ตอนที่แล้วบทที่ 156 พี่น้องในยามยาก  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 158 ปิดด่านฝึกตน

บทที่ 157 ไม่คาดฝัน  


 

 

ครั้นเมื่อจั่วม่อ เหวยเสิ้งและหลัวหลี พบเห็นท่านเจ้าสำนักกับเหล่าอาจารย์อา พวกมันก็กลายเป็นเรียบๆ ร้อยๆ ขึ้นมาทันที

“ฮึ่ม พวกเจ้าประเสริฐมาก ไปเข้าร่วมชุมนุมวิจารณ์กระบี่ แต่ไม่มีผู้ใดกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์สักคน” สือฟ่งหรงผู้ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อเห็นคนทั้งสาม อารมณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงกว่าเดิม ทั้งสามคนได้รับบาดเจ็บ ความรับผิดชอบทั้งหมดต้องตกลงบนศีรษะนาง

ทั้งสามคนหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ สือฟ่งหรงอาจรั้งลำดับสุดท้ายในสี่ผู้อาวุโส แต่ในความเป็นจริง การล่วงเกินอาจารย์อาหญิงสี่ ผลลัพธ์ก็น่าสังเวชมากแล้ว

เผยเหยียนหรานกับพวกสีหน้าไม่สู้ดี ทุกผู้คนที่ถูกลากไปยังอารามตงฝู ต้องแผดเสียงถกเถียงวุ่นวายมาหลายวัน แน่นอนว่าไม่มีทางอยู่ในอารมณ์ที่ดี ยิ่งไปกว่านั้น ลูกศิษย์ทั้งสามคนล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูงลิบลิ่ว

“เอาละ เอาละ” หยานเล่อออกหน้าไกล่เกลี่ย “พวกเจ้าก็เกินไป แต่ละคนกลับมาในสภาพเช่นนี้ พวกเราที่เป็นผู้ปกครองจะไม่กังวลได้อย่างไร? พวกเจ้าต้องจำไว้ ชัยชนะหรือพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียว ไม่ได้มีความหมายอันใด ตราบใดที่เจ้าสามารถมีชีวิตอยู่ได้ จะมีโอกาสยืนขึ้นเสมอ หากกระทั่งชีวิตน้อยๆ ยังไม่หลงเหลือ ชัยชนะยังจะมีความหมายอันใดเล่า?”

ทั้งสามก้มหน้า พึมพำรับคำ

เผยเหยียนหรานสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย รับช่วงกล่าวสืบต่อ “อาจารย์อาของเจ้ากล่าวถูกต้อง พวกเจ้าต้องจดจำไว้ให้มั่น เจ้าเป็นความหวังของสำนัก ในภายภาคหน้า ความรุ่งโรจน์ของสำนักวางไว้ในมือพวกเจ้า หากพวกเจ้าไม่ดูแลรักษาร่างกายตัวเอง เห็นทีจะผิดต่อคำสอนของสำนักที่ฝึกอบรมพวกเจ้ามาแล้ว ฮ่าฮ่า แต่ครั้งนี้พวกเจ้าทั้งหมดทำได้ดีมาก งานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ได้รับผลสรุปแล้ว นี่เป็นกรณีพิเศษ ดังนั้นการจัดอันดับขั้นสุดท้ายถูกคำนวณโดยอ้างอิงจากผู้อาวุโสด่านจินตันที่เป็นผู้ตัดสิน ...พวกเจ้าทั้งสามล้วนอยู่ในสิบลำดับแรก เหวยเสิ้งได้ที่สอง จั่วม่อที่สาม หลัวหลีที่เจ็ด”

หลัวหลีอดถามไม่ได้ “ไม่ใช่ว่าพวกเราหมดสภาพต่อสู้ จนพ่ายแพ้แต่แรกหรอกหรือ?”

เผยเหยียนหรานเล่าถึงสถานการณ์หลังจากที่การแข่งขันชุมนุมวิจารณ์กระบี่ถูกหยุดลงกลางคัน เหวยเสิ้งกับหลัวหลีเข้าใจทันที พากันหันไปมองจั่วม่อเหมือนกับกำลังมองสัตว์ประหลาด เจ้าผู้นี้...เป็นคนร้ายที่แท้จริงในเรื่องการยุติการแข่งขัน!

จั่วม่อหัวหมุนงุนงง ดวงตาว่างเปล่า ม้วนหยกค่ายกลเบื้องต้นของคุนหลุน มันเลิกหวังมาตั้งนานแล้ว ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่ท่านเจ้าสำนักกลับบอกว่ามันได้ลำดับที่สาม ซึ่งหมายความว่าม้วนหยกย่อมตกเป็นของมันแน่ๆ!

“ผู้ใดเป็นลำดับที่หนึ่ง?” เหวยเสิ้งถาม

“เป็นกู่หรงผิง” เผยเหยียนหรานเหลือบมองเหวยเสิ้ง เกรงว่าอีกฝ่ายจะรับไม่ได้ รีบอธิบายว่า “กู่หรงผิงแม้พลังฝีมือไม่ได้เหนือล้ำไปกว่าเจ้า แต่มันสะกดเจ้าไว้ตลอดเวลา หากเป็นเรื่องจริงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความเป็นตาย โอกาสชนะของมันมีมากกว่าเจ้า” อันที่จริง ยังคงมีสิ่งที่ท่านเจ้าสำนักไม่ได้กล่าวออกจากปาก สำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบเป็นสำนักใหญ่อันดับแรกของอาณาจักรนภาจันทร์ จะไม่ไว้หน้าพวกมันได้อย่างไร?

“นั่นก็ใช่แล้ว” เหวยเสิ้งผงกศีรษะ ไม่แยแสสนใจ “กู่หรงผิงเป็นคู่มือที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา ช่วยให้ข้าได้เรียนรู้มากมาย”

เห็นจิตใจเปิดกว้างของเหวยเสิ้ง เผยเหยียนหรานปลาบปลื้มประโลมใจยิ่ง

หลัวหลีต้องการกล่าววาจา ทันใดนั้นเห็นอาจารย์ลุงซินหยานจ้องมองจั่วม่อด้วยดวงตาเย็นเยียบ มันไม่กล้าเอ่ยปากทันที

อาจารย์ลุงซินหยานมีข้อขุ่นข้องกับศิษย์น้องจั่วม่อหรือ? ในใจมันงุนงงอยู่บ้าง กล่าวตามเหตุผล ผลงานของศิษย์น้องจั่วม่อในคราวนี้เรียกได้ว่าหมดจดงดงามยิ่ง ไฉนอาจารย์ลุงซินหยานไม่พอใจ?

หลัวหลีลอบมองไปยังจั่วม่อ พบว่าอีกฝ่ายดวงตาเลื่อนลอย ดูเหมือนจะฟุ้งซ่านไปไกล หลายวันมานี้ พวกมันทั้งสามใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก หลัวหลีอดตกใจแทนจั่วม่อไม่ได้ มันต้องการส่งเสียงเตือน แต่พอคำพูดขึ้นมาถึงปาก ก็หดกลับลงไปทันควัน

เนื่องเพราะสายตาของอาจารย์ลุงซินหยานแหลมคมยิ่ง ยังแหลมคมกว่ากระบี่บินเสียอีก!

จั่วม่อค่อยๆ ฟื้นตัวจากการตกตะลึง ถามออกมาตามสัญชาตญาณ “พวกเราจะได้รับรางวัลเมื่อใด?”

พอประโยคนี้หลุดออกมา สี่ผู้อาวุโสหยุดกล่าววาจาทันที ใบหน้ากลายเป็นมืดมน

จั่วม่อในที่สุดสติค่อยกลับสู่ร่าง เห็นท่านเจ้าสำนักกับเหล่าผู้อาวุโส ใบหน้าดำมืดยิ่งกว่าก้นหม้อ ก็ใจหายวาบ

ผิดท่าแล้ว!

สี่ผ้าวุโสถลึงตามองจั่วม่อราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทำเอามันขนลุกซู่

ไม่มีผู้ใดคาดคิด คนแรกที่ทำลายบรรยากาศกดดันนี้จะเป็นอาจารย์ลุงซินหยาน อย่างไรก็ตาม เมื่อมันเอ่ยปาก ราวกับสายลมหนาวขั้วโลกกวาดผ่านเข้ามาในห้อง อุณหภูมิเย็นเยียบจนแทบแข็งตัว “ประเสริฐ! ประเสริฐมาก! ประเสริฐที่สุด!”

กล่าวคำประเสริฐสามคำติดต่อกัน อาจารย์ลุงซินหยานไม่มีวาจาอื่น หมุนตัวจากไปทันที

เผยเหรียนหรานกับหยานเล่อใบหน้าไม่สู้ดี ทั้งคู่ก็หมุนตัวจากไปโดยไม่มีวาจา สือฟ่งหรงใบหน้าดำทะมึน ดวงตานางที่มองจั่วม่อ คล้ายปรารถนาจะถลกหนังมันทั้งเป็น

จั่วม่อหากไม่เหม่อลอย ก็มีฝีมือมากในการสังเกตสีหน้าผู้คน พอเห็นสีหน้าซือฟู่ สังหรณ์เลวร้ายในใจพลุ่งขึ้น ต้องกล่าวอึกอัก “ซือฟู่...”

“ประเสริฐมาก!” สือฟ่งหรงแค่นเสียงอย่างเย็นชา หมุนตัวจากไป

จั่วม่อเหม่อมองอย่างซึมเซา

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ยังขู่ขวัญเหวยเสิ้งกับหลัวหลีจนหัวหด พวกมันไม่เคยเห็นเหล่าผู้อาวุโสบันดาลโทสะถึงเพียงนี้มาก่อน

เหวยเสิ้งลังเลแวบหนึ่ง ก่อนถามว่า “ศิษย์น้อง ที่แท้เจ้าก่อเรื่องอันใด?”

“ใช่! อ๊า” หลัวหลีอดไม่ได้ “ทุกคนโกรธเจ้า! ข้าว่าเจ้าไม่รอดแน่!”

จั่วม่อพอฟัง ประโยคนี้เผยแววยินดีในคราเคราะห์ของมันออกมาอย่างชัดแจ้ง อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะจัดการกับศิษย์พี่ไม่ได้ความนี้ นึกถึงคำ ‘ประเสริฐ’ สามคำของอาจารย์ลุงซินหยาน หัวใจก็สั่นสะท้าน หนังศีรษะชาซ่าน

แค่ตอแยซือฟู่เพียงผู้เดียว วันคืนของมันก็ยากลำบากมากพอแล้ว ครั้งนี้ยิ่งประเสริฐกว่าเดิม ตอแยรวดเดียวสี่คนครบถ้วนบริบูรณ์เลยทีเดียว มิหนำซ้ำฟังจากน้ำเสียง คล้ายจะเป็นเรื่องร้ายแรงไม่น้อย

สิ่งที่ทำให้จั่วม่อหดหู่มากที่สุด คือจนถึงตอนนี้ มันยังไม่เข้าใจว่ามันกระทำผิดที่ใด

กล่าวตามเหตุผล ผลงานของมันในการประลองคราวนี้สมควรไม่เลวร้ายจึงจะถูก จั่วม่อในใจกลัดกลุ้มกังวลไม่คลาย

มีเพียงเหวยเสิ้งที่มีสีหน้าครุ่นคิด

ทั้งซือฟู่ ท่านเจ้าสำนักและอาจารย์ลุงทั้งสอง ล้วนขุ่นเคืองมัน จั่วม่อไม่ทราบจะทำอย่างไรเพื่อบรรเทาโทสะของพวกมัน อย่างไรก็ตาม มันเป็นคนง่ายๆ ไม่ค่อยอินังขังขอบต่อสิ่งใด ทราบว่ากังวลไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นไม่คิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป กลับไปคิดถึงม้วนหยกค่ายกลเบื้องต้นของคุนหลุนที่กำลังจะเข้ามาอยู่ในมือมันในไม่ช้า ความกลัดกลุ้มกังวลก็หายวับไป

 

เมื่อสือฟ่งหรงกลับจากอารามตงฝู อาการบาดเจ็บของทั้งสามคนก็ฟื้นตัวรวดเร็วขึ้นมาก สองสามวันให้หลัง พวกมันก็สามารถลุกขึ้นเคลื่อนไหว หลังจากนี้ เพียงต้องพักผ่อนอย่างสงบและอาศัยการเข้าฌานชั่วระยะหนึ่ง ก็จะทุเลาหายดีอย่างสมบูรณ์ นอนป่วยอยู่บนเตียงมานาน พวกมันทั้งสามเบื่อแทบตายแล้ว ดังนั้นพากันออกไปสูดอากาศข้างนอก

บนยอดเขา ลมแรงมาก ทั้งสามคนเบิกบานสำราญใจ หลังจากนอนซมอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ทำให้พวกมันตระหนักว่าการมีลมเย็นเป่าใส่เช่นนี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าเพลิดเพลินไม่น้อยจริงๆ

มองลงไปยังกลุ่มเงาร่างที่กำลังทำงานหนักอยู่ด้านล่าง เหวยเสิ้งทอดถอนใจ “สำนักของเรากำลังจะรุ่งโรจน์!!”

บรรยากาศในสำนักกระบี่สุญตาเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ตามหุบเขาหรือในป่า มักเห็นเงาร่างของศิษย์สำนักกระบี่สุญตาทำงานอย่างหนัก ดวงตาของศิษย์เหล่านั้นเมื่อแลมายังพวกมันทั้งสาม ล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชมบูชา

สำนักกระบี่สุญตาในวันนี้ เต็มไปด้วยพลัง มีชีวิตชีวา และการเติบโต ใบหน้าของเหล่าศิษย์เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและแรงกระตุ้น ซึ่งพวกมันไม่เคยมีมาก่อน ในสายตาเป็นประกายของพวกมัน เหวยเสิ้งกับพวกสามารถเห็นความหวัง เป็นความคาดหวังต่ออนาคตอันเรืองรองของสำนักของพวกมัน!

ขณะเดินท่องไปตามภูเขา พวกมันทั้งสามค่อยๆ ตระหนักถึงสิ่งนี้อย่างลึกซึ้ง

หลัวหลีอดพยักหน้ากล่าวออกมาไม่ได้ “ไม่เลว หลังจบงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ สถานะของสำนักเราในอาณาจักรนภาจันทร์ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่มีใครหยุดพวกเราได้อีก!” ดวงตามันเป็นประกายด้วยความปรารถนาและการคาดหวัง สำนักรุ่งเรืองขึ้น ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือเหล่าศิษย์เอกอย่างพวกมัน การบำเพ็ญเพียรไม่ได้สร้างขึ้นจากรากฐานอันว่างเปล่า ไม่มีจิงสือ ไม่มีวัตถุดิบ ไม่มีเวทวิชา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวตามความเร็วในการรุดหน้าของผู้อื่นทัน

จั่วม่อคล้ายเลื่อนลอยอยู่บ้าง มันเป่าลมออกจากปาก ความคิดฟุ้งซ่านมึนงง

“ศิษย์น้อง เจ้าคิดอันใด?” เหวยเสิ้งสังเกตเห็นความเหม่อลอยของจั่วม่อ

จั่วม่อสติกลับสู่ร่าง กล่าวกลบเกลื่อนว่า “ข้ากำลังคำนวณว่าเมื่อใดจะได้รับของรางวัล”

เหวยเสิ้งอดแย้มยิ้มออกมาไม่ได้

หลัวหลีก็มีสีหน้าอับจนปัญญา แต่ยังถามอย่างใคร่รู้ “คนโลภมากอย่างเจ้า ไฉนเลือกสินค้าเส็งเคร็งเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่ามียุทธภัณฑ์เวทที่ดีมากมาย” จั่วม่อเลือกของรางวัลเป็นม้วนหยก เหวยเสิ้งกับหลัวหลีรู้สึกไม่คาดฝันเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนคาดเดาว่าจั่วม่อจะต้องเลือกยุทธภัณฑ์เวทระดับสี่ หรืออย่างน้อยต้องเป็นยุทธภัณฑ์เวทระดับสามชั้นสุดยอด ไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่ามันจะเลือกม้วนหยกที่ไม่มีคำอธิบายม้วนหนึ่ง

จั่วม่อเหลือกตา “หากท่านไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องกล่าวเหลวไหลไร้สาระ”

หลัวหลีกลับไม่มีโทสะ มันยังจำได้ว่าพอจั่วม่อเลือกม้วนหยก สีหน้าท่านเจ้าสำนักกับเหล่าผู้อาวุโสดูน่าเกลียดมากถึงเพียงไหน มันในที่สุดก็เข้าใจว่าไฉนท่านเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสพิโรธโกรธกริ้วปานนั้น

หลัวหลีสบตาเหวยเสิ้งแวบหนึ่ง แย้มยิ้มให้แก่กัน พวกมันทั้งคู่ไม่มีผู้ใดคิดสะกิดเตือนจั่วม่อ

 

เมื่อสามารถลุกขึ้นท่องเที่ยวไปรอบๆ ได้ พวกมันทั้งสามก็รีบย้ายกลับไปยังที่พำนักของตนทันที ไม่มีผู้ใดปรารถนาอยู่ในเรือนขิงหอมนานกว่านี้อีก

จั่วม่อกลับมายังลานน้อยลมตะวันตกของมัน

นอนอาบแดดอย่างเกียจคร้าน บางครั้งคราวยกศีรษะขึ้นมอง มันสามารถมองเห็นนกโง่ยืนอยู่บนหลังคา วางท่าอวดโอ่ความงามของนางหลากหลายท่วงท่า หากเป็นเวลาอื่น จั่วม่อต้องซัดก้อนหินใส่มันด้วยความหมั่นไส้อย่างแน่นอน แต่เมื่อห่างกันไปช่วงหนึ่ง แล้วกลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง มันพบว่าเจ้านกโง่ก็ค่อนข้างน่ารักอยู่บ้าง

เสี่ยวกั่วกำลังตั้งอกตั้งใจปอกผลไม้หลากหลายชนิดไว้สำหรับศิษย์พี่ ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งเป็นผู้นำผลไม้เหล่านี้มา หลี่อิงฟ่งกับจั่วม่อกำลังสนทนาอย่างออกรส

“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้องต้องรีบหายเร็วๆ คราวนี้ศิษย์น้องทำให้ทุกผู้คนตื่นตะลึง เมื่อผลการประลองประกาศออกมา คงมีคนพูดไม่ออกมากมาย” หลี่อิงฟ่งคล้ายฉุกคิดอันใดขึ้นได้ นางยิ้มแย้ม กล่าวว่า “หนานเหมินหยางเข้าสู่อารามตงฝู กลายเป็นศิษย์ผู้น้องของหวีป๋าย อ๊า น่าสงสารจริงๆ” นางไม่ได้บอกว่าสงสารหนานเหมินหยางหรือหวีป๋าย บางทีอาจเป็นทั้งคู่ นางกล่าวสืบต่อ “ส่วนจงหมิงเอี้ยน ว่ากันว่าการบาดเจ็บสาหัสยิ่ง ศิษย์น้องกลายเป็นคนที่สำนักกระบี่ตงฉีแค้นเคืองที่สุด ทางที่ดีอย่าไปเดินเล่นแถวสำนักกระบี่ตงฉีจะดีกว่า ตงฝูในเวลานี้น่าเบื่อมาก ทุกคนกำลังพักฟื้น ราคาของยารักษาอาการบาดเจ็บในตลาดทะยานสูงขึ้น...”

จั่วม่อกัดผลไม้กร้วมๆ น้ำผลไม้กระเซ็นไปไกล มันกล่าวอู้อี้ว่า “ไม่สำคัญหรอก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าเสียหน่อย...”

หลี่อิงฟ่งหัวร่อ พลางกล่าวย้ำว่า “ศิษย์น้องต้องหายเร็วๆ คราวนี้มีผู้คนมากมายวิ่งมายังร้านของเรา ถามว่าศิษย์น้องเจ้ายังรับทำการค้าหรือไม่ ชื่อเสียงด้านค่ายกลของศิษย์น้องโด่งดังไปทั่วอาณาจักรนภาจันทร์แล้ว รวมกับชื่อเสียงจากเม็ดยาอีกาทองคำ จริงๆ แล้วมีผู้คนจำนวนมากเข้าแถวรอให้เจ้ารับทำการค้า”

จั่วม่อจิตวิญญาณลุกโชนทันที ไม่มีข่าวใดทำให้มันตื่นเต้นได้มากกว่านี้อีกแล้ว!

เวลานี้มันยากจนข้นแค้นยิ่ง!

ขบวนค่ายกลยักษ์ที่ก่อตั้งขึ้นในการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ แทบจะกวาดวัตถุดิบที่มันซื้อมาจากหอลอยร้อยวิเศษไปจนเกลี้ยงเกลา มิหนำซ้ำมันยังเลือกม้วนหยกเป็นรางวัล เรียกว่างานนี้ไม่มีจิงสือแม้แต่ชิ้นเดียว

ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวคราวจากหลี่อิงฟ่ง ดวงตามันกลายเป็นสีเขียวทันที

อย่างไรก็ตาม มันขบคิดครู่หนึ่ง จากนั้นสั่นศีรษะ “เรื่องนี้ยังต้องรอให้ข้าหายดีเสียก่อน”

“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” หลี่อิงฟ่งกล่าว “ศิษย์น้องต้องพักรักษาตัวให้ดี เมื่อร่างกายเจ้าหายดี เจ้าย่อมมีทุกอย่าง อ้อ ใช่แล้ว ผู้อาวุโสเทียนซงจื่อ เมื่อสองวันที่แล้วออกประกาศอย่างกะทันหัน ซิวเจ่อของตงฝูที่เข้ามาในร้อยอันดับแรก จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังเขตแดนลับ”

“เขตแดนลับ?” จั่วม่อตาเบิกกว้าง กล่าวอย่างไม่เชื่อถือ “อารามตงฝูมีเขตแดนลับด้วย? พวกมันยินยอมให้ผู้อื่นเข้าไปด้วยหรือ?”

“แน่นอน! ว่ากันว่าเพื่อฟูมฟักลูกหลานท้องถิ่นของตงฝู ผู้อาวุโสเทียนซงจื่อตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว” หลี่อิงฟ่งอธิบาย

พวกมันสนทนากันอีกเล็กน้อย แต่จั่วม่อไม่มีความสนใจในข่าวอันสะท้านสะเทือนของหลี่อิงฟ่ง หลี่อิงฟ่งเห็นเช่นนั้น จึงทิ้งโอสถปราณสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บไว้เป็นจำนวนมาก ก่อนอำลาไป

ใช้สายตาส่งหลี่อิงฟ่งจากไป จั่วม่อผลักไสเสี่ยวกั่วไปฝึกกระบี่ จากนั้นมันจมลงในห้วงความคิด

ในวันเดียวกันนั้นเอง จั่วม่อตัดสินใจ

ปิดด่านฝึกตน!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด