ตอนที่แล้วบทที่ 162 ซื้อๆ ขายๆ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 164 ค่ายกลเจตจำนงกระบี่มหาประลัย

บทที่ 163 ผู้คนไม่อาจทำเช่นนี้  


 

จั่วม่อหอบความพึงพอใจอย่างสุดแสนกลับไปยังสำนัก

มันกลับมาพร้อมวัตถุดิบกองโต เมื่อหวนนึกถึงสีหน้าโง่งมของเหอหยง ในใจรู้สึกสนุกสนานหาใดเปรียบ แทบจะเหมือนกับว่ามันปล้นสะดมเหอหยงมาเลยทีเดียว มันกวาดวัตถุดิบแปลกๆ ที่ไม่ค่อยมีคนนิยมใช้งานมาหลายชนิด

สามร้อยชิ้นจิงสือระดับสามไม่ใช่จำนวนมากมาย แต่เมื่อใช้ซื้อวัตถุดิบระดับต่ำล้วนๆ นับเป็นกำลังซื้ออันน่าสะพรึงกลัวแล้ว

ใบเหมยห้าสี วัตถุดิบระดับหนึ่ง อุดมไปด้วยปราณห้าธาตุ ทว่าปราณห้าธาตุผสมรวมปะปนกัน เพียงใช้ในการก่อตั้งค่ายกลโอสถเพื่อหลอมกลั่นเม็ดยาไม่กี่ชนิดเท่านั้น ยี่สิบก้านเป็นหนึ่งมัด แต่ละมัดขายในราคาสิบชิ้นจิงสือระดับสอง

หญ้าหอมอสรพิษจุดทอง เปี่ยมล้นด้วยปราณธรรมชาติธาตุทอง มักใช้เป็นวัสดุเสริมในการขัดเกลากระบี่บิน เหตุที่จัดเป็นวัตถุดิบต่ำระดับราคาย่อมเยา เนื่องเพราะสามารถหาวัสดุทดแทนได้มากมาย หญ้าหอมอสรพิษจุดทองหลังจากตากแห้ง จะนำมาอัดรวมเป็นก้อนสี่เหลี่ยมคล้ายอิฐ หนึ่งก้อนหนักสองเหลี่ยง ราคาขายอยู่ที่ห้าชิ้นจิงสือระดับสอง

เถาวัลย์สายรุ้ง ห้าธาตุผสมผสาน ตามลำเถามีสีสันหลากหลาย ได้นามจากลักษณะที่คล้ายสายรุ้งนี้เอง เมื่อใส่เข้าไปในกองไฟ สามารถเพิ่มพลังปราณไฟ เถาหนักสิบจินถือเป็นหนึ่งมัด ราคาสิบห้าชิ้นจิงสือระดับสอง

จั่วม่อนำวัตถุดิบทั้งหมดออกจากแหวน กองซ้อนไว้ในลาน นกโง่โฉบลงมาจากหลังคา บินวนดูรอบหนึ่ง ก่อนจะกลับขึ้นไปอยู่ที่เดิมอย่างผิดหวัง เห็นได้ชัดว่าในกองสิ่งของมากมายนี้ ไม่มี ‘ของว่าง‘ ที่นางชอบ

จั่วม่อคร้านจะสนใจตัวล้างผลาญที่รู้จักแต่การกินและเกียจคร้านนี้ มันเรียกเจดีย์ห้าสีออกมาทันที

โชคดีจริงๆ ที่เกอฝึกปรือวัชรสูตรน้อย...

มองภูเขาวัตถุดิบด้านข้าง จั่วม่อสูดลมหายใจลึก โคจรเคล็ดวัชรสูตรน้อย ถอดเสื้อออก เผยให้เห็นซี่โครงสีทอง จากนั้นลงมือทำงานอย่างขันแข็ง

ใบเหมยห้าสีถูกโยนเข้าไปทีละสิบมัด ก้อนอิฐหญ้าหอมอสรพิษจุดทองลอยละลิ่วเป็นฝนโปรย เถาวัลย์สายรุ้งมัดละสิบจินนับว่าเหน็ดเหนื่อยมากที่สุด จั่วม่อกลายเป็นจับกังเต็มตัว...

ในลานน้อย จั่วม่อหลั่งเหงื่อเป็นหยาดฝน ตะโกนร้องเพลงเสียงดัง “เจดีย์ เจดีย์ เจ้าเป็นวัว สิ่งที่กินคือหญ้า สิ่งที่รีดออกมาคือน้ำนม อ๊ะ อา อ๊ะ อา อ่า อ้า...”

เจดีย์ห้าสีดูเหมือนมึนเมา ส่ายไปส่ายมา กินวัตถุดิบไปพลาง เต้นไปพลาง

จนกระทั่งวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายถูกเจดีย์ห้าสีดูดกลืนเข้าไป เจดีย์ห้าสีพลันหงายหลัง ร่วงกระแทกพื้นเสียงดังกระหึ่ม

จั่วม่อตัวแข็งทื่อ ไม่คำนึงถึงว่ามันยังไม่ได้สวมเสื้อ ก้มลงเขี่ยเจดีย์ห้าสีที่นอนเหยียดอยู่บนพื้นดิน ไม่มีอาการตอบสนอง! คงไม่ใช่ว่ามีปัญหากินมากเกินไปหรอกใช่ไหม? มันคิดอย่างลังเล

หลังจากนั้นสักครู่ เจดีย์ห้าสีกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นสองสามรอบ จากนั้นส่ายโงนเงนลุกขึ้นยืน จั่วม่อค่อยโล่งใจ กล่าวพลางหัวร่อ “ฮ่า ข้านึกว่าเจ้ากินมากเกินไป ที่แท้เจ้ายังกินไม่พอ!”

ไม่ทราบว่ามันได้ยินประโยคนี้หรือไม่ เจดีย์ห้าสีพลันตัวสั่นระริก พ่นอะไรบางอย่างออกมาอย่างกะทันหัน จากนั้นล้มหงายลงบนพื้นอีกรอบ กลิ้งเป็นวงกลมสองสามรอบ ก่อนจะแน่นิ่งไป

จั่วม่อเบิกบานใจอย่างที่สุด เจดีย์ห้าสีคายเศษเหลือออกมาอีกแล้ว? สิ่งที่เจดีย์น้อยคายออกมาเทียบเท่ากับจิงสือ!

แต่เมื่อจั่วม่อเห็นของสิ่งนั้น ต้องผิดหวังยิ่ง นี่ไม่ใช่เศษเหลือ สิ่งนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นใบเหมยห้าสีที่หลงเหลือเพียงครึ่งมัด มันเงยหน้าขึ้นถามอย่างมึนงง “เจดีย์น้อย นี่ไม่อร่อยหรือ?”

เจดีย์ห้าสีสั่นไปมารอบหนึ่ง กลิ้งมายังจั่วม่อ

บนหลังคา นกโง่มองเจดีย์ห้าสีกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างเห็นอกเห็นใจแวบหนึ่ง จากนั้นหันกลับไปซุกหัวไซร้ขนของนางต่อ

เจดีย์ห้าสีครั้งนี้กลับไม่คายเศษเหลือออกมา จั่วม่อผิดหวังเป็นที่สุด แผนการซื้อถูกขายแพงของมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังปราณห้าธาตุจำนวนมหาศาล เจดีย์ห้าสีคล้ายมีการฟื้นตัวอย่างมาก แม้ว่าจะยังไม่สดใสเงางามเท่าที่เคยก็ตาม วัตถุดิบเหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าระดับต่ำ แม้จะมีปริมาณมากเพียงพอ แต่ด้านคุณภาพกลับไม่มากพอ

จั่วม่ออับจนปัญญา

มีประสบการณ์มาสองรอบ มันได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างชัดเจน มีเพียงวัตถุดิบระดับสูงเท่านั้น จึงจะให้เศษเหลือเป็นโคลนสีเทาออกมา

เวลานี้ จั่วม่อเขม้นมองเจดีย์ห้าสี เจดีย์ห้าสีกระถดถอยอย่างขลาดเขลา จั่วม่อกล่าวด้วยสุ้มเสียงเศร้าเสียดาย “เจดีย์น้อย หลังจากรับประทานทั้งหมดนี่ลงไป หากเจ้าสามารถคายออกมาบ้าง จะดีงามสักเพียงใดกัน!”

เจดีย์ห้าสีตัวสั่นสะท้าน พยายามทำเสียงพ่นออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

ด้านหลังภูเขาสุญตา

ห้าร่างลอยอยู่กลางเวหา ด้านล่างของพวกมัน หุบเขาเปลี่ยนสภาพไปอย่างสิ้นเชิง

“เสร็จสมบูรณ์เสียที!” หยานเล่ออดทอดถอนไม่ได้ คนอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีท่าทีเหนื่อยล้า

อู่หลิงซ่านเหรินอดกล่าวไม่ได้ “สำนักของท่านใจกว้างจริงๆ! อาคมหวงห้ามระดับนี้ แม้แต่ในพื้นที่หวงห้ามของสำนักใหญ่ยังยากจะพบเห็น” สีหน้าท่าทีมันก็เหนื่อยล้าแสนสาหัสเหมือนคนอื่นๆ แต่แตกต่างจากผู้อื่นตรงที่ในความเหนื่อยล้าของมัน ยังมีความตื่นเต้นยินดีที่แทบจะไม่สามารถปิดบัง

ขบวนค่ายกลอาคมหวงห้ามตรงหน้านี้ เป็นห้ายอดฝีมือด่านจินตันห้าคนร่วมกันสร้างขึ้น ทำลายยอดเขาไปห้าลูก กวาดล้างหุบเขาห้าแห่ง และขุดน้ำพุเก้าบ่อที่ลึกมาก ขบวนค่ายกลทั้งหมดกินพื้นที่มากกว่าครึ่งของภูเขาสุญตา หากนี่ไม่เรียกว่าผลงานอันยอดเยี่ยมอลังการ เช่นนั้นในอาณาจักรนภาจันทร์คงไม่มีผลงานอันยอดเยี่ยมอีกแล้ว

“เพื่อเจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้ พวกเราเสียเลือดเสียเนื้อมากมายจริงๆ!” กระทั่งบุคคลอันเยือกเย็นเช่นเผยเหยียนหราน ยังรู้สึกว่าในหัวใจมีเลือดหยาดหยด

ค่าตอบแทนของอู่หลิงซ่านเหริน จ่ายเป็นวัตถุดิบจำนวนมหาศาล...

เพื่อการนี้ทรัพย์สินเกือบครึ่งของสำนักกระบี่สุญตาถูกนำออกมาใช้ หยานเล่อผู้รับผิดชอบด้านการเงินของสำนักสีหน้าน่าเกลียดสุดทนดู เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พลางกล่าวว่า “ข้าหวังว่าเจ้าเด็กเหลือขอนั่น จะได้สนุกกับค่ายกลที่มันชื่นชอบอย่างช้าๆ” จากนั้นหันไปถามอู่หลิงซ่านเหริน สุ้มเสียงกังขาเล็กน้อย “ท่านแน่ใจนะว่ามันไม่สามารถแก้ค่ายกลได้? เด็กผู้นี้มีพรสวรรค์เชิงค่ายกลสูงล้ำมาก”

อู่หลิงซ่านเหรินเดือดดาลจนแทบสะบัดหน้าจากไป เผยเหยียนหรานรีบตำหนิหยานเล่อ “อย่าเสียมารยาทต่อซ่านเหริน!”

หยานเล่อเบ้ปาก ทุกผู้คนล้วนเป็นชนชั้นจินตันเช่นกัน มันหาเกรงกลัวอู่หลิงซ่านเหรินไม่ อย่างไรก็ตาม ถูกศิษย์พี่ตำหนิ มันไม่กล้ากล่าววาจาอีก

อู่หลิงซ่านเหรินโทสะสลายคลายลงบ้าง ใบหน้ามีแววเปล่งปลั่งอิ่มเอม แค่นเสียง “นี่ไม่ใช่ว่าข้ายกยอตัวเอง แต่มหาค่ายกลนี้สร้างขึ้นได้ด้วยความช่วยเหลือจากพวกท่านทั้งสี่ ข้ายังทุ่มเทภูมิปัญญาทั้งชีวิตออกไปจนหมดสิ้น ในอนาคตมิอาจกล่าวแน่ชัด แต่นับถึงปัจจุบัน นี่เป็นผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่ข้าเคยสร้างมา หากพวกเราห้าชนชั้นจินตัน ไม่อาจกักขังเด็กน้อยด่านจู้จีผู้หนึ่งไว้ได้ เช่นนั้นพวกเราก็สมควรฆ่าตัวตายเองแล้ว”

ฟังอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ หยานเล่อใบหน้าแดงฉาน กล่าวแก้ตัวว่า “พวกเราไม่ได้อยากกักขังมันไว้ข้างใน แต่ต้องการให้มันฝึกปรือกระบี่เท่านั้น...”

“เช่นนั้นก็มั่นใจได้!” อู่หลิงซ่านเหรินกลอกตา แค่นเสียงอย่างเย็นชา “ค่ายกลนี้ก่อตั้งอาคมหวงห้ามไว้เป็นชั้นๆ คิดออกจากค่ายกลมีเพียงหนทางเดียว นั่นคือฝึกปรือกระบี่ไปจนถึงขั้นเจตจำนงกระบี่หัวใจแปลงเท่านั้น นั่นเป็นทางเดียวที่จะเข้าใจความลึกลับซับซ้อนเหล่านี้ และเสาะหาทางออกจากค่ายกลได้”

“ประเสริฐยิ่ง ประเสริฐยิ่ง” เห็นทั้งคู่กล่าวไปกล่าวมาเริ่มเสียงแข็งขึ้นมาอีก เผยเหยียนหรานรีบออกมาห้ามทัพ ซินหยานกับสือฟ่งหรงเพียงเฝ้าดูอย่างเย็นชาจากด้านข้าง

อู่หลิงซ่านเหรินยังกล่าวไม่จบความ “เจตจำนงกระบี่ของสหายเต๋าซินหยานทั้งคมกล้าทั้งบริสุทธิ์ ชั่วชีวิตข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน นับถือ นับถือ! อย่างไรก็ตาม พวกท่านต้องระมัดระวังไว้ หากผู้ใดเข้าสู่ค่ายกล แล้วไม่อาจเข้าใจเจตจำนงกระบี่ถึงขั้นหัวใจแปลง มันจะไม่สามารถออกมาได้อีก เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กผู้นั้นใช้วิชาค่ายกลหลบหนี ข้าได้ก่อตั้งอาคมหวงห้ามสิบแปดระดับชั้นไว้รายรอบค่ายกล ต่อให้พวกท่านร่วมมือกันทำลายค่ายกลจากภายนอก ค่ายกลอาจไม่ครนามือพวกท่าน แต่บุคคลที่อยู่ภายในค่ายกลไม่มีทางรอดชีวิตอย่างแน่นอน!”

สี่ผู้อาวุโสสำนักกระบี่สุญตาชักลังเล หากเด็กผู้นั้นไม่สามารถฝึกกระบี่ไปถึงขั้นเจตจำนงกระบี่หัวใจแปลงได้จริงๆ แล้วประสบอันตรายภายในค่ายกล พวกมันก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้

“สหายเต๋า อย่าได้วิตกกังวลมากเกินไป ภายในค่ายกล ข้าได้จงใจจัดวางพื้นที่ว่างบางส่วนเพื่อให้มันสามารถพักผ่อน เรียกว่าพื้นที่ ‘ชีวิต’ ด้วยความสามารถเชิงค่ายกลของมัน สมควรหาพื้นที่ชีวิตนี้พบได้ไม่ยากนัก แม้ว่าพวกท่านไม่อาจเข้าสู่ค่ายกล แต่สามารถสังเกตการณ์ภายในค่ายกลได้ ข้ายังเว้นประตูขนส่งขนาดเล็กไว้ให้อีกด้วย พวกท่านสามารถจัดส่งสิ่งของเข้าไปสนับสนุนมันได้”

ซินหยานพลันเอ่ยปาก “ข้าจะไปนำมันมา”

กล่าวจบคำ ร่างก็หายวับไป

 

จั่วม่อกำลังพักผ่อนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้โยก อาบแดดอย่างผ่อนคลาย กำหนดการเปิดเขตแดนลับของเทียนซงจื่อถูกเลื่อนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นมันจึงไม่มีสิ่งใดให้กระทำ ว่ากันว่าการเลื่อนเปิดเขตแดนลับเป็นข้อร้องขอจากบรรดาเจ้าสำนักต่างๆ งานชุมนุมวิจารณ์กระบี่หนนี้เป็นประโยชน์ต่อเหล่าซิวเจ่อที่เข้าร่วมประลองอย่างใหญ่หลวง สิ่งแรกที่หลายคนทำเมื่อกลับสู่สำนัก คือการปิดด่านฝึกตน

เวลานี้หลายๆ คนยังไม่ได้ออกจากการปิดด่านฝึกตน การขอเลื่อนเวลาเปิดเขตแดนลับย่อมเป็นเรื่องธรรมดา

ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังคงปิดด่านฝึกตน ศิษย์พี่หลัวหลีจึงฉวยโอกาสนี้ เข้าสู่ถ้ำกระบี่

นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จั่วม่ออดประหลาดใจไม่ได้ ศิษย์พี่หลัวหลีได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ถ้ำกระบี่ แต่ไฉนท่านเจ้าสำนักกับเหล่าผู้อาวุโสไม่อนุญาตให้มันเข้าสู่ถ้ำกระบี่ด้วย? ที่จริงมันก็ไม่ค่อยสนใจนักหรอกว่าจะได้เข้าไปในถ้ำกระบี่หรือไม่ สิ่งที่มันระแวงก็คือช่วงไม่กี่วันมานี้ช่างเงียบสงบเหลือเกิน อาจารย์ลุงซินหยานกับคนอื่นๆ ไฉนไม่มาเสาะหามัน?

คิดถึงคำ ‘ประเสริฐ’ ที่อาจารย์ลุงซินหยานกล่าวไว้ในตอนที่มันพักรักษาตัว จั่วม่อหัวใจเย็นเฉียบ แม้ว่ามันจะอยู่ภายใต้แสงตะวันอันอบอุ่นก็ตาม ยังไม่อาจระงับอาการตัวสั่นระริกอย่างหนาวเหน็บได้ ในใจบังเกิดลางสังหรณ์อย่างแรงกล้า ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางจบลงอย่างง่ายดาย

ต้องมีอะไรรอคอยมันอยู่อย่างแน่นอน!

ในเวลานี้เอง มันเห็นซินหยานลอยลงมาจากฟากฟ้า

ในชั่วขณะนี้ จั่วม่อรู้สึกราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง ขาแขนหนาวเหน็บไปหมด

ซินหยานแค่นเสียงอย่างเย็นชา หิ้วจั่วมือขึ้นด้วยมือข้างเดียว โดยไม่กล่าววาจา ก็ทะยานขึ้นฟ้า

อาจารย์ลุงรองเหาะเร็วมาก ลมแรงตีใส่ใบหน้า จั่วม่อกระทั่งลืมตายังลืมไม่ขึ้น

“อาจารย์ลุง เราจะไปที่ใด?” จั่วม่อพยายามต้านทานสายลมอันรุนแรง ถามอย่างระมัดระวัง

“ฝึกกระบี่” ซินหยานตอบอย่างไร้อารมณ์

“ฝึกกระบี่?” จั่วม่อคลายใจลงเล็กน้อย ดีแล้ว ดีแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด

ฮะ ไฉนไปยังด้านหลังภูเขา? อาจารย์ลุงจะสอนวิชากระบี่ให้มันที่บริเวณด้านหลังหรือ?

ทันใดนั้น จั่วม่อตกตะลึงตัวแข็งทื่อ

ด้านล่างพวกมัน เห็นค่ายกลมหายักษ์ขบวนหนึ่งปรากฏขึ้น ใหญ่โตมโหฬารชนิดที่ว่า ทำเอาขบวนค่ายกลที่มันก่อตั้งในชุมนุมวิจารณ์กระบี่รอบสุดท้าย กลายเป็นค่ายกลเล็กๆ ไปเลยทีเดียว

ในสำนักมีค่ายกลขบวนใหญ่โตถึงเพียงนี้ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด?

ไม่เคยมี ไม่เคยมีแน่ๆ เมื่อไม่นานมานี้ มันยังเคยมายังบริเวณนี้ตั้งหลายครั้งหลายครา!

จั่วม่อเห็นท่านเจ้าสำนัก อาจารย์ลุงหยานเล่อ ท่านอาจารย์ กับนักพรตชราที่มันไม่รู้จัก

แต่ไฉนดวงตาของทุกคนที่มองมายังมัน ถึงได้แปลกประหลาดเช่นนี้...

ขณะที่จั่วม่อกำลังมึนงงสงสัย อาจารย์ลุงซินหยานก็คลายมือ มันร่วงดิ่งลงไป

“อ๊าก!”

จั่วม่อกรีดร้องโหยหวน เสียงลมรุนแรงดังอยู่ข้างหู มันไม่มีปัญญาควบคุมร่างกาย ในความแตกตื่นลนลาน ได้แต่เร่งโคจรวัชรสูตรน้อย!

ร่างสีทองตกลิ่วลงมาจากฟ้า กระแทกพื้นเสียงดังสนั่นลั่นโลก

ตูม!

พื้นดินสั่นสะเทือน เศษหินเศษดินปลิวว่อน จากนั้นร่างสีทองที่สกปรกมอมแมมค่อยคลานออกมา ทิ้งหลุมรูปคนไว้เบื้องหลัง

จั่วม่อรู้สึกกระแทกคราวนี้ อวัยวะภายในแทบจะเคลื่อนไปจากเดิม มันลืมตาอย่างมึนงง พยายามดิ้นรนลุกขึ้น พลางถ่มเศษโคลนออกจากปาก

โชคดีที่เกอฝึกปรือ...

จั่วม่อสูดปากอย่างเจ็บปวด ร่างกายคล้ายหลุดเป็นชิ้นๆ ต่อให้มันฝึกปรือวัชรสูตรน้อยถึงขั้นวงจรสัตตบงกชทองคำก็ตาม ตกลงมาจากความสูงระดับนี้ ยังคงเจ็บปวดสุดทานทน

แต่มันเริ่มอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย ในเมื่อมันกินดินกินโคลนก็กินไปแล้ว เรื่องนี้สมควรใกล้จะจบสิ้นแล้วกระมัง

ฮะ ที่นี่มันที่ใด? ไม่ถูกต้อง!

ตรงหน้ามัน กระแสเจตจำนงกระบี่ม้วนโถมเป็นชั้นๆ ไหลเชี่ยวกรากหนาแน่นอย่างกับผืนป่า ไร้หนทางหลบเลี่ยง!

จั่วม่อแทบร่ำไห้

ไม่นะ... ผู้คนไม่อาจทำเช่นนี้...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด