพลังโจมตีใส่ดวงวิญญาณเล็กน้อย หากท่านอ่านคำแรกได้ชัดเจนหมายถึงมีพลังวิญญาณเล็กน้อย หากอ่านคำที่สองได้อย่างชัดเจนหมายถึงระดับคนทั่วไป คำที่สามระดับสูงกว่าคนทั่วไป...คำที่สี่ นับว่าแกร่ง...”

ซือหยูเปิดหน้าแรกและพบกับสิบคำแปลกๆ มันเลือนลาน ตัวอักษรแหวกว่ายบนหน้าตำราราวกับมีชีวิต มันทำให้อ่านยากมาก แต่ซือหยูอ่านได้ถึงเจ็ดคำ

ตามที่ตำราบอก นั่นหมายถึงเขามีพลังวิญญาณในระดับที่น่ากลัวมาก! ซือหยูแทบไม่เชื่อ ร่างทั้งร่างของเขาเป็นแบบธรรมดา กายภาพธรรมดา สติปัญญาธรรมดา เขามีเพียงพลังจากหม้อเก้ามังกรเท่านั้น

การที่ได้พบว่าตนเองมีพรสวรรค์อันน่ากลัวก็ทำให้ยากจะยอมรับ

หลังจากตกใจอยู่นาน เขาก็เริ่มตระหนักได้

“จะต้องเป็นผลของการรวมวิญญาณจากสองโลกแน่ ดวงวิญญาณเราถึงแกร่งกว่าคนอื่นสองเท่า!”

ซือหยูดีใจ เขารีบจำตำราเนตรอสูรทันที จากนั้นเมื่อมองหาทั้ง 490 วิชารอง เขาก็ไม่พบอะไรน่าสนใจ

“ชั้นสามจะเป็นยังไงนะ บางที...อาจจะเป็นวิชาระดับสูงทั้งหมดเลยก็ได้!”

ซือหยูมองขึ้นไปและกระโดดขึ้นชั้นสาม ชั้นสามจะเปิดให้กับสิบศิษย์อสูรเท่านั้น ทุกวิชานับได้ว่าเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมทั้งหมด

Banshee

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด