ตอนที่แล้วบทที่ 172 ตื่น  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 174 ค่ายกลอีกาทองคำฉบับมหภาค  

บทที่ 173 ฉุดลากลงน้ำ*  


 

(*หมายถึงดึงเข้ามาร่วมหัวจมท้ายด้วย)

“ฉุนอวี๋เฉิง* ศิษย์พี่เรียกหาเจ้า” ใครบางคนตะโกนบอก

(*ฉุนอวี๋เป็นแซ่สองตัว เฉิง-ยินยอม)

“ทราบแล้ว” ฉุนอวี๋เฉิงปากรับคำ มือก็วางตัวอ่อนแมลงลงไปยังค่ายกลเพาะเลี้ยง จากนั้นลุกขึ้นยืน ปาดเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ปีนี้มันอายุยี่สิบสี่ รูปโฉมหล่อเหลาสง่างาม คิ้วดุจกระบี่ดวงตาดุจดวงดารา เป็นบุคคลอันแน่วแน่มั่นคงผู้หนึ่ง แม้ว่าจะเพิ่งเข้าสู่สำนักได้ไม่นาน ก็มีศิษย์สตรีหลายนางทอดไมตรีให้ แต่มันปฏิเสธไปทีละนาง

เทียบกับเรื่องรักใคร่ฉันท์บุรุษสตรี มันสนอกสนใจต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์ปราณมากกว่า

ระดับพลังบำเพ็ญเพียรของฉุนอวี๋เฉิงเรียกได้ว่าธรรมดาสามัญเท่านั้น มันเพิ่งทะลวงผ่านด่านจู้จี แต่ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนมัน มันอายุเพียงยี่สิบสี่ปี แต่ได้รับป้ายหยกขาวของผู้สื่อสารสัตว์ร้าย แม้ว่าไม่สามารถยกขึ้นเปรียบเทียบกับจั่วม่อได้ แต่ก็นับเป็นบุคคลมากพรสวรรค์ผู้หนึ่ง ป้ายหยกของสมาคมผู้สื่อสารสัตว์ร้ายแบ่งออกเป็น งูขาว เห่าดำ อสรพิษคราม และมังกรแดง ในสายอาชีพผู้คนมักนิยมกล่าวแทนด้วยสี ดังนั้นป้ายหยกงูขาวมักจะเรียกง่ายๆ ว่าป้ายหยกขาว

ในกองกำลังของจั่วม่อ มีอยู่สามคนที่ครอบครองป้ายหยกของสายอาชีพ หนึ่งจั่วม่อ สองฉุนอวี๋เฉิง ส่วนคนสุดท้ายเรียกว่ากงซุนชา* ผู้ได้รับป้ายหยกของคนฆ่าสัตว์ ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ากงซุนชาที่ดูขาวผ่องสะอาดสะอ้าน รูปโฉมดุจบัณฑิตคงแก่เรียน จะเป็นคนฆ่าสัตว์มืออาชีพ ว่ากันว่าไม่ว่าจะเป็นสัตว์ปราณชนิดใด ภายในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป มันสามารถชำแหละออกเป็นหลายร้อยชิ้น ปราณธรรมชาติในแต่ละชิ้นส่วนได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี อัตราสูญเสียปราณธรรมชาติไม่เกินยี่สิบในร้อยส่วนเท่านั้น

(*กงซุนเป็นแซ่สองตัว ชา – การเปลี่ยนแปลง, ความแตกต่าง, ไม่เมตตา)

ฉุนอวี๋เฉิงแม้ลุ่มหลงงมงายในการเพาะเลี้ยงสัตว์ แต่มันไม่ได้โง่งม มันรู้สึกถึงบรรยากาศเลวร้ายที่เพิ่มขึ้นในสำนัก ดังนั้นเมื่อได้รับการเสนอชื่อมายังหมู่เกาะแมกไม้รกร้าง มันไม่ลังเลเลย ตกปากรับคำในทันที ทีแรกปัญหาที่มันกังวลสนใจมากที่สุดคือความปลอดภัยของตน บัดนี้เมื่อค่ายกลมหึมาของศิษย์พี่จั่วม่อก่อตั้งแล้วเสร็จ ความกังวลที่ก่อตัวอยู่ในใจก็บรรเทาลงไปมาก

สภาพภูมิประเทศของเกาะแมกไม้รกร้างเลวร้ายกว่าภูเขาสุญตามาก แต่มันไม่ใส่ใจสักนิด เมื่อไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับปัญหาภายในสำนัก ในที่สุดมันก็สามารถมุ่งความสนใจไปยังงานเพาะเลี้ยงสัตว์ของมันได้เสียที

ได้ยินว่าศิษย์พี่จั่วม่อเรียกหามัน ฉุนอวี๋เฉิงรีบวางสิ่งที่กำลังกระทำลงทันที

ศิษย์พี่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของเกาะแมกไม้รกร้างในปัจจุบัน ฉุนอวี๋เฉิงอาจไม่ชมชอบคบหาสมาคมกับผู้คน แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ มันไม่ค่อยได้สนทนาพาทีกับศิษย์พี่มากนัก รู้สึกหวาดหวั่นไม่มั่นใจอยู่บ้าง ทั้งยังระมัดระวังอยู่บ้าง แต่จนถึงตอนนี้ มันนับว่าพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่มากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชุดแผนงานต่างๆ ที่ศิษย์พี่ประกาศออกมา การกระทำของศิษย์พี่ที่ปฏิเสธส่วนแบ่งพื้นที่ทุ่งปราณ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากทุกคน ฉุนอวี๋เฉิงรู้สึกว่าชีวิตในอนาคตเต็มไปด้วยความหวัง

“ศิษย์พี่ ท่านเรียกหาข้าหรือ?” ฉุนอวี๋เฉิงกล่าวอย่างระมัดระวังอยู่บ้าง หลังจากศิษย์พี่สังหารหนานหมิงจื่อ ก็เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความกลัวไว้ในใจของทุกผู้คน

แต่ในไม่ช้า ความสนใจของมันถูกลากไปยังบ่อน้ำที่ศิษย์พี่กำลังก่อสร้าง

นี่เป็นบ่อน้ำที่ดูแปลกพิสดารยิ่งจำนวนเก้าบ่อ ค่ายกลที่มันไม่เข้าใจถูกสลักไว้ด้านข้างผนังและก้นบ่อ แต่ในจำนวนนั้นมีอยู่หนึ่งหรือสองค่ายกลที่มันพอจะรู้จักอยู่บ้าง

นั่นเป็นค่ายกลหล่อเลี้ยงที่ใช้บำรุงเลี้ยงดูสัตว์ปราณ สามารถเร่งการเจริญเติบโต ทำให้สัตว์ปราณเติบโตรวดเร็วขึ้น

ศิษย์พี่สนใจการเพาะเลี้ยงสัตว์ปราณตั้งแต่เมื่อใด? ฉุนอวี๋เฉิงนึกฉงนอยู่บ้าง ศิษย์พี่ค่อนข้างเป็นตำนาน เล่าลือกันว่าศิษย์พี่รอบรู้สรรพวิชาแทบทุกอย่าง เช่นการหลอมสร้างยุทธภัณฑ์หรือหลอมกลั่นโอสถ แต่ละอย่างล้วนประสบความสำเร็จไม่น้อย แต่มันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าศิษย์พี่ยังล่วงรู้ศาสตร์แห่งการเพาะเลี้ยงสัตว์ปราณด้วย

“รอข้าสักครู่” จั่วม่อไม่ได้หยุด สองมือร่ายเวทวิชาอย่างต่อเนื่อง ลำแสงพวยพุ่งใส่ผนังบ่อน้ำติดต่อตามกันไม่ขาดสาย

ฉุนอวี๋เฉิงเริ่มเข้าใจ ลำแสงพวยพุ่งออกจากมือศิษย์พี่มากเท่าใด ผนังบ่อน้ำก็ยิ่งระยิบระยับมากขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามกับลวดลายค่ายกลในบ่อน้ำที่กลับกลายเป็นจางลง

เมื่อลำแสงชุดสุดท้ายฝังเข้าไปในผนังบ่อ ผนังบ่อน้ำกลายเป็นโปร่งใสประหนี่งสร้างด้วยผลึกแก้ว ลวดลายค่ายกลบนผนังเลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง

จั่วม่อหอบหายใจ เงยหน้าขึ้นถามว่า “เจ้ามีสัตว์ปราณอันใดติดตัวมาบ้าง?”

ฉุนอวี๋เฉิงชะงักงัน จากนั้นรีบตอบว่า “การเดินทางยาวนานเกินไป ยากที่จะนำสัตว์ปราณขนาดใหญ่ติดมาด้วย ทั้งหมดที่ข้านำมาล้วนเป็นสัตว์ปราณขนาดเล็ก อย่างเช่นผีเสื้อปราณ”

“อ้อ ผีเสื้อปราณงั้นรึ? ประเสริฐ ขายให้แก่ข้าสักหน่อย” จั่วม่อกล่าว

ฉุนอวี๋เฉิงกล่าว “ผีเสื้อปราณไม่ได้มีราคาค่างวดเท่าใด ศิษย์พี่ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ศิษย์พี่ต้องการมากเท่าใด? แล้วต้องการผีเสื้อปราณชนิดใด?”

“ชนิดใด?” จั่วม่ออึ้งไปวูบหนึ่ง จากนั้นย้อนถาม “ผีเสื้อปราณมีหลายชนิดหรือ?”

ฉุนอวี๋เฉิงหัวร่อไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก แต่ย่อมไม่กล้าเปิดเผยทางสีหน้า อธิบายว่า “เท่าที่ผู้น้องทราบมีอยู่ราวๆ สองหมื่นชนิด แต่ข้ามีไข่ผีเสื้ออยู่ประมาณหนึ่งร้อยชนิด พวกมันล้วนเป็นสายพันธุ์ธรรมดาที่พบได้ทั่วไปเท่านั้น” มันคาดเดาว่าศิษย์พี่บังเกิดความสนใจในการเพาะเลี้ยงสัตว์ปราณ แต่ก็เป็นเช่นที่มันกล่าว ไข่ผีเสื้อปราณที่มันมีไม่ได้มีราคาค่างวดเท่าใด ต่อให้ยกให้แก่ศิษย์พี่ไปทั้งหมด มันยังไม่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าแม้แต่น้อย

จั่วม่อเริ่มสนอกสนใจ “อ้อ ที่แท้มีเรื่องให้เรียนรู้มากมายปานนี้ ศิษย์น้องฉุนอวี๋ โปรดชี้แนะสักท่าสองท่าเถอะ”

“ศิษย์พี่เกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว” ฉุนอวี๋เฉิงถ่อมตัว แล้วเริ่มสาธยายข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับไข่ผีเสื้อนานาชนิดให้แก่จั่วม่อ

การสาธยายเบื้องต้นนี้ล่วงเข้าไปสองชั่วยามยังไม่จบสิ้น ฉุนอวี๋เฉิงกล่าวจนปากแห้งคอแห้งไปหมด จั่วม่อเองก็หัวหมุนงุนงงไม่น้อย

จั่วม่อพลันตระหนักว่าต่อให้ยามนี้มันมีบ่อฟูมฟักสัตว์ร้าย แต่หากคิดได้รับผลตอบแทนที่ดี ดูท่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เห็นศิษย์น้องฉุนอวี๋เฉิงยามบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ปราณ ทั้งรอบรู้ทั้งเจนจัดเป็นที่สุด มันอดทอดถอนใจไม่ได้ คิดทำศึกต้องการยอดขุนพลจริงๆ!

ทันใดนั้น ความคิดอันบรรเจิดก็พลันงอกเงยขึ้นในใจ

ไฉนมันไม่ฉุดดึงฉุนอวี๋เฉิงลงน้ำมาด้วยเสียเลยเล่า? หากให้ยอดฝีมือทางด้านนี้เช่นฉุนอวี๋เฉิงลงมือกระทำ ไยมิใช่ได้ผลลัพธ์ดีงามอย่างง่ายดายกว่าให้คนธรรมดาอย่างมันลงมือเอง?

ยิ่งคิดมากเท่าใด จั่วม่อพบว่าความคิดนี้ยิ่งดีงามมากเท่านั้น จุดประสงค์แรกเริ่มของมันคือทำกำไรจิงสือ เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่จำกัดจำเขี่ยจนหมดไป นอกเหนือจากการทำกำไรจิงสือ มันไม่ได้มีความสนใจจะเลี้ยงดูสัตว์ปราณเสียหน่อย มันร่ำเรียนศาสตร์วิชามากมายหลายแขนงเกินไปแล้ว หากเพิ่มเข้ามาอีกอย่าง เกรงว่าคงกัดกินไม่ไหวย่อยไม่ทันอีกต่อไป

ฉุนอวี๋เฉิงยังคงพร่ำบรรยายอย่างไม่ย่อท้อ ประกายคลั่งไคล้ในสายตามันจั่วม่อคุ้นเคยมาก นี่บ่งบอกว่าคนผู้นี้รักใคร่ลุ่มหลงการเลี้ยงดูสัตว์ปราณเป็นที่สุด

ท่วงท่าแน่วแน่มั่นคงเช่นนี้ยิ่งพิศดูยิ่งพึงใจ จั่วม่อตัดสินใจเด็ดขาด ต้องฉุดลากฉุนอวี๋เฉิงลงน้ำแน่แล้ว!

ฉุนอวี๋เฉิงกล่าวไปกล่าวไป บังเอิญเหลือบมองศิษย์พี่แวบหนึ่ง เห็นจั่วม่อดวงตาเขียวแวววาวอย่างกับหมาป่าหิวโหย ต้องใจหายวาบ แข้งขาอ่อนยวบ ลิ้นแทบพันกัน แต่พอมองให้แน่ใจอีกหน เห็นศิษย์พี่ดวงตาสงบราบเรียบ ราวกับนักบวชนิกายฌานยอดฝีมือผู้หนึ่ง

ไฉนเห็นภาพลวงตาไปเสียได้! ฉุนอวี๋เฉิงระบายลมหายใจโล่งอก จัดลำดับความคิดแวบหนึ่ง กล่าวสืบต่อ

จั่วม่อแสร้งทำเป็นฟังอย่างสนอกสนใจ แต่ลอบดึงม้วนหยกเปล่าออกมาจากแหวน บันทึกบางอย่างลงไป

จวบจนกระทั่งฉุนอวี๋เฉิงเสร็จสิ้นการบรรยายอย่างออกรสของมัน จั่วม่อรีบชมเชยเป็นการใหญ่ “ศิษย์น้องฉุนอวี๋มีความสำเร็จไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง วันนี้นับว่าช่วยเปิดหูเปิดตาข้าไม่น้อย!”

“ศิษย์พี่ชมเชยเกินไป ผู้น้องเพิ่งเข้าสำนักเท่านั้นเอง” ฉุนอวี๋เฉิงรีบกล่าวถ่อมตน

จั่วม่อพลันถามอย่างกะทันหัน “ศิษย์น้องฉุนอวี๋ชมดูบ่อน้ำเหล่านี้แล้ว มีความเห็นอันใด?”

“ผู้น้องรอบรู้จำกัด ชมดูไม่เข้าใจ เพียงรู้จักค่ายกลหล่อเลี้ยงอยู่บ้างเท่านั้น ดังนั้นบ่อน้ำนี้สมควรเกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์ปราณ” ฉุนอวี๋เฉิงตอบตามตรง

“ศิษย์น้องตาแหลมจริงๆ!” จั่วม่อปรบมือชื่นชม แต่เมื่อรวมกับใบหน้าว่างเปล่าไร้อารมณ์ กลับดูแปลกพิกลอย่างบอกไม่ถูก มันแสร้งกล่าวอย่างลึกลับ “เอ่ยถึงบ่อน้ำเหล่านี้ ข้าได้มาจากเศษชิ้นส่วนม้วนหยกโบราณ เรียกว่าบ่อแสงศักดิ์สิทธิ์อสรพิษแปลงมังกรมายาเก้าสวรรค์!”

“แสงศักดิ์สิทธิ์...อสรพิษแปลงมังกร...มายาเก้าสวรรค์...”ฉุนอวี๋เฉิงอ้าปากค้าง ตะกุกตะกักทวนนามอันยาวเหยียดอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

จั่วม่อดวงตาเคร่งเครียดจริงจัง ดูราวกับว่าไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย มันค่อยๆ นำม้วนหยกที่เพิ่งสร้างเมื่อครู่ออกมา “เศษม้วนหยกโบราณนั้นพอข้าดูจบก็สลายเป็นฝุ่นไป ข้าไม่ค่อยเข้าใจวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์ปราณ ดังนั้นได้แต่จดจำใจความสำคัญทั่วไป ศิษย์น้อง ลองผ่านตาดูเถอะ”

มันมั่นใจมากว่าม้วนหยกนี้จะดึงดูดใจฉุนอวี๋เฉิงอย่างรุนแรง ภายในม้วนหยก มันได้ตัดทอนเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนออกไปเป็นจำนวนมาก นี่ทำให้ม้วนหยกดูไม่สมบูรณ์ มีหลายสิ่งหลายอย่างขาดพร่องไปมาก แต่มันเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้น ว่าต่อให้ม้วนหยกนี้ถูกทำลายเป็นชิ้นๆ ก็ยังพอจะล่อลวงฉุนอวี๋เฉิงได้อย่างสบาย!

ฉุนอวี๋เฉิงรับม้วนหยกอย่างไม่เชื่อถืออยู่บ้าง อันที่จริงหากไม่ใช่ว่าศิษย์พี่จั่วม่อมีชื่อเสียงดีงามมาโดยตลอด มันคงสะบัดหน้าจากไปแต่แรกแล้ว

นามนั้น ช่าง...

อย่างไรก็ตาม เมื่อมันเห็นประโยคแรกในม้วนหยก พลันสะท้านขึ้นทั้งร่างดุจถูกสายฟ้าฟาดใส่

จั่วม่อไม่ได้เร่งรัด

มันไม่วิตกว่าฉุนอวี๋เฉิงจะขโมยศึกษาวิธีการลับนี้ สิ่งที่ผูเยาให้มาไม่เคยมีสิ่งใดเข้าใจง่าย ตรงกันข้ามกับป้ายหินสุสาน สิ่งที่ป้ายหินสุสานสอนสั่งไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายอันใดก็เข้าใจได้ ส่วนที่สำคัญที่สุดในศาสตร์วิชาชุดนี้คือการสร้างบ่อน้ำซึ่งมีความซับซ้อนมาก บนเกาะแมกไม้รกร้างแห่งนี้ นอกเหนือจากจั่วม่อเองแล้วไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจได้ อันที่จริง กระทั่งตัวมันเองก็สร้างได้เพียงบ่อฟูมฟักอสูรระดับแรกเท่านั้น

ฉุนอวี๋เฉิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาเลอะเลือนมึนเมา เป็นครู่ใหญ่สายตาค่อยกลับมารวมตัว สิ่งแรกที่มันทำคือประสานมือค้อมคำนับ “ศิษย์พี่ โปรดสอนข้าด้วย!”

เมื่อสามารถครอบครองป้ายหยกงูขาวตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าปี พรสวรรค์ของฉุนอวี๋เฉิงในด้านเพาะเลี้ยงสัตว์ปราณก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความ เพียงมองปราดเดียวมันก็เข้าใจมูลค่าของม้วนหยกนี้อย่างชัดแจ้ง

ไม่ ไม่ใช่แค่ม้วนหยก แต่เป็นมูลค่าของศาสตร์วิชาชุดนี้ต่างหาก!

มันเข้าใจมูลค่าของสิ่งนี้มากกว่าตัวจั่วม่อเองเสียอีก!

จั่วม่อคาดไม่ผิด อันที่จริงแรงดึงดูดใจที่ม้วนหยกนี้มีต่อฉุนอวี๋เฉิง ยังร้ายแรงกว่าที่มันคิดมาก!

จั่วม่อรีบประคองฉุนอวี๋เฉิงลุกขึ้น “ศิษย์น้อง อย่าได้ทำเช่นนี้ เราเป็นพี่น้องกัน ในเกาะอันแร้นแค้นแห่งนี้ ย่อมสมควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันจึงจะถูก” ฉวยโอกาสตีเหล็กทั้งที่ยังร้อน รีบเสนอความคิด “กล่าวถึงเรื่องการเพาะเลี้ยงสัตว์ปราณ ข้าเป็นได้เพียงเด็กหิ้วรองเท้าของเจ้าเท่านั้น บ่ออสรพิษแปลงมังกรชุดนี้ อ้อ เราจะเรียกมันว่าบ่อฟูมฟักสัตว์ร้ายก็แล้วกัน ศิษย์น้องสามารถจัดการกับบ่อฟูมฟักสัตว์ร้ายเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ ศิษย์น้องเห็นว่าอย่างไร?”

ฉุนอวี๋เฉิงปิติยินดียิ่ง “ข้าไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว!”

สามารถดูแลจัดการบ่อสัตว์ร้ายเหล่านี้ เป็นโอกาสอันดีงามที่สุดต่อการศึกษาค้นคว้า ศาสตร์วิชาชุดนี้ทั้งลึกล้ำและลึกซึ้งถึงที่สุด ยิ่งครุ่นคิดมากเท่าใด มันก็ยิ่งตื่นเต้นยินดีมากเท่านั้น ถึงกับต้องการลงมือทำงานเสียเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ

จั่วม่อกล่าวอย่างจริงจัง “ศิษย์น้องต้องเข้าใจสถานการณ์ของพวกเราในเวลานี้ด้วย ข้าสร้างบ่อสัตว์ร้าย มีเป้าหมายที่ทำกำไรจิงสือ จะได้ไม่ต้องเอาแต่พึ่งพาทรัพย์สินที่เรามีติดตัวมา แผนการนี้ยังช่วยวางรากฐานของเราบนเกาะแมกไม้รกร้างแห่งนี้”

ฉุนอวี๋เฉิงระงับความตื่นเต้น รับคำอย่างสงบ “อวี๋เฉิงเข้าใจ!”

จั่วม่อกล่าวอย่างพึงพอใจ “เรื่องผลกำไร เราต้องตกลงกันให้ชัดเจนเสียก่อน”

ฉุนอวี๋เฉิงกล่าว “อวี๋เฉิงเพียงต้องการศึกษาเรียนรู้ศาสตร์วิชาแขนงนี้ ไม่ได้ต้องการจิงสือ!”

จั่วม่อสั่นศีระษะ กล่าวว่า “แม้แต่พี่น้องร่วมสายเลือดยังต้องมีบัญชีที่ชัดเจน นี่เป็นสองเรื่องที่ต้องแยกจากกัน เช่นนี้เป็นอย่างไร ผลกำไรจากบ่อสัตว์ร้ายเหล่านี้ ศิษย์น้องรับไปสามในสิบส่วน”

ฉุนอวี๋เฉิงพอฟัง ก็ต้องการส่ายหน้าปฏิเสธ แต่จั่วม่อชิงเอ่ยปากขัดมันเสียก่อน “ศิษย์น้อง อย่าได้ปฏิเสธ นี่เป็นสิ่งที่ศิษย์น้องสมควรได้รับ ฮ่าฮ่า ถ้าศิษย์น้องรู้สึกละอายใจ เช่นนั้นก็ทุ่มเทความพยายามให้มากเข้าไว้!”

จั่วม่อถือกำเนิดจากศิษย์ฝ่ายนอก เรื่องราวประเภทนี้เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน มีเพียงรวมอารมณ์ความรู้สึกกับผลกำไรเข้าด้วยกัน ความร่วมมือเช่นนี้จึงจะมั่นคงยืนยาว

ฉุนอวี๋เฉิงซาบซึ้งใจจนไม่ทราบจะกล่าวอันใด ได้แต่พยักหน้าอย่างหนักแน่นจริงจัง ในใจลอบตั้งปณิธาน ต้องทำงานให้ดีเท่าที่ศิษย์พี่ไว้วางใจ

จั่วม่อหัวร่อฮิฮะ “ประเสริฐ เช่นนั้นเรื่องนี้ยกให้ศิษย์น้องแล้ว หากเจ้าต้องการวัตถุดิบใด เพียงแค่บอกข้าก็พอ”

ในทะเลแห่งจิตสำนึก ผูเยาสีหน้าเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม

จั่วม่อปรบมืออย่างพออกพอใจ จากนั้นเดินจากมา ทิ้งฉุนอวี๋เฉิงไว้ที่นั่นเพียงลำพัง

 

(*เท่าที่สืบค้นมา ฉุนอวี๋เป็นแซ่สองตัว แต่ดูจากคำเรียกหาในตอนนี้ เหมือนจะแซ่ฉุนตัวเดียว ชื่ออวี๋เฉิงสองตัว ตรงนี้ผู้แปลไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร)

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด