ตอนที่แล้วตอนที่ 161 ความวิเศษของเขตแดนลมปราณหมุนเวียน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 163 ศิษย์พี่ที่ไม่ได้สติ

ตอนที่ 162 การตอบสนองของเคล็ดวิชาคู่


ตอนที่ 162 การตอบสนองของเคล็ดวิชาคู่

หยางไค่ดึงกระถางธูปออกมาและจุดมันขึ้้น ก่อนจะนั่งขัดสมาธิตรงหน้าปากถ้ำ และฝึกฝนวิชายุทธุ์ของตนเอง

แม้ว่าวิธีการที่ดีที่สุดในการสร้างหยดน้ำพลังลมปราณหยางคือการกลืนกินผลไม้จิตวิญญานที่มีพลังหยาง หรือการดูดซึมพลังหยางจากก้อนหินพลังหยาง แต่ไม่ว่าอย่างไรหยางไค่ก็ต้องฝึกฝนกลยุทธุ์หยางเพื่อเคลื่อนไหวลมปราณของเขา

เขาต้องใช้คุณประโยชน์ของกระถางธูป เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของกลยุทธุ์หยาง เพื่อให้พลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายได้รับแรงกดทับจากกลิ่นหอมของกระถางธูป

หากเป็นเช่นนี้ เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ พลังลมปราณจะหมุนเวียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ของเขาจะยิ่งทวีความแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น

พลังที่กดทับ ต้องระเบิดมันออกมาในเวลาที่เหมาะสม

หยางไค่ฝึกฝนวิชายุทธุ์เป็นเวลา 2 วัน นอกจากการเพิ่มสมุนไพรในกระถางธูป เขาไม่ได้ทำสิ่งอื่นๆเลย

พลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างไม่น้อย การหมุนเวียนพลังลมปราณเหนื่อยยากแสนเข็ญ แต่หยางไค่ยังคงพยายามต่อไป

แต่ว่า ในขณะที่กำลังเคลื่อนไหวกลยุทธุ์หยาง เขาคิดถึงใบหน้าที่งดงามของซู่เหยียนหลายครั้ง ทุกครั้งที่คิดถึงนาง เขาจึงคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตำหนักศัดิ์สิทธิ์ทั้งหมดทั้งปวง คิดถึงความอบอุ่นจากร่างกายที่หอมหวานและผิวที่นุ่มนิ่มอย่างถึงที่สุด

น่าแปลก ทำไมตนเองถึงคิดถึงช่วงเวลานั้นตลอดเวลา ? หยางไค่ไม่สามารถหาคำอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือตนเองเป็นปีศาจที่ชั่วร้ายจริงๆ เมื่อได้รับอิสรภาพจากการคุมขังก็มิอาจที่จะควบคุมตนเองได้ ?

มันไม่มีทางเป็นไปได้ ตนเองสามารถควบคุมความคิดของตนเองแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดถึงช่วงเวลานั้นตลอเวลาหยางไค่จึงทำได้พยายามที่จะควบคุมตนเองไม่ให้คิดถึงช่วงเวลานั้น

ค่ำคืนหนึ่งของสองวันถัดมา หยางไค่ที่กำลังนั่งฝึกฝนวิชายุทธุ์ได้ลืมตาและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจกับเสียงที่น่าประหลาด สีหน้ายังแสดงออกด้วยความตกใจ

หยางไค่ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังสนั่นและจบด้วยเสียงที่กรีดร้องสั่นสะท้านจากความหวาดกลัวที่ดังมาจากด้านบน

หยางไค่รู้สึกว่าเสียงกรีดร้องเป็นเสียงที่คุ้นเคยแต่ก็ไม่ได้ยินจนชัดเจนที่จะคาดเดาว่าเป็นใคร

ในขณะที่กำลังสงสัยทันใดนั้นมีเสียงของก้อนกรวดที่ร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบน

สีหน้าของหยางไค่เยือกเย็นในทันที

ก้อนกรวดที่ตกลงมาจากเบื้องบนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีใครบางคนกำลังปีนจากเบื้องบนมายังเบื้องล่าง

หยางไค่เพิ่งสร้างจวนถ้ำนี้เสร็จได้เพียง 2 วัน จะถูกผู้อื่นพบเห็นได้อย่างไร

ขณะที่เสียงจากก้อนกรวดดังขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของหยางไค่เยือกเย็นและนิ่งสงบมากขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ทันใดนั้นสีหน้าที่เป็นกังวลพลันหายไปในทันที

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลได้ เขาสัมผัสได่ว่าคนที่มาเยือกเย็นคือซู่เหยียนเพราะกลิ่นอายแห่งพลังลมปราณปราณที่เยือกเย็น นอกจากนั้นโลหิตภายในร่างกายของเขายังพลุ่กพล่านมากขึ้น

บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเคล็ดวิชาหยินหยางรวมเป็นหนึ่ง เพราะพลังลมปราณของพวกเขาทั้งสองถูกถ่ายทอดซึ่งกันและกัน เมื่อทั้งสองอยู่ในใกล้กันจึงก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรง

นางเป็นคนกล่าวอีกว่าใน 1เดือน นางจะมาหาเขาเพียง 1 ครั้ง แต่นี้เพิ่งผ่านไปเพียง 10 วัน ทำไมนางถึงเข้ามาหาตนเองแล้ว เมื่อคิดได้ดังนี้ ใบหน้าของหยางไค่จึงเผยรอยยิ้มที่ปลื้มปริ่ม

ทันใดนั้น ความคิดอ่านทางจิตวิญญาณของเขาได้ส่งไปยังจิตวิญญาณของมารปฐพีว่าอย่างเพิ่งกลับมาในตอนนี้ และเขาจึงเดินไปรอที่ปากถ้ำด้วยความคาดหวังอย่างยิ่ง

หลังจากนั้น เงาร่างสีขาวบริสุทธิ์บินเข้ามาในถ้ำอย่างแผ่วเบา

ยังมิทันที่นางจะลอยสู่พื้นดินด้านล่างหยางไค่รีบวิ่งไปกอดนางในทันที

ร่างกายที่อบอุ่นของซู่เหยียนสัมผัสกับหน้าอกของหยางไค่ โดยที่หัวใจของเขาเต้นไปมาอย่างรวดเร็ว ภายใต้แสงจันทรา หยางไค่มองเห็นใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความเขิลอายของนาง

การเกล้าผมของนางทำให้นางดูเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่เย้ายวนมากกว่าเดิม

หยางไค่กำลังจะก้มหน้าจูบนาง

หยุดก่อน ซู่เหยียนรู้สึกถึงกลิ่นอายแห่งความเร่าร้อนที่แพร่กระจายเข้ามา นางฝืนอดทนและผลักหยางไค่ออกไปอย่างแผ่วเบา

ทำไมเหรอ? หยางไค่กล่าวถามด้วยความอดทน

ข้าไม่ได้มาคนเดียว ซู่เหยียนจ้องมองหยางไค่ด้วยความอึดอัด

ทันใดนั้นหยางไค่จึงสังเกตว่าแขนของนางกำลังพยุงร่างกายของคนคนหนึ่งด้าหลังของคนคนนี้ไม่ได้หมดสติไป แต่ทำไมถึงไม่ขยับเขยื้อนเช่นนี้ หากว่าซู่เหยียนไม่กล่าวบอกแก่หยางไค่ หยางไค่ก็คงไม่สังเกตเห็น

เกิดอะไรขึ้น ? หยางไค่จ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ ทำไมซู่เหยียนมาหาเขาแล้วยังพาคนอื่นๆมด้วย

เจ้ารู้จักนางไหม ? ซู่เหยียนกัดริมฝีปากสีแดงของหน้า สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความอึดอัดและความรู้สึกผิด

ให้ข้าดูก่อน หยางไค่พยุงคนคนนั้นขึ้นมาและอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนของเขา

ระวังด้วย นางเป็นหญิงสาว !! ซู่เหยียนกล่าวตักเตือนด้วยความขมขื่นใจ

อ่า .. ใบหน้าของหยางไค่แดงก่ำ แขนของเสมือนสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มของทรวงอกและทราบในทันทีว่านางเป็นหญิง

อย่าแตะต้องในส่วนที่ไม่ควรแตะต้องสิ ซู่เหยียนถลึงตาใส่หยางไค่

หยางไค่พลิกตัวร่างกายของหญิงสาวที่ไม่รู้จักด้วยความอึดอัดแต่ทันทีที่หยางไค่มองเห็นร่างกายของหยางไค่สั่นสะท้านราวกับถูกฟาด้วยสายฟ้า เขาอึ้งอยู่ชั่วขณะที่โดยที่ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา

ศิษย์พี่ตัวน้อย เป็นเวลานานกว่าที่หยางไค่จะตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เขาไม่คิดเลยว่าคนที่ซู่เหยียนพามาจะเป็นเซี่ยหนิงฉาง

ไม่น่าแปลกใจ ที่เขาคุ้นชินกับแผ่นหลังของนาง

ในตอนนี้ดวงตาทั้งสองของเซี่ยหนิงฉางปิดสนิท ใบหน้าของนางยังคงปกคุลมด้วยผ้าคลุมหน้าเช่นเคย ดูจากลักษณะนางของนาง นางไม่ด้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หมดสติโดยไม่รู้ตัวมากกว่า

มันเกิดอะไรขึ้น ? หยางไค่ไม่สามารถปะติดปะต่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้

หากว่าซู่เหยียนวิ่งมาหาเข้าในยามค่ำคืนยังหยางไค่ยังสามารถยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น แต่นางกลับนำพาเซี่ยหนิงฉางที่หมดสติมาด้วยมันทำให้เขาไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ก่อนหน้านั้น หยางไค่ได้ยินเสียงต่อสู้จากเบื้องบนจึงกล่าวถามซู่เหยียนด้วยความตื่นตกใจ : เจ้าทำร้ายนางจนหมดสติ?

ใบหน้าของซู่เหยียนแสดงออกมาด้วยความอึดอัดใจนางพยักหน้าและกล่าวตอบ : ข้าไม่ได้ทำร้ายนาง แต่นางอยู่ในสถานที่แห่งนี้ตลอดเวลา มันทำให้ข้าไม่สามารถมาหาเจ้าได้ ข้าจึงทำให้นางหมดสติไป ..

หยางไค่ใช้มือประคองศีรษะของเซี่ยหนิงฉางและสัมผัสไปที่หน้าผากของนางโดยไม่กล่าวสิ่งใด แม้ว่าเซี่ยหนิงฉางและซู่เหยีนจะอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง แต่เซี่ยหนิงฉางอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 3 หากนางต้องเผชิญหน้ากับซู่เหยียน ซู่เหยียนคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง นอกจากนั้นซู่เหยียนยังกล่าวว่าทำให้นางหมดสตินั่นหมายความว่าซู่เหยียนต้องแอบลอบโจมตีนางอย่างแน่นอน

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถเจรจากับศิษย์พี่ตัวน้องได้ไม่ยากเพราะนางไม่ใช่คนที่ไร้ซึ่งเหตุผล หากอธิบายเหตุผลที่ซู่เหยียนลอบโจมตีนาง นางคงไม่ถือสา แต่หากเรื่องนี้ทราบไปถึงหูของเม้งวู่หยา เม้งวู่หยาคงไม่ปล่อยเขาไว้แน่

ดูเหมือนว่าเจ้าจะสำคัญต่อนางมาก พวกเจ้าทั้งสองรู้จักกัน ? ซู่เหยียนกล่าวถามหยางไค่

อืม หยางไค่ไม่ปฏิเสธ เขาอุ้มร่างกของเซี่งหนิงฉางไปยังเตียงหินของเขา

เมื่อเห็นใบหน้าที่เสมือนหลับใหลของนาง ทำให้หยางไค่โล่งอกอย่างมาก ยังโชคดีที่ซู่เหยียนไม่ได้ทำร้ายนางจะได้รับบาดเจ็บ มิฉะนั้นผลที่ตามมาคงวุ่นวายยิ่งนัก

ซู่เหยียนไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก นางจ้องมองหยางไค่ด้วยความนิ่งสงบ

เจ้ามาหาข้ายามค่ำคืน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ? หยางไค่ค่อยโอบนางไปนั่งตรงข้างเตียงหิน

ซู่เหยียนบิดร่างกายไปมาด้วยความเขิลอายนางเม้มริมฝีปากและกล่าว : เปล่า

เจ้าคิดถึงข้า หยางไค่ยิ้มอย่างมีความสุข

ซู่เหยียนพยักหน้าเบาๆ

ขณะที่หยางไค่กำลังจะโน้มศีรษะลงต่ำซู่เหยียนยื่นมือปิดปากของหยางไค่เอาไว้ และกล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง : มันน่าแปลกมาก วิชายุทธุ์ที่ข้าฝึกฝนคือเคล็ดวิชายแห่งปราณจิตเย็น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นมันไม่ส่งผลต่อจิตใจของข้าแม้แต่น้อย มันไม่มีทางเกิดเหตุการณ์ที่ข้าคิดถึงเจ้าทุกครั้งที่ฝึกฝนวิชายุทธุ์ มันเริ่มคิดถึงเจ้าจึงกลายเป็นแรงกดดันที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ข้าคิดถึงเจ้าเช่นเดียวกัน

เพียงคำกล่าวเดียวทำให้ร่างกายของซู่เหยียนอ่อนระทวยและไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะต่อต้าน

เรื่องนี้เราค่อยปรึกษากัน หยางไค่ผลักซู่เหยียนไปยังเตียงหินที่กว้างใหญ่มือไม้ของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างกระหายความปราถนานอีกครั้ง

เสียงลมหายใจของเขายังหน่วงหน่วงสุดขีด

หยางไค่จ้องมองไปยังใบหน้าภายใต้แสงจันทราของซู่เหยียนซึ่งมองเห็นใบหน้าที่งดงามทันใดนั้น มือของเขาได้ปลอดเสื้อผ้าของนาง สองมือลูบไล้ไปยัง ผิวที่ขาวเนียนดั่งหยกที่บริสุทธุ์และทรวอกที่เด่นตระหง่านของนาง ซึ่งมันได้แผ่กลิ่นอายที่เย้ายวนและกลิ่นกายที่หอมหวานของนาง หยางไค่จึงแนบศีระษะลงดูดดื่มกลิ่นหอมของร่างกายและสองปทุมถันอย่างกระหาย

ใบหน้าของนาง ลมหายใจที่อ่อนโยนของนาง เปลือกตาที่สั่นไปมาทำให้นางยิ่งน่าหลงไหลราวกับภาพแห่งควาฝันที่ทำให้เขาไม่อยากตื่นขึ้นมา

การแสดงออกของนางเต็มไปด้วยความกังวลและความคาดหวัง

จากความแข็งแกร่งความงดงามและความเยือกเย็นของนางทำให้ศิษย์สาวกของทั้ง 3 สำนักขนานนามนางว่าเป็นนางเซียนที่งดงาม แต่ในตอนนี้นางเซียนที่งดงามของพวกเขา

ได้นอนอยู่ใต้อ้อมแขนของเขา ใบหน้าของนางยังแสดงสีหน้าที่พึงพอใจมันยิ่งทำให้หยางไค่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้

เมื่อโลหิตที่เดือดพล่านถูกกระตุ้นด้วยความเย้าวยน มันทำให้หยางไค่ไม่สามารถทนต่อความปรารถนา เขาจูบไปยังผิวเนียนนุ่มทุกแห่งหนของซู่เหยียน

หลังจากการจูบที่เร่าร้อนของหยางไค่ ในที่สุดหยางก็ได้สอดแทรกความเป็นชายที่แข็งขันเข้าไปยังร่างกายของซู่เหยียนอย่างลึกซึ้ง หยางไค่ขยับร่างกายไปมาอย่างด้วยความปรารถนาและความกระหายที่บ้าคลั่ง

ร่างกายของซู่เหยียนสั่นเล็กน้อย ขณะที่สะโพกของนางเริ่มขยับไปมาเพื่อรองรับการสอดแทรกที่รื่นย์เริงของหยางไค่

เมื่อร่างกายของซู่เหยียนถูกเติมเต็มด้วยแข็งขันของหยางไค่ ในตอนแรกนางรู้สึกเจ็บปวด แต่หลังจากนั้นราวกับว่าร่างกายของนางถูกกลืนกินด้วยความรู้สึกที่อ่อนหวานและถูกห้อมล้อมด้วยความรื่นรมย์จนยากที่จะหักห้ามใจ

นางใช้มือปิดปากของนางไว้เพื่อไม่ให้เสียงครางดังออกไปแต่ก็ยังมีเสียงครางที่อู้อี้ดังแว่วออกมาจากปากของนาง

จวนถ้ำของหยางไค่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวานแห่งความปรารถนาที่ครุกกรุ่น

เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความรื่นรมย์ พวกเขาทั้งสองต่างรู้สึกเขิลอายที่จะกล่าวสนทนาซึ่งกันและกัน

ไม่ใช่เพราะพวกเขาเขิลอายที่จะกล่าวสนทนาซึ่งกันและกัน แต่การเริงรักที่เต็มไปด้วยความปราถนาความกระหายและเป็นเวลาที่ยาวนานทำให้พวกเขาลืมไปว่าข้างๆของพวกเขายังมีเซี่ยหนิงฉางที่นอนหมดสติอยู่ด้วย

เซี่ยหนิงฉางนอนหมดสติโดยห่างจากพวกเขาไม่ถึง 1 คืบ

แต่โชคดีที่นางหมดสติไป มันทำให้หยางไค่โล่งใจ แต่ซู่เหยียนกลับกังลกับเรื่องนี้อย่างมาก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดที่ทำให้จิตใจที่มีกันและกันของพวกเขาทั้งสองหลงลืมเซี่ยหนิงฉางที่อยู่ข้างๆอย่างสนิท

หยางไค่โอบกอดซู่เหยียนไว้และกล่าวขึ้นมา : ซู่เหยียนข้าคิดว่ามันไม่เป็นเพราะข้าและเจ้า

อืม ซู่เหยียนพยักหน้อย่างแผ่วเบา ผมที่สยายลงของนางขยับไปมาบนอ้อมอกของหยางไค่ทำให้กลิ่นกายที่หอมหวานของนางจนน่าลุ่มหลงโชยออกมาอีกครั้ง

มันเป็นเพราะเคล็ดวิชาคู่ที่พวกเราทั้งสองฝึกฝน ดังนั้นในขณะที่พวกเราทั้งสองฝึกฝนวิชายุทธุ์จึงทำให้คิดถึงฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา จากสถานการณ์ของพวกเราทั้งสอง ยิ่งพวกเราทั้งสองฝึกฝนวิชายุทธุ์เท่าใด มันยิ่งทำให้พวกเราทั้งสองคิดถึงกันมากขึ้น

ซู่เหยียนตีไปที่ทรวงอกของหยางไค่เบาๆ เพื่อตำหนิที่เขากล่าวออกมอย่างซื้อตรงเช่นนี้

หลายวันที่ผ่านมาข้าไม่ได้ฝึกฝนวิชายุทธุ์อะไรมากมายความคิดถึงของข้าจึงไม่ลึกซึ้งเช่นเจ้า หยางไค่กล่าวความจริงที่เขาเพิ่งฝึกฝนวิชายุทธุ์ได้เพียง 2 วัน และยังมีการกดทับจากกลิ่นหอมของกระถางธูปสถานการณ์ของเขาจึงดีกว่าซู่เหยียนอย่างมาก

ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งสองถูกลิขิตให้อยู่ด้วยกัน หยางไค่กล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่ดีใจ

เป็นเช่นนี้ไมได้ ซู่เหยียนกล่าวอย่างเด็ดขาด : หากว่าพวกเราทั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มีทางที่จะควบคุมความปรารถนาซึ่งกันและกันได้

แล้วเราะจำอย่างไรต่อไป หยางไค่กล่าวถาม

เราต้องปราบปรามมันให้ได้ เราไม่ควรให้พลังหยินและหยางควบคุมพวกเราทั้งสองไว้ในพันธนาการของมัน

ซู่เหยียนมีการตัดสินใจที่เด็ดขาดทันทีที่นางกล่าวจบ นางเงยหน้ามองหยางไค่ด้วยความอ่อนโยน : ข้ารู้ว่ามันจะอาจจะทุกข์ทรามาณสำหรับเจ้า ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งปราณจิตเย็น ในขณะที่ข้าปราบปรามความรู้สึกในจิตใจมันส่งผลดีต่อข้าอย่างยิ่ง แต่มันแตกต่างกับเจ้า เจ้าฝึกฝนวิชายุทธุ์แห่งพลังหยางที่ร้อนระอุ ความรู้สึกของเจ้าจะรุนแรงกว่าข้าอย่างยิ่ง มันอาจทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมาณมากว่าข้าหลายเท่า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด