ตอนที่แล้วตอนที่ 137 ไม่ฆ่าเจ้ามีข้อดีอย่างไร
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 139 ควบคุมมารปฐพี

ตอนที่ 138 การแลกเปลี่ยน


ตอนที่ 138 การแลกเปลี่ยน

แม้ว่าหยางไค่จะหวั่นไหวต่อพลังอำนาจของเคล็ดวิชาเหล่านี้ แต่หยางไค่มิอาจทำร้ายผู้อื่นเพียงเพราะเคล็ดวิชาเหล่านี้

ใบหน้าเปลี่ยนเคล็ดวิชาของตนเองไป 7-8 ครั้ง เขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะหยางไค่หัวเราะด้วยความเยือกเย็นตลอดเวลา

จอมยุทธุ์หนุ่ม เคล็ดวิชาของข้าต่างเป็นเคล็ดวิชาเช่นนี้ ข้าไม่ได้หลอกหลวงเจ้าเลย

หากเจ้ามีค่าเพียงเท่านี้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าเพื่อสิ่งใด ? เสียงของหยางไค่เต็มไปด้วยความเย็นเฉียบ จากเคล็ดวิชาที่เขากล่าวออกมา หยางไค่ทราบในทันที ว่าตอนมีชีวิตเขาต้องเป็นมนุษย์ปีศาจที่ทำแต่เรื่องชั่วร้ายและโหดเหี้ยม

จอมยุทธุ์หนุ่มโปรดระงับความโกรธ ข้าจะคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อสักครูข้าเพิ่งตื่นจากการผนึกได้ไม่นาน ความทรงจำของข้าค่อนข้างที่จะว้าวุ่น ในตอนนี้ยังไม่สามารถคิดเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งให้แก่เจ้าได้ ให้เวลาข้าสักนิด ให้เวลาข้าอีกสักนิดข้ามั่นใจว่าจะทำให้เจ้าพึงพอใจอย่างแน่นอน

โอกาสมีครั้งเดียว เจ้ารักษาโอกาสนี้ไว้ให้ดี !!

ได้ ข้าไม่ทำให้จอมยุทธุ์หนุ่มผิดหวังอย่างแน่นอน

หยางไค่มิได้สนใจใบหน้านั้นเอง เพราะอย่างไรสถานที่แห่งนี้ถูกปิดกั้น มันเหมาะสมที่จะใช้เป็นที่รักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนใบหน้านั้น แม้ว่าตอนที่เขามีชีวิตเขาจะเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง แต่เขาเป็นมารเป็นปีศาจ แต่ในเวลานี้เขามิอาจที่จะใช้พลังที่แข็งแกร่งของเขา ดังนั้นหยางไค่จึงไม่กังวลถึงจดนี้

ร่างกายของหยางไค่ไร้ซึ่งยาสมุนไพรในการรักษา แต่อาการบาดเจ็บเช่นนี้คงใช้เวลาไม่นานในการฟื้นฟูให้มันหายดี

หยางไค่ล้วงเข้าไปในทรวงอก ดึงหินทารกสีทองออกมา จากนั้นจึงเคลื่อนไหวพลังลมปราณ เพื่อสัมผัสการเชื่อมโยงของเส้นสีทองที่อยู่ภายในของหินทารกสีทอง และเพื่อค้นหาความน่าอัศจรรย์ของหินลึกลับนี้

มีมีเพียงหมัดเปลวเพลิงผลาญสุริยันคงไม่เพียงพอ หยางไค่ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตน เพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาแขนงที่ 2 นี้

หากไม่แข็งแกร่ง เมื่อออกไปสู่โลกภายนอกจะถูกรังแกอย่างแน่นอน

เส้นสีทองในหินทารกตัวนี้มีจำนวนที่มากมาย มันมีทั้งหมด 78 เส้น มีความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ในขั้นฟ้าสรรค์ หรืออาจจะอยู่ในขั้นลมปราณวิเศษก็เป็นได้

ใช้เวลาไปกว่า 1 วัน หยางไค่จึงจะสามารถจำเส้นสีทองเหล่านี้ได้ขึ้นใจ มันคล้ายคลึงกับหินทารกในครั้งแรก เมื่อหยางไค่ดูดซึมเส้นสีทองนั้นจนเสร็จสิ้น มันได้แตกกระจายเป็นเศษธุรีไปในทันที

ในวันนี้ ใบหน้าต่างขบคิดด้วยความตั้งใจ ตนเองสามารถใช้สิ่งใดในการทำให้หยางไค่หวั่นไหวและพึงพอใจ เพื่อให้หยางไค่ไว้ชีวิตเขาอีกครั้ง แม้ว่าในตอนนี้เขาจะสามารถคิดเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ได้อีกแขนงหนึ่ง แต่หยางไค่ไม่กล่าวพร่ำเพรื่ออีกต่อไป เขาจึงไม่กล้าที่จะเปิดปากกล่าว ทำได้เพียงหลบซ่อนอยู่ภายในกระดูกทองคำด้วยความหวาดกลัว

หยางไค่ไม่ได้สนใจเขา ความคิดจิตวิญญาณทั้งหมดต่างให้ความสนใจกับเคล็ดวิชาที่ได้รับจากหินทารก

หยางไค่หลับตานั่นขัดสมาธิฝึกฝนตามเส้นทางของเส้นสีทอง พลังลมปราณหยางในเส้นชีพต่างเคลื่อนไหวตามเส้นทางนั้นทันที

หลังจากที่พลังลมปราณหยางไค่เคลื่อนไหวได้ 1 รอบ หยางไค่พบว่าเคล็ดวิชานี้แตกต่างกับหมัดเปลวเพลิงผลาญสุริยัน ตนเองไม่ได้ออกกระบวนท่าในการโจมตี แต่ว่าหลังมือของตนเอง ได้กระตุกไปมาอย่างรุนแรง

เส้นทางที่เคลื่อนไหวไม่ถูกต้อง ? หยางไค่กล่าวด้วยความสงสัย

เป็นไปไม่ได้ ตนเองเคลื่อนไหวพลังลมปราณหยางตามเส้นทางของเส้นสีทองที่อยู่ในหินทารกโดยไม่ผิดแม้แต่น้อย

หยางไค่เคลื่อนไหวพลังลมปราณอีกครั้ง แต่หลังมือของเขายังคงกระตุกไปมาอีกครั้ง

เกิดอะไรขึ้น ? มันไม่ใช่เคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ ? ทำไมตนเองจึงมี่การพุ่งกระบวนท่าออกไปเฉกเช่นหมัดเปลวเพลิงผลาญสุริยัน ?

เคล็ดวิชานี้มีความลึกลับอย่างไรแฝงอยู่ภายใน ทำไมมันถึงไม่เหมือนกับครั้งแรก ?

หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานั้น หยางไค่ก็มิอาจที่หาต้นตอทีแท้จริงของมันได้ ดังนั้นเขาจึงต้องสัมผัสสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อย่างช้าๆ

ผ่อนคลายจิตวิญญาณ หยางไค่ค่อยๆเคลื่อนไหวพลังลมปราณอีกครั้ง และทุกครั้งที่หยางไค่เคลื่อนไหว จะมีปฏิกิริยาตอบสนองจากหลังมือของเขา นอกจากการกระตุกของหลังมืออย่างชัดเจนขึ้นทุกครั้งทุกครั้ง เสมือนว่ามีสิ่งใดภายในร่างกายต้องการทะลวงออกมาจากร่างกายภายใน

และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หยางไค่เคลื่อนไหวพลังลมปราณกว่า 1000 รอบ ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหว หลังมือของเขาจะเกิดอาการเจ็บปวดอย่างกะทันหัน ความรู้สึกที่กระตุกไปมาได้หลุดพ้นในทันที และพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา

หยางไค่ลืมตาและก้มหน้าลงมอง พบกว่าหลังมือของตนเองมีภาพวาดโบราณปรากฏออกมา

ภาพวาดโบราณนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด หยางไค่จ้องมองเป็นเวลานาน และพบว่ามันเป็นรูปของดวงดาวในยามค่ำคืน ซึ่งกินพื้นที่หลังมือของเขาไปกว่าครึ่ง ในขณะที่ไม่เคลื่อนไหวพลังลมปราณมันไม่ได้เกิดปฏิกิริยาอื่นๆ แต่เมื่อเคลื่อนไหวพลังลมปราณรูปโบราณนี้เสมือนว่ามันมีชีวิต ประกายแสงสว่างระยิบระยับออกมาอย่างงดงาม

นอกจากนั้น หยางไค่รู้สึกว่าภายใต้เนื้อหนังที่รูปวาดนี้ดำรงอยู่ มันถูกสร้างเป็นห้วงมิติที่เขามิอาจจะมองเห็น

เมื่อพลังลมปราณเคลื่อนไหวผ่านไป มันจะถูกกักเก็บอยู่ภายในห้วงมิตินี้

หลังจากที่ทดสอบมากกว่าหลายครั้ง หยางไค่เคลื่อนไหวพลังลมปราณทั้งหมดไปยังภาพแห่งดวงดาวนี้ จากนั้นจึงชี้ไปยังพื้นดินที่ใกล้เคียง

การใช้ในครั้งนี้หยางไค่ไม่ได้ใช่พละกำลังอื่นๆแม้แต่น้อย หากว่าเขาชี้ไปยังมดตัวหนึ่งที่ยังมีชีวิต แน่นอนว่ามดตัวนี้ยังคงสามารถมีชีวิตรอดได้อีกต่อไป

แต่ในขณะที่พลังลมปราณที่ปลดปล่อยออกมาจากรูปภาพแห่งดวงดาว นิ้วของเขาต่างประกายด้วยแสงแห่งดวงดาว แม้กระทั่งภายในถ้ำที่มืดสลัวยังสว่างไสวเฉกเช่นเวลาในช่วงเช้า

คากฉากฉาก !!! แขนของหยางไค่หายไปในพื้นดินเกือบทั้งหมด แต่พื้นดินนั้นได้สั่นสะเทือนไปมาอย่างเสียงดัง แม้แต่หินย้อยที่อยู่เหนือถ้ำยังสั่นไหวและพุ่งลงมา

หยางไค่หัวเราะด้วยความดีใจ

แม้ว่าการชี้นิ้วของเขาในครั้งนี้จะใช้พลังลมปราณทั้งหมดในร่างกาย แต่พลังอำนาจแห่งการฆ่าที่ปลดปล่อยออกมารุนแรงและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเคล็ดวิชาสามัญที่ปลดปล่อยออกมา มันมีพลังอำนาจแห่งการฆ่าที่เหนือกว่าเกือบ 2 เท่า

หยางรู้ดีว่าหากว่าก่อนหน้านี้ตนเองปลดปล่อยพลังลมปราณทั้งหมดในร่างกาย ตนเองคงไม่มีทางที่จะแสดงอำนาจพลังความแข็งแกร่งของมันได้เช่นนี้

เคล็ดวิชานี้ค่อนข้างประหลาด !! หยางไค่ขมวดคิ้วไว้แน่น เพราะเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง

จอมยุทธุ์หนุ่ม จอมยุทธุ์หนุ่ม ร่างกายของเขามีเสียงแว่วออกมา ซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความระมัดระวัง

หยางไค่ขมวดคิ้ว เพื่อทบทาวนความคิดอ่านที่อยู่ในใจ

จอมยุทธุ์หนุ่ม เหมือนว่าข้าคิดเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ได้แล้ว ให้ข้ากล่าวให้เจ้าฟังไหม ?

ไม่มีการตอบรับ ใบหน้าที่อยู่ภายในร่างกายกระวนกระวายอย่างมาก ในเวลานี้เขากำลังรอคอยปฏิกิริยาตอบกลับของหยางไค่อย่างใจจดใจจ่อ เขากลัวว่าหยางไค่จะหลอมละลายเขา

หลังจากที่ใกล้ชิดกันได้ไม่นาน ใบหน้านั้นดูออกว่า หยางไค่ยังอายุน้อย และน้อยมาก แต่ว่าจิตใจของเขาค่อนข้างอดทน แข็งแกร่ง คนทั่วไปมิอาจที่จะเทียบได้กับเขา นอกจากนิสัยของเขายังซ่อนเร้นกลิ่นอายแห่งความโหดเหี้ยม ซึ่งกลิ่นอายนี้ทำให้ใบหน้าหวาดกลัวอย่างมาก

หลังจากที่รอเป็นเวลานาน หยางไค่จึงสามารถฟื้นคืนสติของเขาและกล่าว : เจ้ารู้ถึงสิ่งใด ? พูดมา

เสมือนว่าได้รับพรจากสวรรค์อันยิ่งใหญ่ ใบหน้ารู้สึกตื้นตัน เขารีบกล่าวอย่างรวดเร็ว : ข้าไม่รู้ว่าจอมยุทธุ์หนุ่มกำลังฝึกฝนวิชายุทธืหรือเคล็ดวิชาใด แต่ในความทรงจำของข้า เหมือนว่าข้าเคยพบเห็นเคล็ดวิชาแห่งการต่อสู้ที่คล้ายคลึงกับเคล็ดวิชานี้ ในขณะที่ท่านกำลังฝึกฝนมัน มันจะหาพื้นที่ในร่างกายที่ใดสักแห่งในการสร้างห้วงมิติของเคล็ดวิชาของมันเอง นอกจากนั้นพลังอำนาจของเคล็ดวิชาที่สามารถปลดปล่อยออกมา มีความเกี่ยวข้องกับพลังลมปราณที่กักเก็บอยู่ในห้วงมิตินี้

ในเวลาโดยทั่วไป จอมยุทธุ์หนุ่มสามารถส่งผ่านพลังลมปราณไปยังห้วงมิตินี้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องการใช้กระบวนท่านี้ จะสามารถแสดงอำนาจพลังของเคล็ดวิชานี้ได้ เคล็ดวิชานี้หากใช้ได้อย่างดีเยี่ยม พลังอำนาจของมันจะมากมายมหาศาล แต่หากใช้ได้ไม่ดี จะเป็นการสร้างเรื่องที่น่าอับอายให้แก่ตนเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับพลังลมปราณที่ส่งผ่านมาไปยังห้วงมิตินั้น พลังลมปราณจำนวนมาก เจตนาแห่งการฆ่าจะแข็งแกร่ง พลังลมปราณน้อย เทียบไมได้แม้แต่หมัดของเด็กน้อย

แต่กล่าวอีกนัยหนึ่ง จอมยุทธุ์หนุ่ม เคล็ดวิชาเช่นนี้ก็คือการแลกเปลี่ยนใน 1 ครา จากการบ่มเพาะพลังพลังลมปราณอย่างยากลำบากตลอดที่ผ่านมาทั้งหมด เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปลดปล่อยการโจมตีในครั้งเดียว มันเป็นเคล็ดวิชาในการป้องกันตนเองแขนงหนึ่ง

ทันทีที่กล่าวที่ใบหน้ากล่าวเรื่องราวที่ตนเองทราบจนจบ เขารีบปิดปากและอยู่อย่างสงบเงียบในทันที

ใบหน้าของหยางไค่ปรากฏรอยยิ้มเล็ก สิ่งที่ใบหน้ากล่าวออกมา ใกล้เคียงกับสิ่งที่ตนเองสัมผัสได้ มันจึงปลอดภัยยิ่งขึ้น ในจุดที่ไม่เข้าใจในเวลานี้ต่างกระจ่างขึ้นมาในทันที

ใช้การบ่มเพาะพลังลมปราณในช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างยากลำบาก เพื่อแลกเปลี่ยนกับปลดปล่อยการโจมตีในเสี้ยววินาที ?

มันเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้วัดพลังของตนเอง !!

หยางไค่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ผู้อื่นต้องฝึกฝนพลังลมปราณด้วยความยากลำบาก แล้วตนเองจำเป็นต้องทำเช่นนั้นไหม ?

ข้าต้องการศึกษามันอย่างละเอียด อย่ารบกวนข้า หยางไค่กล่าวตักเตือน

ขอรับ จอมยุทธุ์หนุ่ม .

สิ่งที่เจ้ากำลังกล่าวถึงไม่มีค่ามากเท่าไหร่ เจ้าคิดหาหนทางรอดของเจ้าให้ดีล่ะ !!

ใบหน้าแสดงออกมาด้วยความขมขื่น วิธีการของหยางไค่ช่างมีเล่ห์เหลี่ยมยิ่งนัก เสมือนว่าตนเองกำลังพบเจอกับเฒ่าจิ้งจอก

ตนเองทำสิ่งชั่วร้ายอะไรไว้ ? ทำไมถึงต้องการยึดครองร่างกายของเขา ?

ในขณะที่กำลังถอนหายใจด้วยความอาลัย หยางไค่รู้สึกว่าหยางไค่กำลังเคลื่อนไหวพลังลมปราณของตนเองไปยังห้วงมิติที่วิเศษนั้น

การเคลื่อนไหวพลังลมปราณของเขารวดเร็วอย่างยิ่ง หากเป็นตัวเขาเอง เขาไม่ทำเช่นนี้อย่างแน่นอนเพราะการทำเช่นนี้อาจจะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อร่างกายตนเองก็เป็นได้

ใบหน้าตักเตือนเขา ให้เขาเคลื่อนไหวพลังลมปราณให้ช้าลง เพราะการสูญเสียงพลังลมปราณอย่างรวดเร็ว จะทำให้ร่างกายต้องแบกรับภาระที่หนักหน่วงอย่างมาก แต่ในช่วงเสี้ยววินาทีนั้น ใบหน้าได้กลืนคำกล่าวตักเตือนของเขาในทันที

ฮึฮึ ตัวเขาเองบอกว่าห้ามรบกวน ไม่ใชว่าข้าไม่ต้องการตักเตือน

ถ้าจะให้ดี เคลื่อนไหวพลังลมปราณให้เร็วกว่านี้ เมื่อใดที่พลังลมปราณหมดไป ข้าจะคิดหาวิธีการหนีออกไปจากสถานที่เลวร้ายแห่งนี้ เจ้าเด็กน้อย ดูซิว่าจะฝืนทนได้อีกนานเท่าไหร่

พลังลมปราณทั้งหมดของหยางไค่ หากพึงพาการฝึกฝนวิชายุทธุ์ ต้องใช้เวลา 3-5 วันถึงจะสามารถเติมเต็มให้มันสมบูรณ์อีกครั้ง

แต่เขาใช้เวลาเพียง 2 ชั่วยามก็สามารถเคลื่อนไหวพลังลมปราณทั้งหมดไปยังห้วงมิติแห่งดวงดาวนั้น

เมื่อใบหน้าที่อยู่ภายในร่างกายสัมผัสได้ถึงจุดนี้ ใบหน้าแสดงออกด้วยความดีใจ เขาสัมผัสได้ว่าร่างกายของหยางไค่ในตอนนี้ค่อนข้างอ่อนแอ เส้นชีพจรลมปราณไร้ซึ่งพลังลมปราณ เป็นเวลาที่เหมาะสมในการหลบหนีที่สุด

ในขณะที่กำลังจะเคลื่อนไหว เขาต้องหยุดอย่างกะทันหัน

เพราะเขาพบว่าเส้นชีพจรที่ว่างเปล่าของหยางไค่ในตอนแรก เพียงพริบตามันกลับเต็มไปด้วยพลังลมปราณที่สมบูรณ์

บ้าเอ้ย !! เกิดอะไรขึ้น ? ใบหน้าเริ่มจะบ้าคลั่ง เพราะสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ในใจเขาคิดว่าเป็นเพราะตนเองถูกผนึกเป็นเวลานาน สติของเจาจึงเริ่มไม่ชัดเจนและก่อให้เกิดความรู้สึกที่ผิดปกติ ?

ไม่ใช่ ความรู้สึกเมื่อสักครู่ชัดเจนยิ่งกว่าความจริง ร่างกายของเด็กหนุ่มมลายหายไปจนหมดสิ้น แล้วเพียงชั่วพริบตาเขาจะสามารถฟื้นฟูพลังลมปราณให้กลับมาเหมือนเดิมได้อย่างไร ?

เป็นเพราะตนเองอาจดูผิดไป !! ใบหน้าปลอบโยนตนเอง จากนั้นจึงรวบรวมจิตวิญญานความสนใจให้แก่การกระทำของหยางไค่เพียงอย่างเดียว

2 ชั่วยามผ่านไป พลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายของหยางไค่เหือดหายจนหมดสิ้น รูปแห่งดวงดาวที่อยู่หลังมือเคลือ่นไหวอย่างแปลกประหลาดอีกครั้ง

ใบหน้าสาบานกับตนเองว่าความรู้สึกแห่งจิตวิญญาณเทพสวรรค์ของเขาไม่ได้ผิดไป พลังลมปราณของเจ้าเด็กหนุ่มนี้เหือดหายจนหมดสิ้น ไม่เหลือไว้แม้แต่นิดเดียว จากการเฝ้ามองกว่า 2 ชั่วยาม เขารับรู้และเข้าใจทิศทางการเคลื่อนไหวพลังลมปราณของหยางไค่อย่างกระจ่าง

ไม่ผิดแน่ ไม่มีทาง !!

แต่การเปลี่ยนแปลงในเสี้ยววินาที ทำให้เขาอึ้งจนตัวแข็งทื่อและตื่นตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เส้นชีพจรที่ว่างเปล่ากลับเต็มไปด้วยพลังลมปราณอีกครั้ง

เสมือนว่าพลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายของหยางไค่ไม่มีวันที่จะใช้ได้หมด

ใบหน้าตื่นตะลึง แม้ว่าเขาจะจำเรื่องบางอย่างไม่ได้ แต่ว่าความรู้สึกของเขายังชัดเจน คนคนหนึ่งไม่ว่าเขาจะมีพลังความแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับสูงเท่าไหร่ ไม่สามารถที่จะฟื้นคืนพลังลมปราณของตนเองได้รวดเร็วเช่นนี้

หากว่าคนอื่นๆทำเช่นนี้ได หากเป็นเช่นนี้โลกนี้คงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ?

วิชายุทธี่เขาฝึกฝนเป็นวิชายุทธุ์แขนงไหนกับแน่ ทำไมถึงมีผลที่พลิกฟ้าพลิกสวรรค์เช่นนี้ ?

ในตอนนี้ ใบหน้ามิกล้าที่จะดูถูกหยางไค่อีกต่อไป แต่มันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ตื่นตะลึงและชื่นชม

มีเส้นชีพจรลมปราณที่ไม่มีวันเหือดแห้ง มีพลังลมปราณที่ใช้ได้ไม่หมด ในอนาคตหากว่าเจ้าเด็กน้อยนี้เติบโตขึ้นมาเขาจะแข็งแกร่งและน่าหวาดกลัวซะเพียงใด ? เขาสามารถปลดปล่อยกระบวนท่าแห่งการที่รุนแรงและเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่แข็งแกร่งได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องกังวลการสูญสิ้นของพลังลมปราณ พลังการต่อสู้เพียง 1 คน เทียบเท่ากับพลังการต่อสู้ของคน 10 คน แม้กระทั่ง 100 คนหรือ 1000 คน !!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด