ตอนที่แล้วตอนที่ 33 เมล็ดก่อเกิดห้าธาตุ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 35 อ้าวเฟิง

ตอนที่ 34 การปรากฏขึ้นอีกครั้งของหอคอยทมิฬ


จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ ตอนที่ 34 การปรากฏขึ้นอีกครั้งของหอคอยทมิฬ

 

ในชีวิตที่แล้วของเขา หลังจากที่พิชิตอุปสรรคอันตรายหลายอย่างไปได้  หลิงฮันก็ได้เข้าไปยังหุบเขาพสุธทมิฬและได้ค้นพบหอคอยสีดำอันลึกลับ บนผนังของหอคอยมีอักขระสีทองนับไม่ถ้วนแกะสลักเอาไว้ ซึ่งอักขระเหล่านั้นคือคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์

 

นั่นนับว่าเป็นวาสนาครั้งใหญ่ที่สุดของหลิงฮัน แต่ก็เป็นวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตด้วยเช่นกัน

ด้วยการสั่นสะเทือนของหอคอย กายหยาบของเขาถูกทำลายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ วิญญาณของเขาเหลือรอดมาได้และล่องลอยตามกาลเวลาจนผ่านไปหนึ่งหมื่นปี

 

ตอนนี้พอมองไปยังหอคอยทมิฬ ต่อให้เป็นจิตใจที่แข็งแกร่งของจอมยุทธระดับสวรรค์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวไปชั่วขณะ ในชีวิตที่แล้ว ด้วยการสั่นเพียงเล็กน้อยของหอคอยทมิฬ ก็ทำให้เขาแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆได้แล้ว

และตอนนี้มันได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในร่างของเขา จะไม่ให้เขาหวาดกลัวได้อย่างไร?

 

อย่างไรก็ตาม หลิงฮันสามารถสงบสติได้อย่างรวดเร็ว

 

ถ้าหอคอยทมิฬคิดจะสังหารเขาอีกครั้ง มันก็คงทำไปนานแล้ว ถึงแม้เขาจะเพิ่งค้นพบการมีอยู่ของหอคอยทมิฬในตันเถียนของเขา แต่สิ่งนี้สมควรจะอยู่ในนี้มาเป็นเวลานานแล้ว

 

เมื่อเขาลองคิดอยู่อย่างถี่ถ้วน สิ่งนี้อาจจะทำให้เรื่องที่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้กระจ่างขึ้นมา

 

อย่างเช่นทำไมวิญญาณของเขาถึงอยู่มาได้ถึงหนึ่งหมื่นปี?

 

นั่นต้องเป็นเพราะหอคอยทมิฬ!

 

เหตุผลที่เขาเกิดใหม่ก็ต้องเป็นเพราะหอคอยทมิฬใช้วิธีการบางอย่างทำให้เป็นเช่นนั้น และติดตามเขามายังชีวิตใหม่นี้

 

“ข้าควรจะขอบคุณหรือเกลียดเจ้าดีนะ?” หลิงฮันพึมพำ

 

เป็นเพราะหอคอยทมิฬทำให้เขาต้องตายก่อนที่ควรจะเป็น แต่ว่าถ้าเขาไม่ถูกสังหารจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยช่วงชีวิตหนึ่งพันปีที่เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ เขาจะสามารถทำความเข้าใจคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ได้หรือไม่?

 

เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

 

เพราะแม้แต่ตอนที่เขาเป็นวิญญาณโดยที่ไม่ต้องกินหรือนอน เขายังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งหมื่นปีในการศึกษาคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์  ถ้าเกิดอยู่ในสภาพปกติที่ไม่ใช่วิญญาณ เขาจะศึกษามันสำเร็จรึ?

 

ตอนนี้เขามีความรู้สึกว่าหอคอยทมิฬได้ทำลายกายหยาบของเขาเพื่อช่วยให้เขาสามารถทำความเข้าใจคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ในร่างวิญญาณ เพราะงั้นเขาจึงมาเกิดใหม่ในขณะที่ทำความเข้าใจส่วนแรกของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ได้

 

ไม่เช่นนั้น ในโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้อย่างไร?

 

หอคอยทมิฬยังคงเป็นเหมือนในอดีต มันมีทั้งหมดเก้าชั้นและนอกจากชั้นที่อยู่ล่างสุดที่มีประตูปิดไว้อย่างแน่นหนา ชั้นอื่นๆที่อยู่เหนือขึ้นไปต่างถูกปิดผนึกเอาไว้โดยไม่มีหน้าต่างหรือทางเข้าใดๆ

แม้จะเป็นหลิงฮันก็ไม่สามารถบอกได้ว่าหอคอยนี้สร้างมาจากวัสดุอะไร สิ่งที่เขาสามารถสัมผัสได้มีเพียงบรรยากาศที่หนาวเหน็บ และกลิ่นอายแห่งบรรพกาล

 

ยิ่งกว่านั้น หลิงฮันยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตันเถียนสามารถเก็บอย่างอื่นนอกจากปราณก่อเกิดได้

 

หอคอยทมิฬต้องไม่ใช่สิ่งที่มาจากในโลกนี้แน่นอน!

 

มีโอกาสถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่หอคอยทมิฬจะมีต้นกำเนิดมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพราะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ที่แกะสลักไว้ที่กำแพง เป็นทักษะบ่มเพาะที่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงหมื่นปีในการทำความเข้าใจ จึงเป็นไปไม่ได้แน่ที่มันจะเป็นสิ่งที่เป็นของดินแดนมนุษย์

 

หลิงฮันอยากจะใช้จิตเข้าไปยังหอคอยทมิฬ แต่ถึงแม้ว่าจิตจะเป็นพลังงานไร้รูปแบบก็ตาม มันก็ไม่สามารถเข้าไปได้ และไม่ว่าจะหาวิธีเข้าไปอย่างไร ก็ไม่มีช่องว่างให้จิตของเขาเข้าไปแม้แต่ทางเดียว

 

เขาต้องการจะใช้กำลังฝ่าเข้าไป แต่เมื่อเขาบังคับจิตให้พุ่งไปทางประตู มันก็ถูกดีดกลับทันที

 

ในชีวิตที่แล้ว มันลบตัวตนของเขาด้วยการสั่นสะเทือน และตอนนี้มันยังมาอยู่ในตันเถียนของเขาโดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้ แถมยังไม่รู้อีกว่าหอคอยทมิฬนี้คืออะไรและทำอะไรได้

 

เขาไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้และสั่งให้จิตของเขาโจมตีหอคอยทมิฬอีกครั้ง ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ต้องรู้อะไรเกี่ยวกับมันให้ได้

 

หลังจากที่ใช้จิตของเขาโจมตีเข้าใส่หอคอยทมิฬซ้ำไปซ้ำมา ดูเหมือนว่าหอคอยทมิฬจะหมดความอดทนกับหลิงฮัน มันเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อยและในที่สุดก็มีการตอบสนอง มันส่งจิตสำนึกบางอย่างออกมา

 

คำพูดที่ส่งออกมาเกินกว่าจะเป็นภาษาทั่วไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างหลิงฮันจึงสามารถเข้าใจความหมายของมันได้  “ตัวเจ้าในตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไปและไม่สามารถเข้ามายังหอคอยได้ เจ้าต้องอยู่ในระดับก่อเกิดธาตุเป็นอย่างน้อยเสียก่อน แต่ในฐานะเจ้าของคนใหม่ของหอคอยทมิฬ ทุกๆครั้งที่เจ้าก้าวสู่ระดับใหม่ เจ้าจะได้รับพรจากหอคอยทมิฬหนึ่งอย่าง ซึ่งพรนั่นคือการทำให้พลังของเจ้าเพิ่มขึ้นหนึ่งระดับ”

 

ตัวอย่างเช่น พลังบ่มเพาะของหลิงฮันในตอนนี้คือรวมธาตุขั้นหนึ่งระดับต้น ด้วยพรของหอคอยทมิฬ เขาจะสามารถใช้พลังของระดับก่อเกิดธาตุออกมาได้ อย่างไรก็ตามมันเป็นพรที่ใช้ได้ครั้งเดียวเมื่อก้าวระดับ ถ้าเขาไม่ใช้มันจนกระทั่งทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุ มันก็จะเสียเปล่า

 

เจ้านาย? เขากลายเป็นเจ้านายของหอคอยทมิฬจริงๆรึ?

 

ถ้าเขาเป็นเจ้านายของมันทำไมถึงไม่สามารถใช้งานมันได้ล่ะ? ทุกๆครั้งที่เขาก้าวสู่ระดับใหม่ เขาจะได้รับเพียงพรที่ใช้ได้ครั้งเดียวจากหอคอยทมิฬ? ดูเหมือนว่าเขาจำเป็นต้องทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุเสียก่อนถึงจะรู้อะไรมากขึ้น

 

อย่างไรนี่ก็สามารถเป็นไพ่ตายของเขาได้ การที่สามารถเพิ่มพลังได้ถึงหนึ่งระดับในทันที สิ่งนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาพลิกวิกฤตได้

 

แต่เขาสามารถใช้ไพ่ตายนี้ได้เพียงครั้งเดียวของทุกๆครั้งที่เขาทะลวงระดับขึ้นไป... หอคอยนี่มันช่างขี้เหนียวจริงๆ!

 

หลิงฮันอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ก่อนที่จะเปิดตาขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าที่บูดบึ้ง

 

หลิวอู๋ตงรู้สึกอยากจะโกนออกไป เจ้าทะลวงระดับรวมธาตุได้ภายในวันเดียว แต่กลับยังทำหน้าตาไม่พอใจแบบนั้นอีก?

 

“เอาล่ะ กลับบ้านกันเถอะ!”

 

ชีวิตนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสถึงความรักจากบิดา และตอนนี้เขาได้ออกจากบ้านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว เขาจึงรู้สึกคิดถึงบ้านเล็กน้อย

 

ทั้งสองคนเริ่มเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางหลิงฮันได้ทำความเข้าใจทักษะห้าธาตุสวรรค์ในส่วนที่สองได้สำเร็จ ด้วยความสามารถในการเข้าใจที่สูงของเขา การจะเข้าใจเนื้อหาเล็กๆน้อยๆของส่วนที่สองจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร

 

ทักษะห้าธาตุสวรรค์มีอยู่ทั้งหมดเก้าส่วน ซึ่งตรงกับระดับพลังบ่มเพาะของจอมยุทธที่มีตั้งแต่ระดับหลอมกายาจนถึงระดับสวรรค์ ทุกๆครั้งที่เขาก้าวระดับขึ้นไปเขาจำเป็นต้องทำความเข้าใจส่วนต่อไปของทักษะเช่นกัน

 

พลังก่อเกิดทะลักออกมาจากตันเถียนของเขา จำนวนของมันมากกว่าตอนที่อยู่ระดับหลอมกายาขั้นเก้าถึงสิบเท่า พลังก่อเกิดหลั่งไหลออกมาจากตันเถียนของเขาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

เมื่อตอนออกเดินทางไปยังภูเขา พวกเขาใช้เวลาไม่เกินครึ่งวันก็ไปถึงจุดหมาย แต่ขากลับพวกเขาใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น

 

ในไม่ช้า เมืองหมอกเมฆาก็ปรากฎขึ้นในสายตาของพวกเขา

 

“ขอต้อนรับ นายน้อยฮัน!”

 

“ขอต้อนรับ นายน้อยฮัน!”

 

เมื่อพวกเขาเข้ามายังที่พักอาศัยตระกูลหลิง ทั้งคนรับใช้และคนคุ้มกันต่างก็ทักทายหลิงฮันด้วยความเคารพ ทุกๆคนรู้แล้วว่าหลิงฮันจัดการสองพี่น้องเชิงได้ จึงไม่กล้าที่จะหยาบคาบต่อหลิงฮันที่ก่อนหน้าที่เคยถูกเรียกว่าขยะอีกต่อไป

 

หลังจากสอบถามคนรับใช้ หลิงฮันจึงรู้ว่าบิดาของเขาอยู่ในห้องทำงาน

 

หลิงตงซิงเคยพูดเอาไว้ว่าตราบใดที่หลิงฮันทะลวงเข้าสู่ระดับหลอมกายาได้ มันจะบอกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกับมารดาของเขา

 

เขาเดินไปถึงประตูห้องทำงานอย่างรวดเร็ว

ประตูเปิดแง้มอยู่ เขาจึงกระแอมเบาๆก่อนจะพูด “ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว”

 

“ฮ่าๆ เจ้ากลับมาพอดีเลย คืนนี้ตระกูลเชิงเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยง และชื่อของเจ้าก็ถูกเชิญเข้าร่วมด้วย” หลิงตงซิงหัวเราะดังออกมา เงยหน้ามองไปยังหลิงฮันในขณะที่ถือบัตรเชิญอยู่

 

หลิงฮันรับบัตรเชิญมาตรวจดูชั่วขณะ และพูดพร้อมรอยยิ้ม “ตระกูลเชิงทนต่อไปไม่ไหวแล้วสินะ?”

 

หลิงตงซิงได้เริ่มการตอบโต้ตระกูลเชิงมาสักพักแล้ว

 

เมื่อหม่าตาจวินตัดกำลังทรัพยากรเม็ดยากับตระกูลเชิง ตระกูลเชิงก็กลายเป็นเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาที่สูญเสียขาไป

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้การเงินของตระกูลเชิงต้องหยุดนิ่ง เหมือนกับที่ตระกูลหลิงเคยเป็น

 

ตระกูลเชิงตกอยู่ในภาวะวิกฤติมาแล้วมากกว่ายี่สิบวัน

 

ในตอนนี้ ตระกูลเชิงได้ส่งบัตรเชิญมาหาพวกเขาให้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่พวกมันจัดขึ้น ราวกับว่ากำลังจะร้องขอความเมตตา

 

“คืนนี้เราสองคนจะเข้าร่วมงานเลี้ยง แต่เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้ด้วย ข้ากังวลว่าตระกูลเชิงอาจจะหมดหนทางจนต้องวางกับดักเอาไว้” หลิงตงซิงพูด แน่นอนว่ามันไม่คิดจะไปเพียงคนเดียว สมาชิกระดับสูงในตระกูลเองก็ต้องไปร่วมงานเลี้ยงพร้อมกับมันเพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลเชิงทำอะไรที่ไม่คาดคิด

 

หลิงตงซิงมองไปยังหลิงฮันและขมวดคิ้วเล็กน้อย มันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่มันก็คิดไม่ออกว่าอะไร

 

“ตุบ!”

 

หลังจากที่คิดอยู่ชั่วขณะ จู่ๆมันก็ทุบโต๊ะและกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ ทั้งใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ฮันเอ๋อร์... เจ้าทะลวงผ่านระดับรวมธาตุแล้ว!”

ในที่สุดมันก็รู้ว่าความรู้สึกแปลกๆที่มันรู้สึกคืออะไร

 

หลิงฮันพยักหน้า และพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว”

 

“ดีมาก! ดีมาก! ดีมาก!” หลิงตงซิงมีท่าทางตื่นเต้นมาก มันกำมือของตัวเองแน่น

 

“ท่านพ่อ ข้าอยากจะรู้เรื่องราวของท่านแม่!” หลิงฮันพูดด้วยเสียงจริงจัง

 

หลิงตงซิงลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะพยักหน้า “เจ้าในตอนนี้สมควรจะรับรู้มันแล้ว ข้าเคยคิดว่าเรื่องของแม่เจ้าจะต้องซ่อนอยู่ภายในใจของข้าไปชั่วชีวิต ข้าได้ปิดบังมันมานานจนเจ็บปวดใจไปหมด!”

 

หลิงฮันพยักหน้า หลายปีที่ผ่านมาหลิงต้องซิงต้องแบกรับความเจ็บปวดที่สูญเสียภรรยาไปเอาไว้คนเดียว ไม่มีใครที่สามารถมาแบ่งเบาความเจ็บปวดนี้ไปได้ จึงไม่แปลกที่มันจะต้องทุกข์ทรมาน

 

หลิงฮันสาบานกับตัวเอง ไม่ว่าใครก็ตามที่บังคับให้ครอบครัวของเขาต้องแตกแยกกัน คนๆนั้นมันจะต้องได้รับโทษที่มันทำอย่างสาสม!

 

**ติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ**

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด