ตอนที่แล้วตอนที่ 36 ราชันรัตติกาล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 38 ปะทะเชิงเซียวหยวน

ตอนที่ 37 แผนการของตระกูลเชิง


จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ ตอนที่ 37 แผนการของตระกูลเชิง

 

“น้องเชิง!” หลิงตงซิงรีบยิ้มออกมาและยกมือประสานหมัดทักทายไปยังเชิงเหวิงควิน

 

“เข้ามาเลยๆ เจ้าเป็นแขกผู้มีเกียรติสำหรับวันนี้ ข้ากังวลนึกว่าเจ้าจะไม่มาเสียอีก!” เชิงเหวิงควินดึงแขนของหลิงตงซิงพาเดินเข้าไป แสร้งแสดงถึงความจริงใจ

 

“นี่เป็นงานเลี้ยงของน้องเชิง ข้าจะไม่มาได้อย่างไร?” หลิงตงซิงหัวเราะดัง

 

ทั้งสองคนคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน ดูราวกับเป็นสหายเก่ากันมานาน คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรหากมาเห็นเข้า คงจะไม่คิดหรอกว่าทั้งสองเป็นศัตรูที่อาฆาตกันถึงขนาดอยากให้อีกฝ่ายตายๆไปซะ

 

เชิงเหวิงควินไม่แม้แต่มองไปที่หลิงฮัน ราวกับว่ามันไม่รู้เลยว่านี่คือคนที่ทำให้บุตรทั้งสองคนของมันบาดเจ็บ และยังเป็นคนร้ายเบื้องหลังสงครามการค้าระหว่างสองตระกูล

 

“ฮันเอ๋อร์ อย่าเดินไปไกลนัก” หลิงตงซิงพูดสั่ง

 

“ขอรับท่านพ่อ!” หลิงฮันตอบกลับและพาหลิวอู๋ตงเดินไปกับเขา

 

ด้วยการนำทางของเชิงเหวิงควิน พวกเขามาถึงห้องโถงหลักอย่างรวดเร็ว ห้องโถงได้มีโต๊ะจัดเตรียมไว้เกือบร้อยโต๊ะและมีแขกหลายคนที่นั่งอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละโต๊ะมีชื่อของแขกเขียนเอาไว้ การที่จะนั่งผิดโต๊ะจึงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ

 

หลิงฮันและหลิวอู๋ตงนั่งลงที่โต๊ะของตนเอง

 

“นายน้อยฮัน!”

 

บนโต๊ะที่เขานั่งได้มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วสามคน พวกมันทุกคนทักทายหลิงฮัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพ

 

พวกมันทุกคนเป็นรุ่นเยาว์และเป็นศิษย์ของสำนักหมอกเมฆา เมื่อไม่นานมานี้พวกมันทุกคนเป็นพยานถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของหลิงฮันที่โค่นเชิงเซียงและน้องของมันลงได้ อีกอย่างพวกมันได้ยินมาด้วยว่าหลิงฮันอยู่ในระดับหลอมกายาระดับเจ็ด จึงเป็นธรรมดาที่พวกมันจะไม่แสดงความดูถูกออกมาแม้แต่น้อย

 

อายุสิบหกปีแต่มีพลังระดับหลอมกายาระดับเจ็ด... ในเมืองหมอกเมฆา พลังระดับนี้มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นอัจฉริยะ

 

หลิงฮันยิ้มตอบกลับ ในเมื่อพวกมันมาดี จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องเย็นชาใส่พวกมัน

 

หลังจากนั้นไม่นาน หลิงมู่เหยินก็นั่งลงที่เก้าอี้ของมัน ใบหน้าของมันบูดบึงและทำตัวราวกับมองไม่เห็นหลิงฮัน และพอนั่งไปได้สักพักเชิงเซียงก็เดินมานั่งโต๊ะนี้เช่นกัน

 

“หลิงฮัน เจ้าดูท่าทางสบายดีนิ!” เชิงเซียงยิ้มอย่างเย็นชาไปทางหลิงฮัน

 

หลิงฮันเหลียวมองมันและพูด “ฮ่าๆ บาดแผลบนใบหน้าของเจ้าดูเหมือนจะรักษาได้ไวดีนะ”

 

ใบหน้าของเชิงเซียงแดงก่ำขึ้นมาทันที ทุกๆครั้งที่มันนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้มันรู้สึกอยากจะฆ่าตัวตายเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม หลังจากวันนี้ไปมันจะสามารถลบล้างเกียรติยศอันด่างพร้อยออกไปได้อย่างสมบูรณ์ และได้รับความภาคภูมิใจกลับมาอีกครั้ง

 

“เจ้าจะภูมิใจต่อไปได้ก็แต่ตอนนี้ล่ะ!” มันพูดด้วยร้อยยิ้มอันเหี้ยมโหด

“หลังจากนี้ เจ้าจะต้องคุกเข่าต่อหน้าข้าและร้องขอความเมตตา!”

 

“นี่เจ้าลืมกินอย่ารึเปล่า? หรือกินยามากเกินไปกัน?” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม

 

เชิงเซียงไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่มุมปากของมันยกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มอันลึกลับ

 

จำนวนของแขกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในตอนแรก แขกส่วนใหญ่จะเดินไปรอบๆงานเลี้ยงเพราะนี่ถือว่าเป็นโอกาสดีที่พูดคุยทำธุรกิจ แต่เมื่อแขกเริ่มมาถึงเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างกลับไปนั่งอยู่กับที่ของตนเองเพื่อรอให้งานเลี้ยงเริ่ม

 

มีแขกหลายคนที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงคืนนี้เพราะพวกมันอยากจะเป็นพยานในเหตุการณ์ที่จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ของเมืองหมอกเมฆา

 

หลังจากนั้นไม่นาน เชิงเหวิงควินก็ยืนขึ้นและโบกมือไปรอบๆห้องโถง ราวกับจะส่งสัญญาณว่ามันอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แขกส่วนใหญ่ที่กำลังซุบซิบพูดคุยกันอยู่จึงหยุดการสนทนาของพวกมัน และห้องโถงหลักได้ตกอยู่ในความเงียบสงบ

 

หรือว่ามันจะยอมรับความพ่ายแพ้ต่อตระกูลหลิงต่อหน้าสาธารณชน?

 

“เหตุผลที่ข้าชวนทุกๆคนมาในคืนนี้ก็เพื่อนจะแนะนำคนบางคนให้รู้จัก” เชิงเหวิงควินเริ่มพูด

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น คนที่อยู่ที่นี่ทุกคนตกอยู่ในความมึนงง

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไม่ใช่ว่าเชิงเหวิงควินควรจะยอมรับความพ่ายแพ้ต่อตระกูลหลิงรึไงกัน? แล้วงานเลี้ยงคืนนี้กลายเป็นการแนะนำคนได้อย่างไรกัน? ถ้าพวกมันรู้มาก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ แขกส่วนใหญ่คงจะไม่มาร่วมงานเลี้ยงนี้เป็นแน่

 

ความสนใจของแขกทุกคนตกไปอยู่ที่หลิงตงซิง เมื่อเชิงเหวิงควินเคลื่อนไหวแบบนี้แล้ว พวกมันอยากจะเห็นว่าหลิงตงซิงจะตอบโต้อย่างไร

 

แต่สิ่งที่ทำให้แขกทุกคนผิดหวังคือ การที่ใบหน้าของหลิงตงซิงยังคงแสดงรอยยิ้มที่สงบนิ่งออกมา ราวกับว่าเขาไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย

 

เชิงเหวิงควินเริ่มพูดต่อ “คนคนนี้คือหลานชายของข้า เชิงเซียวหยวน เขาออกจากตระกูลไปเมื่อตอนอายุสิบสามปีและกลายเป็นศิษย์ของหนึ่งในผู้อาวุโสของนิกายหมาป่าหินผา ตอนนี้เมื่อเขาแข็งแกร่งพอสมควรแล้วจึงได้กลับมาเยี่ยมครอบครัว”

 

นิกายหมาป่าหินผา!

 

ทุกคนในที่นี้ตกอยู่ในความตะลึงในทันที  นิกายหมาป่าหินผาคือผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดในบริเวณหนึ่งพันไมล์นี้ และมีอำนาจเหนือเมืองทั้งสิบ ซึ่งรวมถึงเมืองหมอกเมฆาด้วย การที่เชิงเหวิงควินเผยไพ่ใบนี้ออกมาก็แสดงว่ามันไม่คิดจะยอมแพ้ต่อตระกูลหลิง และคิดจะใช้นิกายหมาป่าหินผาในการกดดันตระกูลหลิง

 

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เชิงเซียวหยวนก็เป็นเพียงศิษย์ของผู้อาวุโส อำนาจของเขาก็คงมีจำกัดสินะ?

 

“เชิงเซียวหยวนเองก็ได้เชิญแขกผู้มีเกียรติมาเช่นกัน!” เชิงเหวิงควินยิ้มอย่างหุบไม่อยู่ นี่ต่างหากคือไพ่ลับที่แท้จริงของมัน “ขอเรียนเชิญ ผู้อาวุโสเฉินเฟิงเลี่ย!”

 

ผู้อาวุโส!

 

ผู้อาวุโสจากนิกายหมาป่าหินผา? นั่นคือตัวตนอันแข็งแกร่งในระดับก่อเกิดธาตุ!

 

เชิงเหวิงควินตบมือเพื่อเป็นการต้อนรับ และแขกคนอื่นๆก็ได้ร่วมตบมือตาม ในขณะนั้นเอง ชายชราคนหนึ่งได้เดินออกมาจากห้องรับรองแขกและเดินมายังตรงกลางงานเลี้ยง เขามีรูปร่างไม่ใหญ่มากและแต่งชุดสีแดงทั้งตัว มันมีผมสีดำและผิวที่เปล่งประกาย

 

ด้านหลังของชายชรามีรุ่นเยาว์คนหนึ่งเดินตามมาติดๆ

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชราคนนี้ต้องเป็นเฉินเฟิงเลี่ย และผู้เยาว์อีกคนจะต้องเชิงเซียวหยวนอย่างแน่นอน

 

เฉินเฟิงเลี่ยเดินไปยังโต๊ะของเจ้าภาพผู้จัดงานและนั่งลง มันยิ่งยโสเป็นอย่างมาก ทำราวกับรอบๆตัวไม่มีใครอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าแสดงความไม่พอใจใดๆออกไป เพราะมันเป็นจอมยุทธที่ทรงพลังในระดับก่อเกิดธาตุ ถึงแม้พลังของมันจะเป็นเพียงก่อเกิดธาตุขั้นหนึ่งก็ตาม แต่มันก็สามารถกำจัดคนที่อยู่ในระดับรวมธาตุขั้นเก้าทิ้งได้อย่างง่ายดาย

 

ตลอดเวลามันไม่ได้เปิดปากพูดอะไรเลยสักคำ ในสายตาของมัน ในสถานที่นี้ไม่มีใครมีคุณสมบัติที่จะพูดกับมันได้แม้แต่คนเดียว ถ้าเชิงเซียวหยวนไม่อ้อนวอนขอร้องมันมาเป็นเวลาหลายวัน มันคงไม่ยอมแม้แต่จะโผล่หน้ามาที่นี่ด้วยซ้ำ

 

เชิงเหวิงควินมองอย่างพึงพอใจไปที่หลิงตงซิง ‘ข้ากระทั่งสามารถเชิญผู้อาวุโสจากนิกายหมาป่าหินผามาได้ เจ้ายังกล้าจะต่อต้านข้าอีกหรือไม่?’

 

เชิงเซียวหยวนไม่ได้นั่งกับเฉินเฟิงเลี่ยที่โต๊ะเจ้าภาพ แต่กลับเดินมานั่งข้างๆเชิงเซียงอย่างโอ้อวดแทน

 

หมอนี่อยู่ในระดับรวมธาตุ และน่าจะเพิ่งทะลวงมาได้ไม่นาน เพราะมันยังอยู่ในระดับรวมธาตุขั้นหนึ่งอยู่

 

“น้องชายเซียง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสู้กับใครสักคนเมื่อหลายวันก่อนแล้วแพ้สินะ?” เชิงเซียวหยวนพูดถามเชิงเซียง

 

“นั่นเพราะข้ามีความสามารถน้อยกว่าคู่ต่อสู้ เฮ้อ...” เชิงเซียงจงใจถอนหายใจออกมา

 

“โอ้?” เชิงเซียวหยวนยกคิ้วขึ้นและพูด “ใครกันที่เจ้าพ่ายแพ้? ข้าอยากจะเห็นคนๆนั้นสักหน่อย!”

 

“ฮ่าๆ ฟังแล้วอาจจะเหมือนอยู่ไกล แต่ที่จริงคนๆนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม!” สายตาของเชิงเซียงหันมองไปทางหลิงฮัน

 

“เจ้าแพ้ให้กับอัจฉริยะรุ่นเยาว์คนนี้รึ?” เชิงเซียวหยวนยิ้มอย่างเย็นชา และมองไปที่หลิงฮันพร้อมกับพูดท้าทาย

“เจ้ากล้ามาสู้กับข้าหรือไม่?”

 

**ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ**

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด