ตอนที่แล้วDND.3 - ยักย้ายพื้นที่และเวลา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปDND.5 - ทองคำกับเงิน

DND.4 - ทลายจักรวาล


วิชาบ่มเพาะพลังที่ได้จากในสำนักไม่เพียงพอต่อเขาในการประเมินอีกครึ่งปีแน่ เขาต้องการเรียนรู้วิชาบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งกว่านี้

 

ระดับแรกในห้องตำรามีเพียงวิชาพื้นฐานที่บอกไม่ได้ว่าอ่อนแอหรือแข็งแกร่ง

 

นอกจากพลังของวิชาบ่มเพาะพลังเองแล้ว ผู้ที่ฝึกวิชาต้องเข้าใจวิชาด้วยว่าเข้ากับตนเองหรือไม่และเมื่อไหร่จะใช้พลังของมันได้อย่างเต็มที่

 

อย่างเช่นหากศิษย์คนไหนใช้วิชาขาเป็นหลัก วิชาขาใหม่ก็จะแข็งแกร่งมากเมื่อฝึกเสร็จแล้ว ต่างกับคนที่ไม่เคยฝึกวิชาขามาก่อน วิชาขาใหม่ของเขาจะไม่รุนแรงมากนัก

 

อย่างซือหยูเองก็ไม่ได้หาวิชาบ่มเพาะพลังใหม่ที่แข็งแกร่ง เขาหาวิชาที่ครบเครื่องและเหมาะกับพลังที่เขามี

 

ซือหยูรู้วิชาขาขั้นพื้นฐานและเชี่ยวชาญวิชาหมัดอยู่บ้าง มันจึงมีวิชาบ่มเพาะพลังหลายแบบที่เขาเลือกได้

 

“เอ๊ะ ทลายจักรวาล?”

 

ซือหนูเจอตำราเกี่ยวกับพื้นฐานวิชาบ่มเพาะพลัง มันเป็นการผสมผสานระหว่างวิชาหมัดและวิชาขา มันแข็งแกร่งและฝึกยากกว่าเมื่อเทียบกับลูกเตะหยก

 

ในบรรดาวิชาบ่มเพาะพลังพื้นฐาน วิชาทลายจักรวาลเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุด หากมันถูกจัดกลุ่มก็จะจัดอยู่ในวิชาบ่มเพาะพลังพื้นฐานอันดับต้นๆ

 

“วสันต์สีเหลืองสื่อถึงพื้นพิภพ พื้นที่สีหยกสื่อถึงสวรรค์ เมื่อรวมกันแล้วจึงครอบคลุมทั้งโลกและสวรรค์”

 

ซือหยูตั้งใจอ่าน

 

“วิชาบ่มเพาะพลังนี้เป็นการผสมผสานระหว่างวิชาหมัดและวิชาขา มันเป็นการโจมตีที่ยากจะหลบหลีก มันแข็งแกร่งจนไม่ว่าจะหนีไปไหนก็ไม่มีทางพ้น”

 

“ก่อนที่จะเรียนวิชานี้ ผู้ฝึกตนจะต้องรู้ทั้งวิชาขาและวิชาหมัดที่ใช้ร่วมกันได้ดี ผู้ฝึกต้องเย็นดุจใบไม้ร่วงโรยและเคลื่อนไหวเร็วดั่งสายฟ้า”

 

“ปัจจัยหลักของวิชานี้คือผู้ฝึกตนจะต้องมีสายตาเฉียบคมที่สัมผัสพลังบนผืนดินและควบคุมทุกการเคลื่อนไหว มิเช่นนั้นการฝึกวิชานี้จะไม่เป็นผล”

 

“จงเลือกฝึกวิชานี้อย่างฉลาด ในตอนนี้มีคนไม่ถึงหนึ่งในพันที่เชียวชาญวิชานี้”

 

ดวงตาของซือหยูโชติช่วงไปด้วยไฟอันแรงกล้า นี่คือวิชาบ่มเพาะพลังที่เหมาะกับเขา

 

วิชาทลายจักรวาลเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมาก หลายคนอยากจะสำเร็จมัน คนพวกนี้กาจจะมีวิชาหมัดและขาที่ดี แต่ปัจจัยหลักด้านสายตาไม่เพียงพอ

 

หากพูดเรื่องสายตาแล้ว ตาของซือหยูสามารถมองได้ไกลถึงหนึ่งร้อยเมตร เขาเห็นขาของมดได้ราวกับมันอยู่ใกล้สายตา

 

“ดีล่ะ! ข้าเลือกวิชานี้!”

 

ซือหยูดีใจ

 

เมื่อชายแก่เห็นตำราทลายจักรวาลเขาก็ส่ายหัวเบาๆ

 

“หนุ่มน้อย...อย่าทะเยอทะยานนักเลย เลือกวิชาที่เหมาะกับตัวเจ้าจะทำให้เจ้าสำเร็จ พลังของวิชานั้นเป็นเรื่องรอง”

 

ซือหยูโค้งคำนับแสดงความขอบคุณ

 

“ขอบคุณที่สอนสั่ง”

 

แม้ว่าชายแก่จะเย็นชา แต่ทุกคำพูดของเขาควรได้รับคำขอบคุณ

 

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ซือหยูก็วางตำราทลายจักรวาลลงชั่วคราว

 

เพราะศิษย์แต่ละคนจะเข้ามายังห้องตำราได้ครั้งเดียวในหกเดือน เขาจึงต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่า หลังจากที่ดูตำรามามากกว่าครึ่ง เขาก็ไม่พบวิชาใดที่เหมาะสม ราวกับว่าสิ่งที่เหมาะกับเขาเพียงอย่างเดียวก็คือวิชาทลายจักรวาล

 

ทันใดนั้นเขาก็พบตำราสุดท้ายที่ทำให้สายตาเขาเป็นประกาย

 

“ตำราลับศรทะลวงร้อยศอก”

 

“นี่เป็นอาวุธของผู้ใช้ธนู พลังของวิชานี้ขึ้นอยู่กับพลังแขนขวาและความแม่นยำของผู้ใช้ธนู พลังของอาวุธจะแตกต่างไปตามผู้ฝึกตน”

 

“ความต้องการพื้นฐานคือผู้ฝึกต้องมีสายตาที่มองเห็นแมลงไกลออกไปอย่างน้อยห้าสิบเมตรได้ หากทำไม่ได้แล้วก็ควรจะเลิกคิดฝึกวิชานี้ มิเช่นนั้นจะเสียเวลาเปล่า”

 

ซือหยูเห็นขามดได้ในระยะร้อยเมตร และมันก็เกินกว่าความต้องการพื้นฐานของวิชาศรทะลวงร้อยศอก

 

เขาชั่งใจความต้องการตำราและดูตำราอื่นต่อไป

 

หลังจากเปิดดูตำราอื่นคร่าวๆแล้วก็มีเพียงวิชาทลายจักรวาลและตำราลับศรทะลวงร้อยศอกเท่านั้นที่ดึงดูดเขาได้

 

เขาไม่รีบออกจากห้องตำรา เขาหาตำราอื่นต่อไปและพบว่ามันมีวิชาหลายประเภท

 

มีวิชาพิษอันน่ากลัว วิชาปรุงยา วิชากลยุทธ์ วิชายันต์….

 

ซือหยูที่ใช้วิชาบ่มเพาะพลังไม่สนใจวิชาพวกนี้

 

ตอนนั้นเขาก็ได้พบตำราวิชาตัวเบาเงาเมฆา และมันก็เป็นวิชาป้องกันตัว

 

“วิชาบ่มเพาะพลังนี้เหมาะกับผู้มีพลังปราณแข็งแกร่ง ตำรานี้ยากจะเข้าใจ โปรดเลือกให้ดี”

 

“สำหรับวิชาบ่มเพาะพลังนี้ เมื่อสำเร็จขั้นแรก ผู้ฝึกจะเร็วได้เท่าเสียง เมื่อสำเร็จขั้นสอง ผู้ฝึกว่าเร็วกว่าผู้ที่ระดับขอบเขตพลังสูงกว่า เมื่อสำเร็จขั้นสามที่เป็นจุดสูงสุด ผู้ฝึกจะเร็วกว่าผู้ที่ขอบเขตพลังสูงกว่าไปมาก”

 

“ผู้ที่จะเรียนวิชาบ่มเพาะพลังนี้จะต้องมีพลังปราณที่แข็งแกร่งมาก ตอนนี้มีไม่ถึงหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่สำเร็จวิชานี้ โปรดเลือกให้ดี”

 

ซือหยูตาลุกวาว หากมีคนไม่ถึงหนึ่งในหมื่นสำเร็จวิชานี้ หมายความว่าในสำนักนี้เองก็อาจจะไม่มีใครสำเร็จวิชานี้เลย

 

ซือหยูเพลิดเพลินอยู่กับการอ่านตำรา หากเขาสำเร็จวิชาร่วมกับศรทะลวงร้อยศอก พลังโจมตีระยะไกลของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมาก แต่ช่างน่าเสียดายที่เขายืมตำราได้แค่เล่มเดียว

 

ซือหยูไม่อยากจะกลับไปที่ตำราทลายจักรวาล เขาเริ่มเปิดตำราและคิดกับตัวเองว่ามันเป็นไปได้ไหมที่เขาจะจำตำราบ่มเพาะพลังทั้งเล่มและยืมอีกเล่มแทน?

 

ในชีวิตก่อนหน้าเขามีความจำค่อนข้างดี แม้ว่าเขาจะจำภาพไม่ได้ แต่หนึ่งชั่วโมงเขาก็จำได้มากกว่าสามพันคำ เขาค่อยๆ นับคำในตำราทลายจักรวาลและเริ่มไม่มั่นใจ มันมีมากกว่าสามหมื่นคำ หมายความว่าเขาต้องใช้เวลาสิบชั่วโมงในการจดจำมันทั้งหมด

 

เห็นได้ชัดว่าห้องตำราไม่ให้ศิษย์อยู่สิบชั่วโมงแน่

 

เมื่อซือหยูเปิดหนังสือเขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในอีกพื้นที่หนึ่ง เขาพบว่าชายแก่ข้างๆ เขาหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์โดยไม่ขยับแม้แต่น้อย อากาศเองก็ดูนิ่งสงบ

 

และก็บังเอิญว่าศิษย์ที่เข้ามาก็หยุดนิ่งเช่นกัน

 

“นี่มันการคุมเวลา!”

 

เขาตกใจและคิดถึงพลังของเขาทันที

 

ตอนที่เขาอ่านตำรา ดวงตาของเขาปลล่อยพลังออกมาด้วยตัวเองและทำให้เขาเข้าไปในพื้นที่ที่เวลาไหลอย่างรวดเร็ว สำหรับเขา สิบชั่วโมงได้ผ่านไป แต่กับคนอื่นมันผ่านไปเพียงชั่วโมงเดียว

 

นี่ต่างจากตอนที่เขาสู้กับอูซง เมื่อตัวตนข้างในเขาถูกกระตุ้น เวลาก็จะไหลผ่านไปเร็วขึ้นสามในสิบส่วน

 

เมื่อจิตของเขาใจเย็นและสงบนิ่งอย่างเวลาที่เขาอ่านตำรา เวลาก็จะไหลเร็วขึ้นสิบเท่า

 

ซือหยูดีใจมาก เขารีบเพ่งสมาธิอ่านตำราทันที หลังจากสิบชั่วโมงหน้าเขาก็ซีดลง การจดจำสามหมื่นคำทำให้เขาเหนื่อยมาก

 

แต่เขาก็เต็มไปด้วยความสุขเพราะเนื้อหาวิชาทลายจักรวาลอยู่ในสมองของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในโลกจริงเวลาก็ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมง

 

ชายแก่ประหลาดใจ ซือหยูดูตำราเล่มเดียวตลอดหนึ่งชั่วโมง หรือเขากำลังจะพยายามจดจำทั้งตำรากัน? หากจำภาพไม่ได้มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก

 

หลังจากนั้นซือหยูก็ใช้เวลาสิบชั่วโมงทำแบบเดิมกับตำราลับศรทะลวงร้อยศอก

 

สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกยืมตำราเงาเมฆา

 

การจดจำตำราบ่มเพาะพลังสองเล่มทำให้เขาเหนื่อยอ่อนอย่างมาก สำหรับซือหยูแล้วทั้งสามวิชาบ่มเพาะพลังคือขีดจำกัดของเขา

 

ชายแก่ตกตะลึง

 

“เจ้าหนู ข้าบอกเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้กินสิ่งที่เจ้าเคี้ยวได้ และเจ้าก็ยังไม่ฟังข้า มีคนมากมายอยากจะสำเร็จเงาเมฆาแต่ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำได้”

 

“หากเจ้าไม่ได้อะไรเลยในหกเดือนนี้รู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้น!”

 

ชายแก่ไม่พอใจ

 

“จงจำไว้ว่าเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปสอนวิชาบ่มเพาะพลังที่เจ้าได้จากสำนัก! หากมีคนจับได้เจ้าจะถูกขับออกจากสำนัก!”

 

“ข้าเข้าใจดี!”

 

เมื่อเขากลับไปที่หอพัก อูซงก็เอนหลังพิงทางเดินและอดทนต่อความอัปยษที่มีคนจ้องมองเขา เมื่อเห็นซือหยูกลับมา อูซงก็โมโหทันที

 

“ที่นี่เหมาะกับเจ้าดีนี่”

 

ซือหยูยิ้มกับตัวเองและไม่สนใจอูซงอีก

 

อูซงรักษาความเยือกเย็นและหัวเราะให้กับความโชคร้ายที่ซือหยูจะต้องเผชิญ

 

“เจ้าอยู่ได้ไม่นานหรอก ในที่สุดข้าจะได้อยู่ในห้องนั่นแต่เพียงผู้เดียว”

 

ซือหยูคิ้วกระตุก

 

หลังจากที่เข้าห้องพัก ซือหยูพบซองจดหมายสีดำบนโต๊ะ

 

...

 

ศิษย์น้องซือ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสำเร็จระดับสองแล้วและพลังเจ้าก็เพิ่มขึ้นมาก ข้าอยากจะขอประลองเพื่อให้เราได้ชี้แนะซึ่งกันและกันในอีกเจ็ดวันที่สนามประลองระดับเงินของสำนัก ข้าอยากจะประลองกับเจ้า

 

- เฉินเฟิง

 

 

เฉินเฟิง? เขาเห็นภาพรอยยิ้มของเฉินเฟิงทันที

 

ซือหยูได้ยินชื่อเสียงของเฉินเฟิงมาบ้าง ไม่เพียงแต่แต่ความป่าเถื่อน วิชาพิษของเธอก็พิศดารเข้าใจยาก มีศิษย์บางคนที่พิการจากการสู้กับเธอมาแล้ว

 

“นี่จะต้องเป็นฝีมือไอ้ฉินเฟิง!”

 

ซือหยูรู้ได้ทันที เฉินเฟิงที่เขาไม่เคยพบจะอยากประลองกับเขาทำไมกัน?

 

ซือหยูหัวใจเต้นแรง หากมันเป็นการประลองธรรมดาเขาคงจะไม่ต้องสนใจมัน

 

อีกเจ็ดวันในลานประลองคืองานที่จะจัดทุกหกเดือนของสำนักเชี่ยเฟิง  หากผู้ท้าประลองอยู่ระดับเดียวกันแล้ว ศิษย์ที่ถูกท้าจะปฏิเสธการประลองไม่ได้

 

ซือหยูสำเร็จระดับสองขั้นต้นและเฉินเฟิงสำเร็จระดับสองขั้นกลาง พลังของพวกเขานับว่าอยู่ในระดับเดียวกัน ซือหยูไม่สามารถปฏิเสธคำท้าประลองนี้ได้ หากเขาปฏิเสธเขาก็จะถูกลงโทษโดยการลดระดับและไล่ออกจากสำนัก

 

ฉินเฟิงจับตาดูซือหยูอยู่ เขาตั้งใจจะให้ซือหยูปฏิเสธคำท้าประลองและนั่นก็จะเป็นข้ออ้างที่ทำให้เขาถูกขับออกจากสำนักได้

 

“ฮ่าๆๆ เจ้าควรจะยอมแพ้ซะ เฉินเฟิงไม่ใช่คนที่เจ้าจะสู้ด้วยได้ เจ้าที่เพิ่งสำเร็จระดับสองไม่นานน่ะ”

 

อูซงหัวเราะให้กับความโชคร้ายของซือหยู

 

ซือหยูยังคงใจเย็นและเดินทางไปที่ป่าเทือกเขา

 

“ข้าไม่แน่ใจว่าข้าจะสำเร็จไปถึงระดับสองขั้นกลางในอีกเจ็ดวัน หากจะมีอะไรที่เพิ่มพลังข้าได้ นั่นก็จะต้องเป็นวิชาบ่มเพาะพลังทั้งสาม”

 

อย่างแรกคือวิชาทลายจักรวาลที่ผสมผสานระหว่างวิชาหมัดและขา วิชานี้ไม่ได้ต้องการทักษะที่ครอบคลุมมากนัก มันให้ความสำคัญกับพื้นฐานมากกว่า ผู้ฝึกจะต้องใช้วิชาหมัดและขาได้และมีร่างกายที่คล่องแคล่ว สำคัญที่สุดคือสายตาที่เฉียบคม

 

ซือหยูมีครบทุกอย่าง ซือหยูไม่เหมือนคนอื่น เขาฝึกในพื้นที่เปิดในป่าเทือกเขาอันกว้างขวาง

 

สองวันผ่านไป

 

แกร๊ก-

 

หมัดและลูกเตะที่เร็วราวกับเงาพุ่งตรงไปที่จุดเดียวกันของต้นไม้ ซือหยูโจมตีใส่จุดเดียวกันซ้ำๆด้วยความแม่นยำสูงมาก เวลาที่หมัดและลูกเตะปล่อยออกไปต่อเนื่องกันน้อยกว่าครึ่งวินาที

 

ใบหน้าของซือหยูเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

 

ในชีวิตก่อนของเขา พลังของซือหยูนับได้ว่าเท่าคนทั่วไป แต่เขาก็ไม่หยุดฝึกฝน เขาฝึกฝนทุกวันจนร่างกายของเขาแข็งแรงมาก ประกอบกับดวงตาใหม่ของเขาแล้วก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่เขาจะสำเร็จวิชา ในเวลาอันสั้นซือหยูก็สำเร็จวิชาทลายจักรวาลขั้นแรกแล้ว!

 

ในขั้นแรกหมัดและขาจะโจมตีจุดเดียวพร้อมๆกันด้วยพลังระเบิด รวมกับวิชาบ่มเพาะพลังเองแล้วมันก็สามารถเอาชนะศิษย์ที่สำเร็จระดับสองขั้นต้นส่วนมากได้แล้ว

 

แต่มันยังไม่พอ! ซือหยูต้องเอาชนะคนที่เป็นระดับสองขั้นกลาง และพลังของเธอก็พิศดารอีก ทำให้มันยากที่จะหลบหลีก

 

ซือหยูตั้งใจฝึกต่อไป

 

สามวันผ่านไป เหลืออีกสองวันก่อนที่เขาจะต้องกลับไปประลองในสำนัก

 

หมัดขวาเขาต่อยต้นไม้และตามด้วยลูกเตะที่รวดเร็วปานสายฟ้าในจุดเดียวกัน วิชาของเขาเริ่มแข็งแกร่งและระเบิดพลังได้เต็มที่แล้ว

 

แต่มันยังคงไม่พอ ขาซ้ายของซือหยูเตะออกไปทันทีในจุดเดิมและหมัดซ้ายก็ถูกปล่อยไปอย่างรวดเร็ว

 

เขาโจมตีจุดเดิมอย่างต่อเนื่องด้วยหมัดและขาทั้งสองข้าง ทุกการโจมตีนั้นรุนแรงและมีพลังระเบิดอันน่ากลัว

 

วิชาบ่มเพาะพลังนี้มีการโจมตีสี่ขั้นและทุกขั้นคือการโจมตีแบบอัดอากาศจากทุกทิศทางและไม่มีทางหลบได้

 

นี่คือหลักสำคัญของวิชาทลายจักรวาล

Banshee Translate

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด