ตอนที่แล้วบทที่ 166 ที่นี่ยอดเยี่ยมมาก  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 168 หมู่เกาะแมกไม้รกร้าง  

บทที่ 167 สถานที่ยังคงเดิม แต่ผู้คนไม่ใช่แล้ว  


 

เดินบนภูเขาเพียงลำพัง ไม่มีผู้ร่วมทางสักคน จนกระทั่งไปถึงทางแยกของเส้นทางภูเขา ค่อยพบเห็นศิษย์อื่นสี่คน

เพียงแต่...

จั่วม่อไม่รู้จักพวกมันแม้แต่คนเดียว สิ่งที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า คือพวกมันทั้งสี่ล้วนอยู่ในด่านจู้จี ถึงกับมีคนหนึ่งพลังบำเพ็ญเพียรลึกล้ำกว่ามันเสียอีก คนเหล่านี้เป็นใคร? ไฉนเข้ามายังภูเขาด้านหลังของสำนักมันได้?

จั่วม่อลอบระวังป้องกัน

เมื่อศิษย์ทั้งสี่พบเห็นจั่วม่อ พวกมันทีแรกตะลึงงัน จากนั้นประสานมือคำนับโดยพร้อมเพรียง ปากตะโกนทักทาย “คารวะศิษย์พี่จั่ว!”

ศิษย์พี่จั่ว? เช่นนั้นก็หมายความว่าสำนักเพิ่งรับศิษย์เข้ามาใหม่? จั่วม่อนึกฉงน แต่คำถามของมันย่อมไม่เผยเค้าความงุนงงออกมา “พวกเจ้าไม่คุ้นหน้าเลย เข้าสำนักกระบี่สุญตาตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

คนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรลึกล้ำที่สุดในหมู่คนทั้งสี่ก้าวออกมา อธิบายอย่างนอบน้อมว่า “พวกเราเคยเป็นศิษย์สำนักกระบี่อานุภาพ สองเดือนก่อนเข้าร่วมสำนักกระบี่สุญตาอย่างเป็นทางการ รับคำสั่งท่านเจ้าสำนักเผยเหยียนหรานให้เฝ้าระวังหุบเขาด้านหลัง”

จั่วม่อฟังวาจาเหล่านี้ ในใจยิ่งสับสนงุนงงกว่าเดิม ถามอย่างแปลกใจว่า “หากพวกเจ้าเป็นศิษย์สำนักกระบี่อานุภาพ ไฉนตัดสินใจเข้าร่วมสำนักเรา?”

คนทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นอธิบายอย่างยิ้มแย้ม “ศิษย์พี่ปิดด่านฝึกตน อาจไม่ทราบการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำดินในสำนัก ที่จริงไม่ใช่แค่สำนักกระบี่อานุภาพ แต่สำนักโดยรอบตงฝูเกือบครึ่ง ล้วนผสานรวมเข้ากับสำนักของเรา”

จั่วม่อพอฟังก็ตะลึงลาน

ทั้งสี่เห็นจั่วม่อเหม่อลอยงุนงง ก็ไม่กล้ารบกวนมัน อย่าได้เห็นว่าระดับพลังบำเพ็ญเพียรของพวกมันแทบไม่แตกต่างกัน แต่สถานะในสำนักกลับแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง ท่านเจ้าสำนักแม้ไม่มีชื่อในเรื่องการถือพวกพ้อง แต่สำหรับศิษย์สำนักสุญตาดั้งเดิม การขยายอำนาจครั้งนี้ ย่อมส่งผลให้สถานะของพวกมันพุ่งทะยานขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ยิ่งไปกว่านั้น จั่วม่อผู้นี้หาใช่ศิษย์สำนักกระบี่สุญตาธรรมดาสามัญไม่ แต่เป็นหนึ่งในเหล่าศิษย์เอก

ตามที่บรรดาศิษย์สำนักสุญตาดั้งเดิมเล่ามา ตำแหน่งของจั่วม่อยังเหนือล้ำกว่าศิษย์พี่หลัวหลีเสียอีก พวกมันย่อมไม่กล้าล่วงเกินศิษย์พี่สารรูปพึลึกผู้นี้ ในงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ จั่วม่อโด่งดังสะท้านอาณาจักร ทุกผู้คนล้วนรู้จักใบหน้าแข็งทื่อดุจผีดิบอันเป็นป้ายยี่ห้อของมัน พวกมันทั้งสี่เพียงเห็นแวบแรกก็จดจำได้ทันที

ในเวลานี้พวกมันค่อยเข้าใจกระจ่าง ที่แท้ด้านหลังภูเขาเป็นสถานที่ปิดด่านฝึกตนของจั่วม่อ นับตั้งแต่พวกมันรับคำสั่งท่านเจ้าสำนักมาเฝ้าระวังสถานที่แห่งนี้ อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ หลังภูเขามีสิ่งใดลึกลับเป็นพิเศษหรือไร ท่านเจ้าสำนักจึงต้องส่งพวกมันทั้งสี่มาเฝ้าปกป้องดูแล อีกทั้งทุกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ต้าซือเจี่ยหลี่อิงฟ่งจะมาเยี่ยมเยือนเป็นประจำ แต่ความลับภายในไม่เคยเอ่ยปากบอกผู้ใด

พวกมันเพิ่งจะเงียบงันกันไป แสงปราณกระบี่ก็เหาะเหินเข้ามาจากทุกทิศทาง ด้านหน้าสุดเป็นท่านเจ้าสำนักเผยเหยียนหราน กับผู้อาวุโสสี่สือฟ่งหรง

ลำแสงที่พวยพุ่งออกมาตอนจั่วม่อออกมาจากค่ายกล ก่อกวนสำนักกระบี่สุญตาแทบถล่มทลาย

เมื่อเผยเหยียนหรานเห็นจั่วม่อ หัวคิ้วก็แทบขมวดเป็นปม แต่กลับเป็นปกติในทันที ด้านข้างมัน สือฟ่งหรงมีสีหน้าปลาบปลื้มยินดี

สี่ศิษย์ที่เฝ้าระวังหลังภูเขาเมื่อพบเห็นเผยเหยียนหรานกับสือฟ่งหรง พลันแตกตื่นลนลาน รีบค้อมกายคารวะอย่างรวดเร็ว พวกมันอดไม่ได้ ต้องลอบประเมินความสำคัญของจั่วม่อที่มีต่อเหล่าผู้อาวุโสใหม่อีกครั้ง

“ไม่เลว ในที่สุดเจ้าก็ออกมาจากการปิดด่านฝึกตนเสียที” เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างอ่อนโยน “อาจารย์เจ้าเฝ้ารอจนแทบนั่งไม่ติดแล้ว”

“เจ้าออกมาก็ดีแล้ว!” สือฟ่งหรงรักใคร่เอ็นดูศิษย์อัจฉริยะผู้นี้ยิ่ง แต่มันยังเป็นต้นเหตุของอาการปวดเศียรเวียนเกล้าอีกด้วย ปากกล่าวคำหนึ่ง ขอบตาก็แดงรื้น

จั่วม่อรู้สึกจมูกแสบร้อน ในใจซาบซึ้งตื้นตัน โค้งคำนับต่ำจรดพื้น “ศิษย์คารวะซือฟู่!”

 

หลังจากสนทนากับจั่วม่ออยู่ครู่ใหญ่ ท่านเจ้าสำนักก็กลับไป มีเรื่องราวมากมายที่มันต้องรีบไปจัดการ สือฟ่งหรงร่วมทางกับจั่วม่อกลับไปยังลานน้อยลมตะวันตก

เมื่อทั้งคู่มาถึงปากทางเข้าหุบเขา ก้อนกลมๆ สีขาวก็พุ่งเข้าชนจั่วม่อ จั่วม่อไม่ทันระวัง ถูกโถมใส่จนล้มก้นกระแทกพื้น เป็นนกโง่! นกโง่ซุกศีรษะเข้ามาในอ้อมแขนมัน เกลือกกลิ้งไปมา จั่วม่อดุว่า “เจ้านกโง่นี่!” แต่ในใจอบอุ่นยิ่ง

หุบเขาลมตะวันตกดูไม่แตกต่างจากครึ่งปีที่แล้ว สมควรมีผู้คนมาดูแลทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ

ล่วงรู้ถึงความฉงนของจั่วม่อ สือฟ่งหรงยิ้มพลางกล่าวว่า “ทีแรกเสี่ยวกั่วคอยมาดูแลทำความสะอาดทุกวัน แต่ต่อมานางถูกส่งไปยังเมืองใหญ่เทียนอิน (สำเนียงฟ้า) ดังนั้นนางกำชับให้ศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนหนึ่งคอยมาดูแลแทนนาง”

คิดถึงใบหน้าผลผิงกว่อน้อยๆ อันขลาดอายวงนั้น จั่วม่อในใจรู้สึกสูญเสียอยู่บ้าง ปากถามปนหัวร่อ “เสี่ยวกั่วเป็นอย่างไรบ้าง?”

สือฟ่งหรงเห็นได้ชัดว่าพึงพอใจกับลูกศิษย์อีกคนของนางไม่น้อย “เสี่ยวกั่วอาจมีพรสวรรค์ไม่เท่าพวกเจ้าที่เป็นศิษย์พี่ทั้งสาม แต่นางทรหดอดทน ฝึกหนักไม่ย่อท้อ ควบคู่ไปกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสำนักในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา พวกเรามีทรัพยากรมากขึ้น นางก็รุดหน้าอย่างรวดเร็วดุจติดปีกบิน อยู่ห่างจากด่านหนิงม่ายอีกไม่ไกลเท่าใดแล้ว ท่านเจ้าสำนักเห็นว่านางสมควรได้รับประสบการณ์บ้าง ดังนั้นส่งนางไปจัดการเรื่องราวในเมืองเทียนอิน”

“ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่หลัวหลีเล่า?” จั่วม่ออดถามไม่ได้

สือฟ่งหรงกล่าว “ศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่หลัวหลีของเจ้า แรกเริ่มเดิมทีติดตามอาจารย์ลุงรองของเจ้าออกทำศึก หลังจากนั้นเพื่อความรวดเร็ว พวกมันนำศิษย์น้องส่วนหนึ่ง แยกย้ายออกเป็นสองทาง น่าเสียดายที่พวกเราไม่ทราบว่าเจ้าจะออกมาจากค่ายกลในวันนี้ มิเช่นนั้นหลี่อิงฟ่งย่อมต้องรอคอยอีกสองสามวันค่อยออกเดินทาง อาจารย์ลุงหยานเล่อของเจ้าต้องการคนช่วยงาน ดังนั้นเรียกศิษย์พี่หญิงของเจ้าออกไป”

จั่วม่อในใจรู้สึกกลวงเปล่ามากยิ่งขึ้น ใครจะคิดว่าแค่ติดอยู่ในค่ายกลครึ่งปี ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายถึงเพียงนี้

“เราขยับขยายออกไปมากมายปานนี้” จั่วม่อดถามไม่ได้ “สำนักอื่นไม่สอดมือยุ่งเกี่ยวหรือ?”

“ไม่ใช่แค่เราที่ขยายอำนาจ ครึ่งปีมานี้ ทุกผู้คนล้วนพากันขยับขยายออกไป” สือฟ่งหรงใบหน้าทอแวววิตกกังวล “มหานครนภาโลหิตวิกฤติถึงที่สุดแล้ว ทุกผู้คนล้วนกังวล ในช่วงเวลาอันคับขันอันตรายเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดหากสามารถขยายอำนาจ ย่อมต้องขยายอำนาจออกไป มีเพียงรวมพลังของพวกเราจำนวนมากเข้าด้วยกัน จึงจะมีความหวังในการอยู่รอด อาณาจักรนภาจันทร์ของเรานับว่าไม่ได้ห่างไกลจากมหานครนภาโลหิตมากนัก ผู้คนกำลังแตกตื่นตระหนก ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ย่อมต้องใช้มาตรการพิเศษ พวกเราไม่อาจใจดีมีเมตตา ศิษย์พี่เจ้าสำนักเพียงหวังว่าก่อนที่ข่าวร้ายจะมาถึงอย่างแท้จริง พวกเราจะสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสร็จสิ้น”

“สถานการณ์ย่ำแย่ถึงเพียงนั้น?” จั่วม่อแตกตื่นไม่น้อย

“อืม” เค้าความกังวลบนใบหน้าของสือฟ่งหรงยิ่งหนักหน่วงกว่าเดิม นางลังเลแวบหนึ่ง แต่ยังคงกล่าวออกมา “เดิมที เจ้าเพิ่งออกมาจากค่ายกล สมควรพักผ่อนสักระยะ แต่เวลานี้สถานการณ์ร้ายแรงมาก ดังนั้นมีบางอย่างที่ข้าต้องบอกกล่าว จงอย่าได้ย่อหย่อนลงเป็นอันขาด สำนักเราไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เวลานี้เรามีเจ็ดปรมาจารย์จินตัน มีซิวเจ่อด่านหนิงม่ายร่วมสามสิบคน และศิษย์ด่านจู้จีมากกว่าสองร้อยคน”

จั่วม่อคล้ายจะรู้ว่าซือฟู่ต้องการบอกเตือนอันใด แต่ไม่ทราบว่าทำไม ในใจมันสงบราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง

“สำนักเราขยับขยายรวดเร็วเกินไป แม้ว่านี่เป็นเรื่องอับจนปัญญา แต่ก็ก่อให้เกิดอันตรายซุกซ่อนอยู่มากมาย สำนักในตอนนี้ไม่ได้สามัคคีกลมเกลียวเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว” กล่าวถึงเรื่องนี้ นางอดถอนหายใจไม่ได้ “เจ้าต้องตั้งใจฝึกปรือให้ดี รีบเข้าสู่ด่านหนิงม่ายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!”

“ศิษย์ทราบแล้ว” จั่วม่อทราบดีว่าซือฟู่ห่วงกังวลและระมัดระวังแทนมัน

สือฟ่งหรงกำชับอีกสองสามเรื่อง ก่อนจะจากไป

 

ท้องนภามืดทะมึน จั่วม่อนั่งบนหลังคา อินกุยวางอยู่ด้านข้าง เสียงครืดคราดของอินกุยยังเหมือนเดิม นกโง่ยืนอยู่ข้างกาย นางคล้ายจะหยั่งทราบถึงอารมณ์ของจั่วม่อ ไม่ทำเสียงรบกวนใดๆ

ผูเยานับตั้งแต่เข้าฌานในคราวนั้น ยังคงนิ่งงัน ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

โชคยังดี ทะเลเพลิงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ป้ายหินสุสานไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง และผูเยาที่นั่งนิ่งบนป้ายหินสุสาน ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง

ผูเยาเข้าฌาน ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หลัวหลี เสี่ยวกั่ว ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่ง ไม่มีผู้ใดอยู่ที่นี่สักคน

นั่งเงียบงันบนหลังคา จั่วม่อทอดตามองท้องฟ้าราตรี แสงกระบี่บินเข้าๆ ออกๆ หลายครั้งหลายครา บ่อยครั้งกว่าแต่ก่อน สับสนวุ่นวาย มีชีวิตชีวาไม่น้อย แต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งหมดนี้ ทำให้จั่วม่อรู้สึกที่แห่งนี้คล้ายแปลกหน้า รกร้างหนาวเย็นเป็นที่สุด

ทันใดนั้น อะไรบางอย่างฉุดดึงชายเสื้อมัน จั่วม่อหันไปมอง มันพบว่าเป็นนกโง่

“มีอันใด? นกโง่!”

นกโง่กระพือปีกลงจากหลังคา ฮะ? จั่วม่อมองตามตำแหน่งที่นกโง่ร่อนลงไปยืน

ไม่ใช่ทางเข้าห้องศิลาหรอกหรือ?

จั่วม่อปิดซ่อนทางเข้าห้องศิลาอย่างระมัดระวังอยู่เสมอ ทั้งยังก่อตั้งค่ายกลลวงตาไว้รอบทางเข้าโดยเฉพาะ ไม่มีผู้ใดค้นพบความลับของมัน จั่วม่อจู่ๆ ก็รู้สึกมีชีวิตชีวา บังเกิดความสนใจขึ้นมา มุดเข้าไปยังห้องศิลาทันที

พอแทรกกายผ่านเข้าไป อากาศเย็นชื้นพลุ่งเข้าปะทะหน้า

กวาดตามองไปรอบห้อง จั่วม่อทันใดนั้นก็เผยใบหน้าแตกตื่นยินดี

ฮะ!

แมลงทองทมิฬ!

แมลงทองทมิฬก็ค้นพบจั่วม่อเช่นกัน มันเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำ พุ่งลงบนไหล่จั่วม่อ มองดูเจ้าตัวน้อยนี้ จั่วม่ออารมณ์เบิกบานขึ้นมาทันที ราวกับคนที่ได้พบพานสหายเก่า มันในที่สุดค่อยจดจำได้ว่าแมลงทองทมิฬชมชอบอยู่บนเส้นชีพจรปราณปฐพีในห้องศิลา มันหลงลืมเจ้าตัวน้อยนี้ไปเสียตั้งนาน

วางแมลงทองทมิฬไว้บนฝ่ามือ เพ่งพิศดูอย่างละเอียด จั่วม่อปิติยินดีมากยิ่งขึ้น เทียบกับก่อนหน้านี้ แมลงทองทมิฬระดับสูงขึ้นอีก ทั้งยังเฉลียวเฉลียดมากกว่าเดิม

เจ้าหนูนี่รับประทานสิ่งใด?

เมื่อสายตาของมันตกลงบนหลุมบนเส้นชีพจรปราณปฐพี จั่วม่อพลันเข้าใจ เป็นไปตามคาด เมื่อมันเดินเข้าไปยังตำแหน่งของเส้นชีพจรปราณปฐพี ไม่มีร่องรอยของปราณธรรมชาติหลงเหลืออยู่ที่นั่น มีเพียงหลุมเล็กๆ แต่ลึกมากหลุมหนึ่งอยู่บนพื้น เมื่อลองตรวจสอบด้วยจิตสำนึก จั่วม่อพบว่าหลุมนี้อย่างน้อยต้องลึกหลายสิบจั้งทีเดียว นี่เป็นฝีมือของเจ้าแมลงทองทมิฬน้อยอย่างแน่นอน รวมถึงโอสถปราณที่หล่อเลี้ยงไว้ภายในน้ำพุปราณด้วย ที่คาดว่าคงประสบชะตากรรมในกระเพาะของเจ้าตัวน้อยนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

“ข้ามองไม่ออกเลย ว่าเจ้ามีความสามารถถึงเพียงนี้!” จั่วม่อยิ้มหัวกับแมลงทองทมิฬ

รับตัวแมลงทองทมิฬออกมาจากห้องศิลา จั่วม่ออารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย

 

โถงสุญตา

เผยเหยียนหรานกับสือฟ่งหรงกำลังหารือเรื่องราว

เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าเพิ่งได้รับข้อความกระบี่บินจากศิษย์น้องสาม มีข่าวดี สำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบยินดียก ‘หมู่เกาะแมกไม้รกร้าง’ ให้แก่เรา”

สือฟ่งหรงเผยสีหน้ายินดี “หากเป็นเช่นนั้นก็ประเสริฐ หมู่เกาะแมกไม้รกร้างอยู่ติดริมขอบแม่น้ำอาณาจักร บนทางผ่านไปยังอาณาจักรขุนเขาน้อย เราจะได้มีเส้นทางล่าถอยเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง แต่เงื่อนไขแลกเปลี่ยนของสำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบคือสิ่งใด?”

“พวกมันต้องการเมืองขุย ข้าตกลงไปแล้ว เมืองขุยไม่มีประโยชน์ต่อเรามากนัก แลกเปลี่ยนกับหมู่เกาะแมกไม้รกร้าง เราจะได้กำไรมากกว่า” เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว

สือฟ่งหรงผงกศีรษะเห็นพ้อง

เผยเหยียนหรานเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวโดยไม่มีเค้าลางล่วงหน้า “ข้าตั้งใจจะส่งจั่วม่อไปยังหมู่เกาะแมกไม้รกร้าง”

“เพราะเหตุใด?” สือฟ่งหรงผุดลุกขึ้นทันควัน ใบหน้าเดือดดาล กล่าวเร็วปรื๋อ “จั่วม่อเพิ่งจะออกมาจากค่ายกล ท่านก็จะส่งมันไปยังสถานที่ทุรกันดารเช่นนั้น หมู่เกาะแมกไม้รกร้างแห้งแล้งแร้นแค้น เราเองก็เคยอยู่ที่นั่นมาก่อน เป็นสถานที่เช่นไรเราท่านล้วนทราบกระจ่าง ข้าไม่เห็นด้วย!”

เผยเหยียนหรานมือหนึ่งคลึงหัวคิ้วอย่างอับจนปัญญา อีกมือหนึ่งโบกตัดบทสือฟ่งหรง “ศิษย์น้องหญิงอย่าเพิ่งใจร้อน ฟังข้าให้จบเสียก่อน”

สือฟ่งหรงแค่นเสียงอย่างเย็นชา ไม่กล่าวคำใด

รับมือศิษย์น้องหญิงเจ้าอารมณ์ผู้นี้ เผยเหยียนหรานอับจนหนทางอยู่บ้าง “หมู่เกาะแมกไม้รกร้างอาจแร้นแค้นลำบาก แต่ศิษย์น้องหญิงสมควรทราบความสำคัญของมันดี มิเช่นนั้น ไฉนข้าต้องส่งศิษย์น้องสามไปยังสำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบเป็นการเฉพาะเล่า? สถานที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญเช่นนี้ หากไม่ได้อยู่ในมือคนของเรา ข้ารู้สึกไม่วางใจ เหวยเสิ้งกับคนอื่นๆ ล้วนมีภาระหน้าที่ เจ้าลองบอกมา นอกจากจั่วม่อ เรายังสามารถส่งผู้ใดไปอีก?”

เผยเหยียนหรานทำท่าแบมือทั้งสองข้าง ย้อนถามสือฟ่งหรง

สือฟ่งหรงหัวร่อเย้ยหยัน “ไม่จำเป็นต้องอ้างข้อแก้ตัวอันชอบธรรมเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าท่านก็แค่เห็นว่าจั่วม่อยังไม่เข้าสู่ด่านหนิงม่าย อีกทั้งเจตจำนงกระบี่ของมันก็ยังไม่บรรลุขั้นเจตจำนงกระบี่หัวใจแปลงหรอกหรือ? เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่มีวันเห็นด้วย!”

เผยเหยียนหรานฝืนยิ้มบิดเบี้ยว “อา เจ้าต้องการให้ข้ากล่าวอย่างไร? เก็บจั่วม่อไว้ในสำนัก เป็นการดีต่อมันหรือไม่? เจ้าสมควรทราบดีว่าสถานการณ์ภายในของสำนักเราเป็นอย่างไร! เรามีเวลามาคอยปกป้องมันหรือ? เจ้ามีหรือไม่? ไม่มี! ข้าก็ไม่มี! เหวยเสิ้งกับคนอื่นๆ ก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือมันได้ เจ้าบอกมา ยังรั้งอยู่ที่นี่จะดีสำหรับมันจริงๆ หรือ?”

เห็นใบหน้าของสือฟ่งหรงอ่อนลง มันอดทนอธิบายต่อว่า “หมู่เกาะแมกไม้รกร้างอาจห่างไกลและแร้นแค้นจริงดังว่า แต่ก็ปลอดภัยมาก ที่นั่นอยู่ด้านหลังเรา ดังนั้นมันจะอยู่บนเส้นทางถอยหนีของเรา จั่วม่อไปยังที่นั่น มันอาจได้รับความลำบากบ้าง แต่ชีวิตของมันจะไม่ตกอยู่ในอันตราย หากสถานการณ์ย่ำแย่จริงๆ และเราจำเป็นต้องล่าถอย เราจะต้องล่าถอยไปถึงหมู่เกาะแมกไม้รกร้างอย่างแน่นอน ในสถานการณ์เช่นนี้ นอกเหนือจากการสร้างหลักประกันให้กับการอยู่รอดของมัน เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก?”

สือฟ่งหรงไม่เอ่ยวาจาแม้แต่คำเดียว นางทราบดีว่าศิษย์พี่เจ้าสำนักกล่าวถูกต้อง

ต่อสู้ดิ้นรนในใจเป็นเวลานาน นางค่อยเงยหน้า กัดฟันกล่าวว่า “ในเรื่องทรัพยากร ท่านไม่สามารถลดทอนสิ่งที่มันสมควรได้รับ”

“ตกลงตามนั้น” เผยเหยียนหรานรับปากอย่างง่ายดาย

สือฟ่งหรงหลับตาทอดถอนอย่างอ่อนล้า ...เวลานี้นางไม่มีทางล่วงรู้เลย ว่าจากกันครานี้ แทบจะจากกันชั่วนิรันดร!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด