ตอนที่แล้วบทที่ 154 สำเนียงพิฆาตระฆังจันทรา  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 156 พี่น้องในยามยาก  

บทที่ 155 ปะทะ!  ( จบเล่ม 2 )


 

หลินเชียนยืนนิ่งงันอยู่กลางอากาศ จ้องมองภาพลวงตาขนาดยักษ์ในระยะไกล

มันไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในค่ายกล แต่การปรากฏตัวของเจดีย์ห้าสีทำให้มันประหลาดใจยิ่ง ผู้อื่นอาจไม่ทราบต้นกำเนิดของเจดีย์ห้าสี แต่มันเห็นจั่วม่อซื้อยุทธภัณฑ์เวทชิ้นนี้จากหอลอยร้อยวิเศษด้วยตามันเอง

เจดีย์ห้าสีแม้ว่าจะมีความสามารถที่ค่อนข้างฉลาดอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงยุทธภัณฑ์เวทที่หลอมสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ ในสายตาของหลินเชียน นี่ไม่ใช่ยุทธภัณฑ์เวทที่ดีด้วยซ้ำ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะกลับกลายมาเป็นยุทธภัณฑ์เชื่อมวิญญาณ

แต่เจดีย์ห้าสีที่กำลังสำแดงฤทธิ์อยู่ในขณะนี้ เป็นยุทธภัณฑ์เชื่อมวิญญาณอย่างแท้จริง!

ต้องมีบางอย่างผิดปกติกับช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน

ในเวลานี้เอง ภาพมายาพลันสั่นพร่าอย่างรุนแรง ภาพกลายเป็นเลือนรางเลอะเลือน มองไม่เห็นสิ่งใด

ผู้เข้าชมที่กำลังตื่นเต้นเร้าใจ ชะงักงันในทันที

เกิดเรื่องอันใด? ค่ายกลภาพฝันเงามายานี้มีปัญหาหรือไร?

หลินเชียนก็แปลกใจเล็กน้อย ค่ายกลภาพฝันเงามายาที่เทียนซงจื่อก่อตั้งขึ้น ในด้านความเสถียรไม่จำเป็นต้องสงสัย ใช่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นในหอคลื่นสนหรือไม่?

หลินเชียนไม่ใช่คนเดียวที่ประหลาดใจ ผู้ที่ประหลาดใจที่สุดย่อมไม่ใช่ใครอื่น เป็นตัวเทียนซงจื่อเอง เพื่อก่อตั้งค่ายกลภาพฝันเงามายาชุดนี้ มันสิ้นเปลืองทรัพยากรไปเป็นจำนวนมาก เมื่อพบเรื่องราวไม่คาดฝันเช่นนี้ ต้องอดขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่ได้

เจ้าสำนักผู้หนึ่งสีหน้ามึนงง “กล่าวอย่างถูกต้อง ค่ายกลภาพฝันเงามายาไม่สมควรมีปัญหา”

“นั่นก็ใช่แล้ว” เจ้าสำนักอื่นๆ เห็นพ้อง

ค่ายกลภาพฝันเงามายาเป็นค่ายกลที่พัฒนามาอย่างสมบูรณ์ มีเสถียรภาพสูงมาก ทั้งยังมีการใช้งานมานานแล้ว นอกเหนือจากขนาดใหญ่โตกว่าค่ายกลที่ก่อตั้งทั่วไปอยู่บ้าง ค่ายกลภาพฝันเงามายาที่เทียนซงจื่อก่อตั้งในครั้งนี้ ก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่างไปจากที่ใช้กันทั่วไปเหล่านั้น

เทียนซงจื่อทันใดนั้นหางตากระตุก

บางคนสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของมัน รีบถามว่า “สหายเต๋าพบปัญหาแล้ว?”

เทียนซงจื่อสีหน้ากลับเป็นปกติ กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “อุบัติเหตุเล็กน้อยเท่านั้น”

แน่นอนว่าพอมันกล่าวจบ ภาพมายาก็กลับมาทันที ความสนใจของทุกผู้คนถูกดึงกลับไปยังภาพมายาอีกครั้ง

เทียนซงจื่อดวงตาเผยแววตื่นตระหนก หอคลื่นสนเป็นยุทธภัณฑ์เวทสวรรค์ลับชิ้นหนึ่ง อยู่ในความครอบครองของผู้ปกครองตงฝูแต่ละรุ่นมาโดยตลอด เวลานี้มันตรวจพบพลังปราณสุดแกร่งกร้าวระลอกหนึ่งระเบิดขึ้นอย่างฉับพลันในหอคลื่นสน คลื่นพลังปราณที่ผันผวนอย่างรุนแรงนี้เอง ที่ส่งผลกระทบต่อค่ายกลภาพฝันเงามายา ก่อให้เกิดเหตุการณ์เช่นเมื่อครู่ขึ้น การระเบิดของพลังปราณครั้งนี้ราวกับดาวตก มาอย่างรวดเร็ว และไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า พอระเบิดวาบก็หายวับไปทันที

สายตามันจ้องตรงไปยังขบวนค่ายกลภายในภาพมายา

สถานที่ที่พลังปราณระเบิดมาจากตำแหน่งนั้น!

เป็นผู้ใดทำให้เกิดการระเบิด เป็นจั่วม่อ? หรือผู้อื่น?

หวีป๋ายหมดสภาพต่อสู้ ต้องออกจากการแข่งขัน เทียนซงจื่อไม่ได้แปลกใจ ทั้งยังไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียดาย มีประสบการณ์การต่อสู้จริงอย่างเร่าร้อนเช่นนี้ เป็นประโยชน์มากมายกับหวีป๋าย เรื่องอื่นใดเทียนซงจื่อหาได้ใส่ใจไม่ บางทีหวีป๋ายอาจใส่ใจ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เทียนซงจื่อคาดหวังให้หวีป๋ายได้เผชิญอยู่แล้ว

แม้ว่าหวีป๋ายปกติสุภาพอ่อนโยนสง่างาม แต่กล่าวตามความสัตย์ มันไม่เคยรู้จักสภาพความเป็นจริงที่แท้จริง ในใจเพาะสร้างความหยิ่งทระนงมากเกินไป รัศมีแห่งความถือดีนี้แทบจะเป็นสัญลักษณ์ของนายน้อยหลายๆ คน เป็นกลิ่นอายพิเศษเฉพาะที่มักปรากฏได้ง่ายที่สุด ในบรรดาศิษย์เอกของแต่ละสำนัก

เทียนซงจื่อกวาดตาไปยังขบวนค่ายกลอันใหญ่โตอีกครั้ง

มันอดอิจฉาเลื่อมใสเผยเหยียนหรานไม่ได้ ในหมู่ศิษย์สำนักสุญตาที่เข้าประลอง นอกจากหลัวหลีที่ยังคงมีบรรยากาศของนายน้อยสำนักใหญ่อยู่บ้าง เหวยเสิ้งกับจั่วม่อไม่ได้แปดเปื้อนกลิ่นอายเช่นนี้แม้แต่น้อย

และสองคนนี้ยังเป็นสองคนที่สร้างผลงานยิ่งใหญ่ที่สุด น่าแตกตื่นสะท้านใจที่สุด ในงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ปีนี้อีกด้วย

 

สำเนียงพิฆาตระฆังจันทรา!

ภายในค่ายกลมหึมา ภายใต้คลื่นเสียงมหาประลัย ทุกสิ่งถูกบดขยี้เป็นฝุ่นผง แล้วถูกกวาดปลิวออกไป ฝุ่นผงหมอกควันคละคลุ้งหนาทึบ ปกคลุมไปตลอดทั้งค่ายกล เศษฝุ่นยังถูกคลื่นเสียงอัดใส่อย่างไม่หยุดยั้ง ถูกย่อยสลายกลายเป็นยิบย่อยเล็กละเอียดถึงที่สุด!

ท่ามกลางท้องฟ้าที่คละคลุ้งไปด้วยพายุฝุ่นผง จั่วม่อล่องลอยอ้าแขนกว้าง ท่วงท่าสภาวะดุจดั่งเทพเทวามาเยือนโลกหล้า นิ่งสนิทไม่ไหวติง นัยน์ตาว่างเปล่าเฉยเมย ไม่มีวี่แววของอารมณ์ใดๆ ภายในรัศมีหนึ่งจั้งรอบกายจั่วม่อ ฝุ่นผงหมอกควันถูกสกัดกั้นไว้ด้วยกำแพงล่องหนชั้นหนึ่ง

กระบวนท่าสังหารที่ร้ายกาจที่สุดของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยสั่นสะเทือนไปทั้งหอคลื่นสน! ไม่มีสิ่งใดสามารถปิดกั้นคลื่นเสียงสังหารที่กวาดผ่านไปทุกพื้นที่ในหอคลื่นสน สัตว์เล็กสัตว์น้อยนับไม่ถ้วนเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ล้มตายแทบหมดสิ้น

ขณะที่พายุเสียงสังหารกวาดเข้ามา ซิวเจ่อทุกคนรู้สึกเลือดเนื้อสั่นสะเทือน พลังปราณแทบแตกซ่าน ล้วนแตกตื่นสุดระงับ!

นั่นเฉพาะเหล่าซิวเจ่อที่อยู่นอกค่ายกลเท่านั้น สำหรับห้าคนในค่ายกล พลังกดดันที่พวกมันต้องเผชิญยังดุดันอำมหิตกว่านับร้อยเท่าพันทวี!

 

วงคิ้วงดงามของซู่ขมวดเป็นปม เผยสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย

นางประเมินพลังพายุคลื่นเสียงสังหารของค่ายกลมหึมานี้ผิดไป ภายใต้สำเนียงพิฆาต พลังปราณในกายนางแทบแตกซ่าน ม่านเกราะสนามแม่เหล็กเกือบจะพังทลาย นางกัดฟัน ไม่กล้าออมรั้งอะไรไว้อีก รีดเค้นพลังปราณทุกหยาดหยดในร่างกายเข้าสู่กระบี่รัศมีดำ!

พลังสนามแม่เหล็กบิดเบือนพื้นที่มิติ ปกคลุมร่างนางตั้งแต่หัวจรดเท้า เปลี่ยนนางให้กลับกลายเป็นภาพมายา

 

สถานการณ์ของหลัวหลีกลับไม่ดีเท่าซู่ เลือดไหลปรี่ออกมาจากมุมปาก กล่าวถึงที่สุด พลังบำเพ็ญเพียรของมันยังต่ำชั้นกว่าอีกสี่คน หลังจากโจมตี ก็ได้รับบาดเจ็บทันควัน! แต่มุมปากของมันแทนที่จะบิดเบี้ยว กลับยกยิ้มขึ้น มีเค้าความสะใจวาบผ่าน ความปรารถนาในการต่อสู้แทนที่จะลดลง มีแต่เพิ่มสูงขึ้น สะใจ บ้าคลั่ง เร่าร้อน!

คราวนั้น ข้าผลักดันเจ้าไปยังสภาพน่าอนาถ แต่เจ้าไม่เคยรามือยอมรับความพ่ายแพ้ มาบัดนี้ เป็นเจ้ากดดันข้าจนมีสภาพน่าอนาถเช่นนี้...

แล้วข้าจะพ่ายแพ้เจ้าได้อย่างไร!

หลัวหลีถลึงตาเบิกกว้างอย่างกะทันหัน กระบี่บินที่ลอยอยู่เบื้องหน้าคำรามกระหึ่ม ใบกระบี่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น จากนั้นปักลงบนพื้นเบื้องหน้าเท้าของหลัวหลีเฉกเช่นลำแสงสายหนึ่ง จมลงไปจนมิดด้าม

มันคุกเข่าตามติด กระซิบเสียงต่ำ “หว่อหลี!”

หว่อหลี... แบ่งแยกตัวเอง ...หว่อหลี...

เสียงกึกก้องดังกังวานอยู่รอบกายมัน เงาร่างที่ลอยอยู่ข้างหน้ามันซึ่งดูคล้ายเงาสตรีอันเลือนราง พลันกลายเป็นชัดเจน เห็นสตรีในอาภรณ์เรียบง่าย ผมเผ้าไปล่ปลิวชี้ชัน ดวงตาของนางขุ่นเคือง ทอดถอนเบาๆ คราหนึ่ง ค่อยยกฝ่ามือเรียวงามขึ้น

ลำแสงหนึ่งแดงหนึ่งเขียวพวยพุ่งออกจากฝ่ามือนาง สกัดกั้นไว้ข้างหน้าพวกมันทั้งสอง

 

ฉางเหิงยืนนิ่ง สีหน้าไร้อารมณ์ พื้นดินใต้ฝ่าเท้าแตกเป็นเสี่ยงๆ จนกระทั่งพื้นดินสลายเป็นฝุ่นดิน มันก็ยังไม่ขยับเขยื้อน ด้านหน้ามัน แมงมุมโลหิตดูคล้ายเดือดดาล กรีดร้องเสียงแหลม อักขระยันต์ทั่วร่างสว่างไสวขึ้น

เห็นม่านแสงสีเลือดแตะแต้มด้วยจุดแสงสีดำเล็กๆ ปรากฏขึ้น ปิดกั้นอยู่เบื้องหน้าหนึ่งคนหนึ่งแมงมุม

 

คนหน้าเหลืองสวมใส่เกราะหนักทั้งร่าง กระชับขวานสัมฤทธิ์สองคม ตวาดกึกก้อง

ปลายขวานสัมฤทธิ์สองคมปรากฏแสงเจิดจ้าบาดตา แทงใส่ความว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ราวกับเผชิญกับแรงต้านทานอันมหาศาล มันแทงไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ทีละเล็กทีละน้อย กว่าจะคืบหน้าไปแต่ละชุ่นลำบากยากเย็นไม่น้อย ขวานสัมฤทธิ์สองคมยิ่งทอแสงเจิดจ้ามากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เจิดจ้าเสียจนผู้คนไม่อาจมองตรงๆ!

 

ราชันผีน้อยตรงหน้ากุ่ยฟงทำเสียงอ้อแอดุจทารกน้อย มันโบกมืออวบตึงเหมือนรากบัว ม่านแสงสีเขียวอันน่าขนลุกปรากฏขึ้นทีละชั้นๆ ตามจำนวนครั้งที่มันโบกมือ ม่านแสงสีเขียวบางเฉียบเหล่านี้ดูราวกับเปลือกไข่อันเปราะบาง คล้ายเพียงแตะเบาๆ ก็จะสลายไปในไม่ช้า

กุ่ยฟงในที่สุดเผยสีหน้าสยดสยองออกมา

ราชันผีน้อยคล้ายหงุดหงิดฉุนเฉียว ไม่ได้ส่งเสียงอ้อๆ แอ้ๆ อีกต่อไป บนใบหน้าน่ารักไร้เดียงสาเผยเค้าความโหดเหี้ยมอำมหิตอันแปลกประหลาด สองมือของมันเริ่มกรีดกราย ท่วงท่าแปลกพิกล แต่ละท่วงท่าเต็มไปด้วยความมืดมน และพลังสภาวะน่าขนพองสยองเกล้า ราวกับการเต้นรำของพ่อมดหมอผี!

แถบริ้วแสงสีเขียวน่าขนลุกปรากฏขึ้น หมุนรอบกุ่ยฟงกับราชันผีน้อยอย่างเร็วรี่ ได้ยินเสียงคร่ำครวญหวนไห้อย่างเคียดแค้น ดังออกมาจากแถบริ้วแสง

 

อากาศธาตุรอบกายจั่วม่อผู้ซึ่งยังอยู่ในสภาวะมหัศจรรย์ ทันใดนั้นก็ระเบิดเป็นคลื่นกระเพื่อม

ดวงตาเฉยเมยและว่างเปล่าทั้งคู่พลันกระพริบถี่ๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมาทีละเสี้ยวทีละส่วน

จั่วม่อเพียงรู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบ ความรู้สึกเพลิดเพลินจากการลอยตัวอยู่ในจิตสำนึกบินหายไป

ไม่มีสีเทา ไม่มีแสงดาว ไม่มีทะเลแห่งจิตสำนึก...

มันกวาดตามอง เหนือศีรษะ จันทร์เต็มดวงแขวนค้าง เส้นใยแสงจันทร์ทอดลงมาดุจเรือนผม เต็มไปด้วยวงแหวนแสง ดูคล้ายระฆังลมพวงมหึมา

ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในใจจั่วม่อคือ “ผิดท่าแล้ว!”

ตื่นตอนไหนไม่ตื่น ไฉนตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาคับขันอันตรายเช่นนี้...

มันยังไม่ทันจะได้รู้สึกขุ่นข้องรำคาญ พลันกระอักเลือดอย่างรุนแรง ราวกับถูกสัตว์อสูรขนาดยักษ์ควบตะบึงเต็มฝีเท้าชนเข้าอย่างถนัดถนี่ ร่างปลิวลิ่วไปข้างหลังดุจว่าวป่านขาด เลือดฉีดพ่นออกจากปากเป็นฟูฝอย สาดกระจายพร่างพรมไปตามทาง

กระบวนท่าโจมตีที่แกร่งกร้าวที่สุดของค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อย ‘สำเนียงพิฆาตระฆังจันทรา’ กับกระบวนท่าไม้ตายช่วยชีวิตของฉางเหิงกับพวกทั้งห้า ปะทะกันอย่างหักโหม ต่างทุ่มเทเรี่ยวแรงเต็มกำลังเข้าห้ำหั่นกันโดยไม่มีเล่ห์กล!

การปะทะที่กล้าแข็งที่สุดในงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่!

ตูม ตูม ตูม!

แสงสว่างเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์เที่ยงวัน

ฟ้าดินเปลี่ยนสี ปฐพีถล่มทลาย

ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ไม่อาจทนรับพลังทำลายอันน่าแตกตื่นสะท้านโลกนี้ได้ ระเบิดกระจายในบัดดล!

จั่วม่อผู้น่าสงสาร ตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด ทักษะฝีมือของมันลดลงสู่ระดับปกติ จะเอาอะไรมาป้องกันการปะทะอย่างหักโหมของกองกำลังทั้งสองฝ่ายได้? โชคยังดีอยู่บ้าง พลังทำลายส่วนใหญ่ถูกค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ดูดซับไปเกือบหมด แต่กระนั้น ลำพังเศษพลังที่หลงเหลือ ก็ยังมากเกินกว่าที่จั่วม่อจะทนรับไว้ได้ มันบาดเจ็บสาหัสปางตายในชั่วพริบตาที่ตื่นขึ้นมา

เจดีย์ห้าสีแสงสว่างรอบๆ มืดสลัวลง บนองค์เจดีย์ปรากฏรอยร้าวลั่นเปรี๊ยะ ท่ามกลางเสียงกู่ร้องโศกเศร้า มันเปลี่ยนเป็นลำแสง บินหายเข้าไปในร่างจั่วม่อ

ฉางเหิงกับคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใด การปะทะสุดกำลังของทั้งสองฝ่ายอยู่ไกลเกินความคาดหมายของพวกมัน พวกมันยังไม่ทันมีปฏิกิริยา ก็ถูกกวาดกระแทกกระเด็นลิ่วออกจากค่ายกล ร่วงฟาดห่างออกไปหลายสิบจั้ง

ทั้งห้าไม่มีผู้ใดอยู่ในสภาพดี ทุกคนได้รับบาดเจ็บพร้อมหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แม้แต่ฉางเหิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!

 

มองผ่านค่ายกลภาพฝันเงามายา เหล่าผู้ชมในตงฝูไม่สามารถชมดูสถานการณ์ภายในขบวนค่ายกลใหญ่ได้ การที่ภาพมายาจู่ๆ ก็พร่าเลือนไปครู่หนึ่ง ทำให้หลายๆ คนลอบคาดเดา

ขณะที่ผู้คนกำลังงงงวย ภาพมายาที่เพิ่งฟื้นคืนมา ทันใดนั้นก็ระเบิดสนั่นหวั่นไหว สาดแสงเจิดจ้าบาดตา

แสงเจิดจ้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ผู้คนมากมายพบว่าในครรลองสายตากลายเป็นพื้นที่สีขาวกว้างใหญ่ไพศาล มองไม่เห็นสิ่งใด ตงฝูกลายเป็นโกลาหลวุ่นวายในทันที ผู้ที่ตื่นตระหนกลอบป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณ ตงฝูอันกว้างใหญ่ระเบิดด้วยเสียงกรีดร้องตะโกน อื้ออึงไปทั้งเมือง

หลังจากนั้นสักครู่ เมื่อดวงตาของทุกผู้คนกลับเป็นปกติ สถานการณ์ก็ค่อยๆ สงบลง

ผู้คนที่หวาดหวั่นพรั่นพรึง เบนสายตาไปยังภาพมายาที่เพิ่งเปลี่ยนภาพไปตามสัญชาตญาณ

ซี๊ด!

ภาพผู้คนหลายพันหลายหมื่นคน สูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บโดยพร้อมเพรียงกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เห็น

ภายในภาพมายา ตำแหน่งที่จั่วม่อสร้างขบวนค่ายกลในทีแรก ได้เปลี่ยนสภาพไปอย่างสมบูรณ์ บ่อน้ำหายไป ป่าไม้หายไป ขบวนค่ายกลหายไป สิ่งที่พวกมันเห็นมีเพียงหลุมยักษ์อันกว้างใหญ่ไพศาลหลุมหนึ่ง ส่วนลึก ลึกมากกว่าสิบจั้ง ส่วนกว้างยังน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า มีรัศมีถึงห้าสิบจั้ง หลุมยักษ์อันชวนให้สะท้านใจนี้ บันดาลให้ผู้คนหัวใจเย็นเฉียบ กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ

รอบๆ หลุมยักษ์ ยังมีรอยแตกร้าวขนาดใหญ่สิบห้าแห่ง แต่ละรอยแตกกว้างกว่าห้าจั้ง ทอดยาวคดเคี้ยวออกไปตามพื้นดิน โดยมีหลุมยักษ์เป็นจุดเริ่มต้น รอยแตกที่ยาวที่สุดยาวถึงสามลี้!

แม้แต่รอยแตกที่สั้นที่สุด ยังมีความยาวถึงหนึ่งร้อยจั้ง!

หลุมยักษ์ดำมืดเต็มไปด้วยรอยแตกรอบปากหลุม ทำให้ผู้ชมหวาดผวา มันดูคล้ายแมงกะพรุนที่น่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง

แต่ไม่ว่าผู้ใดเห็นแมงกะพรุนยักษ์ดำตัวนี้ ล้วนอกสั่นขวัญแขวน ประหวั่นพรั่นพรึงเข้าไปถึงขั้วหัวใจ!

ต้องเป็นพลังร้ายกาจสักเท่าใด จึงสามารถกระทำเรื่องเช่นนี้ได้?

เหล่าผู้ชมในตงฝู เนิ่นนานยังคงตกตะลึงไม่คลาย

ซิวเจ่อที่หลงเหลืออยู่ในหอคลื่นสนยังตื่นตะลึงอย่างรุนแรงยิ่งกว่า

ชั่วขณะจิตที่แสงสว่างเจิดจ้า พลังทำลายล้างที่คล้ายจะกวาดทำลายทั้งโลก บันดาลให้พวกมันหวาดกลัวแทบตาย!

ไม่มีผู้ใดยังคงสนใจการต่อสู้

ในใจของพวกมันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แต่สองขาคล้ายถูกดึงดูดด้วยมนตราลวงใจ พากันวิ่งตรงไปยังจุดที่เกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อพวกมันเห็นหลุมยักษ์ เค้าความเข้มแข็งสุดท้ายในใจก็คล้ายปลาสนาการไปสิ้น พวกมันทรุดแปะลงข้างขอบหลุม

 

ในสถานที่ชุมนุมของเหล่าเจ้าสำนักแห่งตงฝู สุ้มเสียงขุ่นแค้นระคนเจ็บปวดใจดังกึกก้อง

“หอ...หอตงฝูของข้า...”

 

--- (จบเล่ม 2 ) ---

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด