ตอนที่แล้วตอนที่10 2ปีต่อมา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่12 พบเพื่อนใหม่

ตอนที่11 งานก่อนเริ่มพิธีปลุกจิตวิญญาณ


หลังจากที่ผมได้มาถึงงานพ่อก็พูดว่านี่“เซียล์ลูกน่าจะไปพูดคุยกับเด็กๆคนอื่นเขาบ้างนะเพราะพ่อไม่เคยให้ลูกเข้าโรงเรียนเลยเพราะคำขอของลูกแต่ลูกก็ควรมีเพื่อนเหมือนกับเด็กคนอื่นๆเขาบ้าง” พ่อพูด

“ครับ” ผมตอบ

จากนั้นผมก็เดินไปรอบๆงาน ผมก็ได้พบกับพวกชนชั้นสูงคนอื่นๆกำลังจับกลุ่มคุยกัน ส่วนพวกเด็กๆที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผม

ทั้งชายและหญิงจับกลุ่มคุยกันตั้งแต่2-3คน หรือจับกลุ่มกัน4-8คนก็มี

โดยเนื้อหาโดนรวมแล้วพวกเขาก็คุยกันในเรื่องของพิธีปลุกจิตวิญญาณนี้แหละบางคนก็ตื่นเต้น บางคนก็กังวล ก็อย่างว่าหละนะมันเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาเลยหนิ แต่ผู้ชายบางคนเหมือนจะชิวๆและนั่งไล่จีบสาว เอิ่ม......ก็นะ แต่เอาเถอะเอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็ยังไม่หากลุ่มที่น่าจะคุยด้วยได้และเดิมทีผมก็ไม่ได้ต้องการคุยกับคนอื่นอยู่แล้ว

ไม่ใช้ไม่อยากหาเพื่อนใหม่นะ แต่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นเพื่อนที่ควรคบด้วย

สำหรับผมแล้วเพื่อนควรมีความจริงใจให้กันและกันแต่เหล่าชนชั้นสูงส่วนใหญ่นอกจากคนที่สนิทกันจริงๆมักจะใส่หน้ากากเข้าหากัน

และมันเพื่อหาประโยชน์จากอีกฝ่ายอยู่เสมอ

“มอนด์ก็ยังมาไม่ถึงด้วยแฮะน่าเบื่อจริงๆเลย” เซียล์คิดในใจ

ระหว่างที่เขากำลังเดินไปคิดไปอยู่ๆก็มีคนมาชนผมจากข้างหลัง

“พลัก” (เสียงชนกัน)

หลังจากนั้นผมก็หันมาข้างหลังกลับไปและก็พบกับ......................

...

..

.

“มีสิ่งมีชีวิตที่สวยงามขนาดนี้ด้วยหรือ!!!!!” ผมอุทานในใจ

ภาพที่ผมเห็นคือผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม

เธอมีผมสีแดงยาวสลวยจนถึงสะโพก ดวงตาสีส้มแกมทอง เธอตัวเล็กกว่าผมเล็กน้อย ผิวขาวรูปร่างสมส่วนเธอสวยสดงดงามและน่ารักเป็นอย่างมาก แต่เธอก็ยังปล่อยกลิ่นอายที่สง่างามเหมือนนางพญาเล็ดลอดออกมาจากตัวเธอ

 

“นี้มันสเปคผมเลยนี่นาลองคุยด้วยดีไม่นะ แต่จะนิสัยเป็นยังไงน้าถ้านิสัยดีก็คบด้วยได้สิ เธอจะหยิ่งรึปล่าวนะ เอ...แต่เราจะทักเธอยังไงดีนะให้ดูดี แต่เราไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าคนแรกที่เราคุยจะเกิดมาจาการชนกันแถมเป็นสาวสวยด้วย”  เซียล์คิดอย่างกระวนกระวาย เพราะไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้เขายังไม่เคยจีบสาวเลยแม้แต่น้อย

“แต่ยังไงก็ต้อง....เอาหละ”จากนั้นเซียล์ก็พูดว่า

“อะ อะ อะ เออ ขอโทษนะครับ ปะ ปะ เป็น อะไรหรือปล่าวครับ”

เซียล์พูดด้วยน้ำเสียงที่โคตรตุกตะกักและท่าทางดูประหม่า

“แย่แล้วเรา” เซียล์คิดในใจแล้วเขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า

“ต้องขอโทษจริงๆนะครับที่ชนคุณหนะ”

หลังจากนั้นเธอก็จ้องมาที่ผมแล้วผมก็เลยพูดโพล่งออกไปว่า

“อะ เออคือขอโทษนะครับ คือว่าผมไม่ได้ไปโรงเรียนตอนเป็นเด็กก็เลยไม่รู้จักใครน่ะครับ” ผมตอบตอบขณะกำลังพาดมือข้างนึงไว้ข้างหลังหัวและตอบอย่างเขินๆอายๆ แต่แล้วเธอก็ตอบมาในแบบที่เขาไม่คาดคิด

“อ๋อที่แท้ก็เป็นคนที่ไม่มาเรียนนี้เองว่าแล้วว่าทำไมถึงไม่คุ้นหน้า คิกๆ”

เธอตอบอย่างหัวเราะคิกคักเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า

“แต่นี้เธอไม่มีเพื่อนเลยหรอถึงจะไม่ได้ไปโรงเรียนแต่เธอก็น่าจะมีเพื่อน จากขุนนางที่อยู่บริเวณข้างเคียงหนิ” เธอถาม

“อ๋อ เพื่อนของผมยังมาไม่ถึงครับ” ผมตอบ

“ทั้งหมดเลยหรอ?”  เธอถาม

“เออ ความจริงคือ.........ผมมีเพื่อนคนเดียวอะครับ”

“อุ๊บส์........งั้นหรอ” เหมือเธอจะขำเล็กน้อย

“แล้วเพื่อนของคุณหละครับ”

“ยังมาไม่ถึงเช่นกันค่ะ เออแล้วคุณชื่อว่า?” เธอถาม

“ผมชินครับ ชิน อินากามิ แล้วคุณ?”

“ฉันชื่อ เบลลิน่า (bellina) ค่ะ”

“เอออออ แล้วเราจะชวนเธอคุยเรื่องอะไรต่อดีเนี่ย” เซียล์คิดในใจ

“เออคือว่าคุณเบลลิน่าครับถ้าเกิดว่าไม่รังเกียจคุณช่วยอธิบายความสัมพันธ์ของระดับจิตวิญญาณกับพลังวิญญาณหน่อยได้ไหมครับ” ผมถามไปถึงแม้ว่าผมจะรู้อยู่แล้วก็เถอะนะไม่รู้ว่าเธอจะตอบไหม

“คุณนี่เป็นคนแปลกจริงๆนะคะคุณน่าจะรู้อยู่แล้วแต่เดี๋ยวอธิบายให้ค่ะ”  เธอตอบ

“ระดับของจิตวิญญาณจะเป็นด้วยกำหนดทางสถานะทางพลัง วิญญาณค่ะ เช่น ถ้ามีจิตวิญญาณระดับทั่วไป จะสามารถบรรลุได้ถึงระดับก่อตั้งวิญญาณถ้าพยายามหน่อยเต็มที่จะบรรลุได้ไม่เกินระดับวิญญาณปฐพี อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้ามีจิตวิญญาณระดับโบราณสามารถบรรลุได้ถึงวิญญาณฟ้าถ้าพยายามเต็มที่อาจจะบรรลุได้ถึง

จอมพลวิญญาณค่ะ สรุปง่ายๆ ว่าทั้งระดับจิตวิญญาณมี9ระดับและระดับพลังวิญญาณ10ระดับค่ะโดยขีดจำกัดส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับเลขของตัวเองแต่ถ้าพยายามเต็มที่และโชคดีสูงกว่าตัวเลขของตัวเอง1ขั้นค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ” ผมตอบ

“แล้วคุณไม่เครียดบ้างหรอคะ วันนี้วันชี้อนาคตเลยนะคะ”

“ก็ไม่เท่าไหร่อะครับ แฮะๆ”

 

 

แต่เอาจริงๆจะว่าไปแล้วผมรู้สึกแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว

ตั้งแต่ที่ผมเริ่มคุยกับเธอ เหล่าเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมจ้อง  ผมด้วยสายตาแปลกๆแล้วก็ซุบซิบกัน เหมือนมันเป็นเรื่องแปลก

“เอ๋ ผมทำอะไรแปลกหรอ” แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก

จากนั้นไม่นานเบลลิน่าก็พูดกับผมว่า

“เพื่อนของฉันมาแล้วเดี๋ยวไปก่อนนะค่ะ” แล้วเบลลิน่าก็จากไป

จากนั้นไม่นานก็มีผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมเดินมาทางผมแล้วพูดกับผมว่า

“เฮ้ย นายชื่ออะไรหนะ อย่าเข้าไปยุ่งกับเธออีกหละ ถ้าข้าเห็นว่าแกยุ่งกับเธออีกละก็จบไม่สวยแน่”

เขาพูดกับผมด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยจะสุภาพ ผมก็รู้สึกงงเล็กน้อย

“ผมชื่อเซียล์ครับ มีเรื่องอะไรหรอครับ”

ผมตอบได้ด้วยน้ำเสียงที่เฉยเมย

“เจ้า.........” หลังจากนั้นเขาก็ตอบว่า

 

“นี้เจ้าไม่รู้หรอว่าข้าเป็นใคร? ข้าคือ เอนวี่ เดวี่

เป็นทายาทของ ตระกูลเดวี่ ซึ่งพ่อของข้า พันตัน เดวี่เป็นถึงมาร์ควิส!”

“อ๋อ แล้วทำไมหรอครับ” ผมตอบด้วยสีหน้าเฉยเมยไปอีกรอบ

“...............” แล้วเอนวี่ก็ถึงกับสตั้นไป3วินาที จากนั้นก็พุ่งเข้ามาด้วยเร็วสูง และ ขยับขามาขัดขาผม

แต่แน่นอนด้วยพรจากพระเจ้าแล้วกับคนที่จิตวิญญาณยังไม่ตื่นจะทำอะไรผมได้อย่างไร? ผมจึงขยับขาเล็กน้อยให้กลายเป็นว่าเขาพุ่งเขามาแล้วสะดุดล้มลงไปเอง

“ตุ๊บ” เอนวี่ล้มหน้าคว่ำพื้น จากนั้นก็เหมือนมีคนซุบซิบรอบๆ

“เอาแล้วไงมีคนมีเรื่องกับ เอนวี่เข้าให้แล้ว”

“เรื่องมันจะเป็นยังไงต่อนะ”

“เอาแล้วไง เอาแล้วไง เอาแล้วไง”

“ปกติมันก็พาลคนอื่นไปทั่วอยู่แล้ว ตัวเองใหญ่นักหรือไงโดนแบบนี้บ้างก็ดี”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะกี้เขาไม่ได้สะดุดพื้นล้มลงไปเองใช่ไหม”

จากนั้นไม่นานมอนด์ก็เดินมาหาผม ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขามาถึงที่งานตั้งแต่เมื่อไหร่

เปิดกลุ่มลับเเล้วน่ะครับ ไปดูได้ที่เพจเฟสบุ๊ก Rebirth of dragon spirit

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด