ตอนที่แล้วตอนที่ 196 แย่งชิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 198 ทำลายสำนักหยุนเซี่ย

ตอนที่ 197 เกาะเมฆาบรรพกาล


ตอนที่ 197 เกาะเมฆาบรรพกาล

ทะเลกว้างใหญ่ที่ไร้ซึ่งขอบเขต เงาร่างหนึ่งกำลังโบยบินอย่างรวดเร็ว ด้านหลังของร่างเงานี้มีปีกขนาดใหญ่ที่คล้ายคลึงของปีกอินทรีขนาดมหึมา แต่ปีกคู่นี้กำลังโหมกระหน่ำและลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวเพลิงสีแดงที่น่าเกรงขาม ห้วงอากาศที่เขาทะยานผ่านไป แม้แต่อากาศในบริเวณนั้นยังถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง

ใน 1 วันที่หยางไค่ออกมาจากเกาะซ่อนเร้น เขาโบยบินอยู่บนอากาศตลอดทั้งวันทั้งคืน ในมือของเขาถือถุงผ้าขนาดใหญ่จำนวน 2 ถุง ถุงผ้าแรกเป็นสมบัติวิเศษที่เขาเก็บมาจากเกาะซ่อนเร้น ถุงผ้าอีก 1 ชิ้นเป็นสมบัติล้ำค่าที่เขาเก็บออกมาจากชั้นหิน

ในขณะที่หยางไค่ถือถุงผ้าทั้ง 2 ถุงโบยบินอยู่บนอากาศ มันไม่ใช่การกระทำที่สมควร หลายครั้งที่หยางไค่เคืองโกรธจนอยากโยนมันลงทะเล แต่เขาก็ไม่สามารถหักห้ามใจที่จะทำเช่นนั้น

หยดน้ำพลังลมปราณหยางในจุดตันเถียนหมดลงอย่างรวดเร็ว เพราะเพลิงปีกอัคคีโลกันย์ของเขาใช้พลังลมปราณที่ค่อนข้างมาก ระยะเวลาเพียง 1 วัน หยดน้ำพลังลมปราณหยางของเขาลดลงถึง 200 หยด หากว่าก่อนหน้าเขาไม่ได้เตรียมการในการกักเก็บหยดน้ำพลังลมปราณหยาง มันคงไม่เพียงพอที่จะเกื้อหนุนให้เขากลับไปยังเมืองไห่เฉินได้อย่างแน่นอน

เขาทิ้งเหล่าแมลงเหล่านั้นไว้ในเกาะซ่อนเร้น แม้ว่าเหล่าแมลงจะเชื่อฟังคำสั่งของเขาอย่างมาก และในบังเวลามันมีประโยชน์ต่อเขาอย่างยิ่ง แต่หยางไค่ไม่ทราบวิธีที่จะพาพวกมันกลับไปด้วย เขาจึงต้องอดทนต่อความเจ็บปวดบังคับจิตใจตนเองให้ทิ้งพวกมันไว้ในเกาะซ่อนเร้น

ท้องทะเลกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด คลื่นน้ำทะเลสีฟ้าม้วนตัวไปมาอย่างต่อเนื่อง โดยสะท้อนให้เห็นถึงท้องฟ้าที่กว้างใหญ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อให้เกิดเป็นภาพที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

โชคดีที่หลายวันที่ผ่านมา อากาศในท้องทะเลค่อนข้างดี ทำให้หยางไค่ไม่ต้องกังวลว่าจะพบเจอกับพายุในท้องทะเลที่รุนแรง

หลังจากที่โบยบินเวลานาน หยางไค่รู้เหนื่อยล้าอย่ายิ่ง ลมพายุที่ปะทะเข้ามาทำให้ใบหน้าของเขารู้สึกชา พละกำลังลดลงอย่างหนัก แต่สติและจิตวิญญาณการรับรู้ของเขากลับไม่รู้สึกเหนื่อนล้าแม้แต่น้อย หยางไค่คิดว่าเป็นเพราะดอกบัวดวงจิตเทพสวรรค์ที่เป็นสมบัติแห่งฟ้าสวรรค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่มันเข้าสู่ร่างกายของเขา มันคอยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเขา จึงทำให้เขาไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย

หยางไค่หรี่ตาลงและจ้องมองไปยังบริเวณด้านหน้าประมาณ 50 จ้าง เขามองเห็นร่องรอยของเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทำให้จิตใจของเขารู้สึกดีใจและโบยบินไปยังทิศทางนั้นในทันที

หลังจากนั้นไม่นาน หยางไค่ถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย มีความช่วยเหลือจากเพลิงปีกอัคคีโลกันย์ ระยะทางเพียงเท่านี้ง่ายดายสำหรับเขาอย่างยิ่ง

เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้ไม่สามารถเรียกได้เป็นเกาะ เพราะสถานที่แห่งนี้มีบริเวณที่เล็กมาก หยางไค่ก็ไม่ทราบว่ามันปรากฏอยู่บนท้องทะเลได้อย่างไร

หยางไค่ไม่ได้สนใจกับสถานที่แห่งนี้ เขาวางถุงผ้าทั้ง2ลง และนั่งลงบนก้อนหิน ก่อนจะสูดลายใจเข้าอย่างลึกซึ้ง

หลังจากที่ผ่านไปเป็นเวลานาน หยางไค่จึงฟื้นตัวขึ้นมา สองมือของเขาขยี้ไปที่ใบหน้า และค่อยๆ ฟท้นคืนความรู้สึกของเขา

ฮึฮึ นายน้อยในเวลานี้เขตแดนของท่านยังบรรลุไปยังเขตแดนลมปราณแท้จริง เมื่อท่านบรรลุในเขตแดนลมปราณแท้จริงแล้วลมปราณจะช่วยคุ้มครองร่างกายของท่าน การโบยบินเป็นระยะทางที่ห่างไกลอาจไม่ทรมาณเหมือนตอนนี้ มารปฐพีกล่าวปลอบโยน

ในตอนนี้ ข้าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมผู้ที่อยู่ในเขตแดนที่ต่ำกว่าเขตแดนลมปราณแท้จริง แม้ว่าพวกเขาจะมีสมบัติวิเศษในการโบยบิน แต่พวกเขากลับไม่กล้าที่จะเปิดใช้งาน เพราะมันลำบากและทรมาณเช่นนี้เอง หยางไค่สบทอย่างไม่หยุด

จริงแล้วๆ ผลงานของนายน้อยค่อยข้างดี หากก่อนหน้านี้ท่านไม่หลอมละลายลูกแก้วชีพจรโลหิต โลหิตในตัวของท่านคงไม่แข็งแกร่งและร่างกายของท่านคงไม่สามารถอดทนได้อย่างยาวนานเช่นนี้

หลังจากที่ฟื้นฟูความแข็งแกร่งทางร่างกายเป็นเวลานาน หยางไค่จึงเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง

หยางไค่โบยบินในอากาศเป็นเวลาอีก 1 วัน เขาจึงมองเห็นผืนแผนดินอันไกลพ้นประจักษ์ต่อสายตาของเขาอีกครั้ง

แต่เพลิงปีกอัคคีโลกันย์ของเขาค่อนข้างโดดเด่น ถุงผ้าทั้ง 2 ที่อยู่ในมือของเขาก็มิอาจให้มันปรากฏต่อสายตาของผู้อื่น ไม่เช่นนั้นเขาต้องพบเจอกับภัยพิบัติแห่งความตาย เขาจึงค้นหาบริเวณที่ห่างไกล และเมื่อมั่นใจว่าบริเวณนี้แห่งนี้ไร้ซึ่งผู้คน เขาจึงค่อยโบยบินลงไปยังผืนดินด้านล่าง

หยางไค่ตรวจสอบหยดน้ำพลังลมปราณหยางในจุดตันเถียน และพบว่าหยดน้ำพลังลมปราณหยางไค่เหลือเพียง 10 กว่าหยดเท่านั้น 2 วันที่ผ่านมา เขาสูญเสียหยดน้ำพลังลมปราณหยางกว่า 400 หยด การสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ หากเขาไม่ได้เตรียมตัวเอาไว้มันคงสร้างหายนะให้แก่เขาอย่างแน่นอน

หยางไค่มองไปรอบๆบริเวณ เขาไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้แต่บริเวณแห่งนี้คงไม่ไกลจากเมืองไห่เฉินมากนัก เพราะในขณะที่เขาออกเดินทางจากเกาะหยุนเซี่ยด้วยเรือมังกร เขาสังเกตุทิศทางที่เดินผ่านมา เมื่อเขาออกมาจากเกาะซ่อนเร้น เขาก็โบยบินตามทิศทางที่เดินทางเข้ามา

หยางไค่ออกเดินทางเป็นเวลานาน ในที่สุดก็พบกับถนนสายหลัก

ในตอนนี้ ร่างกายของหยางไค่ปกคลุมด้วยสิ่งสกปรก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง สภาพของเขาไม่แตกต่างจากยากจนหรือขอทานตามข้างถนน แต่ถุงผ้าทั้ง 2 ที่เขาถือเอาไว้ค่อนข้างสะดุดตาอย่างยิ่ง หากพบเจอกับโจรในยามค่ำคืนคงต้องพบเจอกับเรื่องที่ลำบากอย่างยิ่ง

หยางไค่เดินไปไปตามถนนหลัก จนในที่สุดเขาก็มาถึงโรงน้ำชาขนาดเล็ก หยางไค่เข้าไปสอบถามสตรีนางหนึ่งเกี่ยวกับสถานที่ที่เขากำลังจะเดินทางไป

สถานที่แห่งนี้ห่างจากเมืองไห่เฉินประมาณ 1000 ลี้

เมื่อยืนยันสถานที่ว่าตนเองอยู่แห่งหนใด หยางไค่จึงเปิดใช้งานเพลิงปีกอัคคีโลกันย์อีกครั้ง ก่อนจะมุ่งหน้าบินไปยังทิศทางของเมืองไห่เฉิน

ในเมืองไห่เฉิน ยังมีความแค้นที่เขายังไม่ได้สะสาง !!

หลังจากผ่านไป 1 ชั่วยาม หยางไค่มาถึงบริเวณแห่งหนึ่งที่ใกล้เคียงกับเมืองไห่เฉิน เขาไม่ได้เข้าไปในเมืองไห่เฉินทันที แต่เขากลับหากระท่อมของชายชราและหญิงสาวตัวน้อย

ประตูของกระท่อมที่ทรุดโทรมเปิดกว้างเอาไว้ ลมทะเลพัดเข้าออกตลอดเลา ทำให้ภายในกระท่อมค่อนข้างเย็นเฉียบ

หยางไค่เดินเข้าไป และพบว่าภายในกระท่อมไม่แตกต่างจากค่ำคืนที่เขาถูกจับไป ชายชรากับเด็กหญิงตัวน้อยคงไม่อยู่ในกระท่อมแห่งนี้พวกเขาทั้งสองคงจะหนีไปตั้งแต่วันนั้น

ในค่ำคืนนั้นก่อนที่เขาจะกลับไปเขาได้มอบเงินตราจำนวนมากให้แก่ชายชราผู้นั้น มันเพียงพอที่จะให้เขาและเด็กหญิงตัวน้อยใช้ชีวิตได้อย่างสบายตลอดชีวิต เพียงแค่พวกเขาระมัดระวังในการใช้เงิน วันเวลาหลังจากนี้พวกเขาคงไม่ต้องประสบกับความทุกข์ยากอีกต่อไป

หยางไค่หาสถานที่ปลอดภัยและลึกลับในบริเวณใกล้เคียง เขาซ่อนสมบัติต่างๆที่อยู่ในถุงผ้าทั้ง 2 เอาไว้อย่างดี ส่วนตัวเขานำหญ้าจิตวิญญานขั้นปฐพีและนำสิ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองได้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น

1 วันผ่านไป หยางไค่ปรากฏตัวอยู่ในเมืองไห่เฉิน

หยางไค่ไม่ได้กระทำสิ่งใด แต่เขาเดินไปทั่วบริเวณเพื่อหาข่าวคราวที่เป็นประโยชน์ต่อเขา หลายวันต่อมา หยางไค่ได้รับข่าวคราวที่เป็นประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก ในค่ำคืนนั้นเขาจึงกลับไปยังกระท่อมที่ทรุดโทรในเมืองไห่เฉิน

3 วันผ่านไป หยางไค่เริ่มลงมือ เป้าหมายของเขาสำนักหยุนเซี่ย !! แม้ว่าการตายของสตรีทั้ง 3 แห่งตระกูลเจียงจะเกี่ยวข้องกับสำนักหยุนเซี่ยไม่มาก แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็มีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากนั้น หยางไค่และสำนักหยุนเซี่ยมีความแค้นที่มิอาจสะสางได้ พ่อและแม่ของหญิงสาวตัวน้อย ก็น่าจะตายอยู่ในสำนักหยุนเซี่ย

ในค่ำคืนหนึ่ง หยางไค่ค่อยๆบินออกไป

เขาไม่ต้องกระทำสิ่งใด เพียงแต่สังเกตุการณ์อยู่เบื้องบนเท่านั้น

เช้าวันรุ่งขึ้น เกาะเมฆาบรรพากาล

ศิษย์สาวกลืมตาจากการฝึกฝนวิชายุทธ์ ทุกคนต่างเริ่มทำหน้าที่ของตนโดยการสะสางเรื่องเล็กใหญ่ในเกาะแห่งนี้

ในฐานะที่เป็นสำนักที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในท้องทะเลที่กว้างไกล เกาะต่างๆที่เกาะเมฆาบรรพกาลได้ครองครองมีมากกว่า 3 เกาะ เมื่อเทียบกับอำนาจของสำนักหยุนเซี่ย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถของศิษย์สาวกหรือความสามารถของอาจารย์ล้วนแข็งแกร่งกว่าสำนักหยุนเซี่ยเป็นอย่างมาก

เหล่าศิษย์สาวกของพวกเขาทำผลงาได้โดดเด่น หลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา แม้ว่าศิษย์อัจฉริยะของพวกเขาไม่สามารถที่จะสร้างผลงานอันโดดเด่นในใต้หล้า แต่พวกเขาก็ได้สร้างชิื่อเสียงในสถานที่ต่างๆ เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างไกล โดยไม่มีใครที่กล้าที่จะล่วงเกินพวกเขา

แต่ ศิษย์สาวกแห่งเกาะเมฆาบรรพกาลทราบดีว่าสำนักของพวกเขามีความลับที่ไม่สามารถกล่าออกมาได้ นั้นคือเมื่อ 300 ปีก่อนสำนักของพวกเขาได้สูญเสียงคัมภีร์แห่งเคล็ดวิชาในระดับสูงและยังไม่พบมันจนมาถึงทุกวันนี้

สำนักที่ยิ่งใหญ่ที่ตั้งอยู่ในท้องทะเลที่กว้างไกลล้วนมีความลับเช่นนี้เช่นเดียวกัน

แต่ศิษย์สาวกรุ่นเยาว์ต่างรู้สึกแปลกใจและอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ หากมีข่าวลือที่แพร่สะบัดเพียงน้อยนิด พวกเขาจะตามหาต้นต่อของข่าวลือจนพบจบ และสนทนาพูดคุยเรื่องนี้อย่างมีรสชาติ ในใจของพวกเขาทุกคนต่างทราบดีว่าการทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องแต่พวกเขายังคงอยากรู้อยากเห็นโดยพวกเขาจะไม่กล่าวเรื่องนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสอย่างเด็ดขาด

จงเมี่ยวเป็นศิษย์สามัญของเกาะเมฆาบรรพกาล ความสามารถของนางไม่โดดเด่น นางเข้าสู่สำนักเป็นเวลาหลายปี แต่เขตแดนของนางยังอยู่ในเขตแดนลมปราณหมุนเวียนขั้นที่ 2 เท่านั้น

นางพำพักอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลจากเกาะเมฆาบรรพกาล และมีหน้าที่ให้อาหารแก่นกยูง 2-3 ตัว นกยูงเหล่านี้เป็นสัตว์ที่โปรดปราณของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง โดยปกติแล้วนางไม่มีหน้าที่อะไรนอกจากการดูแลนกยูงและบ่มเพาะพลังฝึกฝนวิชายุทธุ์ของตนเองอย่างขยันขันแข็ง นางทราบดีถึงความสามารถที่สามัญของตนเอง หากนางต้องการมีชื่อเสียงในเกาะเมฆาบรรพกาล คงจะยากยิ่งกว่าการเดินทางไปสู่สวรรค์ชั้นเก้า

แต่นางไม่ได้กล่าวโทษฟ้าดินหรือกล่าวตำหนิใคร เพียงแค่พยายามให้ถึงที่สุดก็จะได้รับผลตอบแทนของมันเอง

ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมา จงเมี่ยวกำลังจะเปิดประตูห้องของตนเองเพื่อไปให้อาหารแก่นกยูงที่ล้ำค่า แต่ขณะที่นางก้าวออกจากห้อง กลับมองเห็นมีดด้ามหนึ่งที่เสียบเข้าไปยังประตูห้องของตนเอง พร้อมกับจดหมายที่ถูกเสียบไว้กับมีดเล่มนั้น

น่าแปลก ใครทิ้งจดหมายไว้ที่นี้ ?

จิตใจของจงเมียวเต็มไปด้วยความสงสัย นางเอื้อมมือไปดึงมีดออกมาและนำจดหมายนั้นออกมา นางก้มหน้าลงมอง และพบเห็นอักขระขนาดใหญ่ที่เขียนไว้เพียงบรรทัดเดียว : ผู้อาวุโสแห่งเกาะเมฆาบรรพกาล !!

จงเมี่ยวเม้มริมฝีปาก นางคิดว่าศิษย์พี่หยิงคนหนึ่งกำลังเล่นตลกกับนาง

เรื่องเช่นนี้เคยเกิดขึ้นในอดีต ด้วยความแข็งแกร่งที่ต่ำต้อยของตนเอง และไม่มีใครที่รู้จักช่วยเหลือ หน้าตารูปร่างของตนเองก็มิได้งดงาม จึงมีศิษย์พี่ชายหญิงที่เกลียดชังมาคอยรังแกและกลั่นแกล้งเพื่อความสนุนสนานของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนั้นอักขระในจดหมายค่อนข้างแปลกอย่างมาก เพราะมันบอกว่า : ผู้อาวุโสแห่งเกาะเมฆาบรรพกาล

หากว่าจดหมายนี้จะมอบให้แก่ผู้อาวุโสในเกาะเมฆาบรรพกาล ทำไมต้องมันปักอยู่บนหน้าประตูห้งอของตนเอง จงเมี่ยวสูดหลายใจเข้าออกอย่างลึกซึ้งเพื่อควบคุมความโกรธของตนเอง นางรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมที่ถูกคนเหล่านั้นคอยกลั่นแกล้งอยู่เสมอ

แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ แต่นางยังคงเปิดจดหมายนั้นและพบเห็นหน้าหนังสือสีเหลืองเก่าๆ 1 หน้า

นางจ้องเข่มงและกล่าวกระซิบเบาๆ : เคล็ดวิชา พลิกกายทลายจันทร์ดารา

เมื่ออ่านคำนี้ออกไป สีหน้าของนางแสดงออกมาด้วยความตื่นตะลึง

ทำไมมันฟังดูค้นชินอย่างยิ่ง? นอกจากนั้นหน้าหนังสือสีเหลือดูเหมือนว่าจะมีอายุอย่างยิ่ง อย่างนอกมันต้องเป็นโบราณวัตถุที่มีอายุกว่าพันปี

เคล็ดวิชา พลิกกายทลายจันทร์ดารา จงเมี่ยวอ่านมันซ้ำอีกรอบ ข้อมูลที่อยู่ในหัวสมองปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของนางพลิกไปมา สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจและความไม่เชื่อ สองมอของนางสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ ดูเหมือนว่าหน้าหนังสือสีเหลืองนี้กำลังร้อนเป็นไฟอย่างมหันต์

นี้ไม่ใช่ .ชื่อของเคล็ดวิชาระดับสูงของสำนักเกาะเมฆาบรรพกาล ? นางเคยได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวเมื่อ 300 ปีก่อนที่สำนักของนางได้สูญเสียเคล็ดวิชาระดับสูงไป และมันถูกเรียกว่า เคล็ดวิชา แปลงกายทลายจันทร์ดารา

เมื่อหลายวันก่อนนางได้ยินคำกล่าวเรื่อยเปื่อยของผู้อาวุโสที่มาดูนกยุงของตนเอง หากว่าสำนักของเขาไม่สูญเสียง เคล็ดวิชา แปลงกายทลายจันทร์ดารา ศิษย์อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์คงจะมีการฝึกฝนวิชายุทธุ์รวดเร็วยิ่งกว่าตอนนี้

มันคือเรื่องจริงหรือเรื่องล้อเล่น ? จิตใจจองเมียวหลิงเต็มไปด้วยความว้าวุ่นและความแค้นใจ และมีความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้

นางกลับไปมองหน้าหนังสืิอสีเหลือนั้นอีกครั้ง นางรีบหยัดเข้าไปในจดหมายเหมือนเดิน นางไม่ดูแลแม้แต่นกยุงของผู้อาวุโส แต่ถือกระโปรงของตนเองและวิ่งเข้าไปในสำนักอย่างรีบร้อน

ระหว่างทางนางยังพบเจอกับศิษย์พี่หญิงที่่นางเกลียดชัง แต่จงเมี่ยวไม่ได้ใส่ใจกับคำกล่าวที่เยาะเย้ยของนางแม้แต่น้อย

นางวิ่งออกไปเป็นระยะทางกว่า 10 ลี้ ในที่สุดก็มาถึงที่พำพักของผู้อาวุโสฮั่นเจา ผู้อาวุโสฮั่นที่เป็นเจ้าของนกยูงที่นางรับผิดชอบเลี้ยงดู

แต่ยังมิทันที่นางจะเข้าไป กลับถูกศิษยืพี่ชายสองคนหยุดยั้งเอาไว้

มีอะไรหรือ? หนึ่งในนั้นถามอย่างเย็นชา

จงเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสงบสติอารมณ์ของตนเองและกล่าวอย่างรวดเร็ว : ศิษย์พี่ท่านสอง ข้าต้องการพบผู้อาวุโสอั่น ข้ามีเรื่องสำคัญจะรายงาน

แม้ว่าสถานะของนางจะอยู่ในระดับต่ำ แต่นางทราบดีถึงมารยาทในการพบเจอและความสำคัญของเรื่องราวที่น่างกำลังพบเจอ นางจึงไม่กล้าที่จะกล่าวถึง เคล็ดวิชา แปลงกายทลายจันทร์ดารา

ศิษย์พี่คนหนึ่งหัวเราะอย่างเย็นชา : ผู้อาวุโสปิดกั้นตนเองเพื่อฝึกฝนวิชายุทธุ์ ผู้อาวุโสไม่พบใครทั้งสิ้น !!

แต่ข้ามีเรื่องราวที่สำคัญและเร่งด่วนเพื่อจะรายงานเขา จงเมี่ยวรู้สึกวิตกกังวลอย่างยิ่ง ระหว่างที่นางกล่าว นางพยายามที่จะพุ่งเข้าไป แต่ก็ถูกหยุดยัั้งและปฏิเสธจากศิษย์พี่ชายทั้งสอง

เจ้าเป็นเพียงเด็กรับใช้ที่ให้อาหารนกยูง เจ้าจะมีเรื่องอะไรที่สำคัญมากมาย ชายอีกคนหัวเราะอย่างแผ่วเบา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขากำลังดูหมิ่นศิษย์น้องคนนี้

จงเมี่ยวจ้องมองไปยังศิษย์พี่ชายทั้งสองด้วยความโกรธ หากพวกเขาทั้งสองปฏิเสธ นางก็ไม่มีวันที่จะเข้าไปได้ นางครุ่นคิดอย่างวิตกกังวลและไม่รู้ว่านางเอาความกล้ามาจากไหน นางนำสองมือเอาไว้บนปากและกล่าวตะโกนอย่างสุดกำลัง : ผู้อาวุโสฮั่น แย่แล้ว นกยูงของท่านตายแล้วทั้งหมด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด