ตอนที่แล้วบทที่ 151 ห้วงแห่งการรู้แจ้ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 153 เชื่อมวิญญาณ  

บทที่ 152 ทรายดาว  


 

เสียงปะทุรอบกายจั่วม่อกลายเป็นหนาแน่นมากขึ้นและเข้มข้นมากขึ้น มองด้วยตาเปล่าสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ว่าอากาศระเบิดอย่างต่อเนื่อง สร้างพายุหมุนเล็กๆ ขึ้นมาไม่ขาดสาย

อู่หลิงซ่านเหรินที่มีฝีมือในค่ายกล เนื่องเพราะจิตสำนึกของมันแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป แต่มันกลับพบว่าจิตสำนึกของมันเมื่อเข้าไปถึงระยะหนึ่งจั้งรอบกายจั่วม่อ คล้ายสัมผัสถูกกำแพงล่องหน ไม่สามารถบุกเข้าไปได้แม้แต่น้อย ต้องอุทานเสียงดัง ไม่คาดฝันอยู่บ้าง มันอยู่ในด่านจินตัน จั่วม่อเป็นเพียงชนชั้นจู้จี กล่าวตามเหตุผล พลังจิตสำนึกของมันไม่ใช่สิ่งที่จั่วม่อจะต้านทานได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือมันถูกสกัดกั้นไว้ในทันที สถานการณ์เช่นนี้ โดยทั่วไปเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อจิตสำนึกของทั้งสองฝ่ายมีพลังอำนาจเท่าเทียมกันเท่านั้น

อู่หลิงซ่านเหรินรีบระงับความประหลาดใจ กลับมาเป็นเยือกเย็นอย่างรวดเร็ว มันคาดเดาสาเหตุว่า จิตสำนึกของจั่วม่อกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลง เสียงอากาศระเบิดอย่างหนาแน่นรอบกายจั่วม่อ ทำให้มันยิ่งมั่นใจในการคาดการณ์ของตนเองมากขึ้น

เมื่อเทียบกับพลังปราณ เหล่าซิวเจ่อเข้าใจเรื่องพลังจิตสำนึกน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แม้แต่ซิวเจ่อด่านจินตันอย่างอู่หลิงซ่านเหริน ก็ไม่กล้าอวดโอ่ว่าพวกมันมีความเข้าใจเรื่องพลังจิตสำนึกเป็นอย่างดี

ในท้องตลาด เต็มไปด้วยม้วนหยกเคล็ดวิชาฝึกปรือพลังปราณมากมายสุดประมาณ แต่ม้วนหยกสำหรับฝึกปรือพลังจิตสำนึกมีน้อยนิดจนน่าเวทนา มิหนำซ้ำพวกมันยังไม่เป็นที่ต้องการ นับว่าเป็นม้วนหยกประเภทที่ไม่มีใครต้องการมากที่สุด ในบรรดาม้วนหยกที่ไม่มีใครต้องการทั้งมวล

ในบรรดาซิวเจ่อทุกประเภท ผู้ที่มีฝีมือที่สุดในด้านจิตสำนึกอาจเป็นเหล่าเซียนยันต์ แต่กระทั่งเซียนยันต์ยังใช้พลังปราณเป็นหลักอยู่ดี หรืออย่างพวกเซียนวรยุทธ์ พวกมันมักเรียกตัวเองว่าสุดยอดผู้บำเพ็ญเพียรเสริมสร้างสังขาร แต่ในความเป็นจริง พวกมันยังคงฝึกปรือพลังปราณเป็นหลักเช่นกัน

อู่หลิงซ่านเหรินอาจมีฝีมือทางด้านค่ายกล แต่มันไม่ใช่เซียนยันต์ มันเป็นเซียนกระบี่

ในอาณาจักรชายแดนเล็กๆ อันเงียบสงบ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเซียนกระบี่อย่างเช่นอาณาจักรนภาจันทร์นี้ จะหาเคล็ดวิชาฝึกฝนจิตสำนึกที่ดีได้จากที่ใด?

เคล็ดวิชาจิตสำนึกที่อู่หลิงซ่านเหรินฝึกปรือเป็นสาขาเล็กๆ ในหมู่คัมภีร์หลักของสำนักมัน ด้วยเหตุนี้มันจึงบังเกิดความสนใจในวิชาค่ายกล และเริ่มฝึกปรือมาสักช่วงระยะหนึ่ง แต่จะอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงงานอดิเรกยามว่างของมันเท่านั้น เซียนกระบี่ย่อมมีหน้าที่หลักอยู่เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการฝึกปรือกระบี่!

การเปลี่ยนแปลงทางจิตสำนึกที่กำลังเกิดขึ้นกับจั่วม่อคือสิ่งใด อู่หลิงซ่านเหรินจนด้วยเกล้าจริงๆ

สุ้มเสียงอุทานอย่างแปลกใจของอู่หลิงซ่านเหรินดึงดูดความสนใจจากเว่ยเฟย เว่ยเฟยเหลือบมองจั่วม่อแวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตาจากมา มันเองก็เป็นชนชั้นจินตันผู้หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าจิตสำนึกของจั่วม่อกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา แต่ในความเห็นของมัน พลังจิตสำนึกไม่ใช่มรรคาที่แท้จริง จะมีพลังแห่งจิตสำนึกสูงส่งไปเพื่ออะไร?

อู่หลิงซ่านเหรินขบคิดอยู่ชั่วครู่ ไม่สามารถหาคำตอบใดๆ ค่อยหันกลับไปชมดูการต่อสู้ของเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิง

 

จั่วม่อรู้สึกว่าเมื่อแสงดาวโปรยปรายลงมา จิตสำนึกของมันก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบเชียบ แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคืออะไร? มันก็ไม่มีปัญญาบอกได้ มองดูแสงดาวหลั่งไหลลงมาตลอดเวลา ค่อยๆ แผ่กระจายไปในจิตสำนึกของมัน มันบังเกิดความรู้สึกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

การแพร่กระจายของแสงดาวเนิบช้าเป็นอย่างยิ่ง หากต้องแพร่กระจายไปยังทุกพื้นที่ภายในจิตสำนึก เวลาที่ต้องใช้ เกรงว่าจะไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆ

สายตามันเบนออกจากจิตสำนึก เริ่มขบคิดถึงการแบ่งแยกจิตสำนึกที่ผูเยากล่าวไว้ เบื้องหน้ามันคือจิตสำนึกที่เห็นได้ชัดเจนครอบคลุม ใกล้ชนิดเอื้อมมือถึง นี่เป็นครั้งแรกที่จิตสำนึกได้เผยโฉมออกมาให้มันเห็น มันไม่รู้ว่านี่เป็นภาพลวงตา หรือจินตนาการของมันเอง เรื่องนี้ยากจะบอกได้ ดังนั้นไม่มัวเสียเวลาครุ่นคิดอีก

เนื่องเพราะจิตสำนึกที่อยู่ตรงหน้า ใกล้ชิดจนแทบจะสัมผัสได้ เป็นธรรมดาที่จั่วม่อจะฉุกคิดถึงการแบ่งแยกจิตสำนึกขึ้นมา

ผูเยายังไม่ได้สอนมันเรื่องวิธีแบ่งแยกจิตสำนึก จั่วม่อกวาดตามองไปรอบๆ ทุกทิศทางรอบกายมันล้วนเป็นจิตสำนึก ราวกับจักรวาลสีเทาอันไร้ที่สิ้นสุด ทะเลแห่งจิตสำนึกถูกห้อมล้อมไว้ตรงใจกลางของพื้นที่จิตสำนึก กลุ่มดาวล่องลอยอยู่ด้านนอกของพื้นที่จิตสำนึก ดังนั้นจิตสำนึกมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล แต่ไร้รูปร่างและไม่มีตัวตน จั่วม่อรู้สึกว่าไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร

จั่วม่อพยายามใช้วิธีปกติที่มันมักกระทำ โดยการกระตุ้นให้จิตใจสื่อสารกับจิตสำนึกรอบข้าง

เพียงใจเริ่มคิด จิตสำนึกสีเทารอบกายก็เริ่มไหลบ่าเข้าหามัน หลังจากนั้นสักครู่ ปรากฏกลุ่มก้อนจิตสำนึกอยู่ในมือมัน จั่วม่อรู้สึกน่าเล่นยิ่ง ที่แท้ง่ายดายถึงเพียงนี้?

ยังไม่ทันจะมีความสุขได้นานเท่าใด กลุ่มก้อนจิตสำนึกในมือก็กระจายหายไป จริงดังคาด นี่ย่อมไม่ง่ายถึงจะถูก แต่มันไม่ท้อแท้แม้แต่น้อย ผลลัพธ์นี้ไม่ได้ทำให้ประหลาดใจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่มันได้ยินคำว่าแบ่งแยกจิตสำนึก ก็เตรียมใจไว้แล้วว่าสมควรไม่ใช่เรื่องง่ายดาย

หลังจากนั้นจั่วม่อพยายามทดสอบหลายๆ อย่าง และได้ข้อสรุปมากมาย

จริงอยู่ว่ามันสามารถควบคุมจิตสำนึกเหล่านี้ ทั้งยังควบคุมได้ง่ายดายยิ่ง แต่จิตสำนึกก็เหมือนเม็ดทราย สามารถบีบอัดเป็นกลุ่มก้อนในกำมืออย่างไม่ยากเย็น แต่เมื่อคลายมือออก เม็ดทรายก็จะกระจัดกระจายไหลลงเป็นกองๆ เมื่อจั่วม่อไม่ได้ใช้จิตใจควบคุมไว้ จิตสำนึกเหล่านี้ก็จะกลับสู่สภาพเดิม

จั่วม่อรู้สึกไม่ถูกต้อง ในความเข้าใจของมัน จิตสำนึกที่แบ่งแยกออกมาสมควรทำงานด้วยตัวเองได้อย่างอิสระ โดยมิต้องให้มันคอยใช้จิตใจควบคุม มิเช่นนั้น จะแตกต่างอันใดกับการที่มันแบ่งจิตสำนึกออกเป็นส่วนๆ และคอยควบคุมให้ทุกส่วนทำงานไปพร้อมกัน? จิตสำนึกไร้รูปร่างและไม่มีตัวตน ดังนั้นจึงสามารถบังคับให้มีรูปร่างเป็นรูปทรงใดก็ได้

เมื่อตอนที่มันใช้ค่ายกลไฟหลียักษ์ต่อกรกับจงหมิงเอี้ยน จั่วม่อก็ได้ใช้ทักษะที่คล้ายคลึงกันนี้ ในเวลานั้นมันต้องควบคุมค่ายกลกักมังกร ค่ายกลไฟหลี ค่ายกลเพลิงสามหวน และค่ายกลไฟหลียักษ์ สี่ค่ายกลพร้อมกันในเวลาเดียวกัน และเพื่อที่จะควบคุมค่ายกลที่แตกต่างกันสี่ชุดพร้อมกัน ทักษะในการควบคุมจิตสำนึกของจั่วม่อนั้น เรียกได้ว่าถึงขั้นละเอียดอ่อนมากแล้ว

ในเวลานั้น จิตสำนึกของมันคล้ายปลาหมึกยักษ์ที่มีหนวดสี่เส้น อาศัยหนวดทั้งสี่ส่วนนี้ควบคุมสี่ค่ายกลพร้อมกัน

หากมองอย่างเข้มงวด นี่ไม่ใช่การควบคุมค่ายกลในเวลาเดียวกันอย่างแท้จริง เนื่องเพราะค่ายกลทั้งสี่มีการทำงานตามลำดับก่อนหลัง อาจกล่าวได้ว่าเป็นการทำงานประสานกันจะเหมาะสมกว่า แต่เพียงเพราะช่องว่างระหว่างเวลาที่ค่ายกลทั้งสี่สำแดงพลังนั้นกระชั้นสั้นยิ่ง ทั้งยังประสานกันอย่างกลมกลืมดุจภูษิตฟ้าไร้ตะเข็บ จึงดูราวกับว่ากระทำสำเร็จลุล่วงในเวลาเดียวกันทั้งหมด

ควบคุมค่ายกลทั้งสี่พร้อมกัน นั่นคือขีดจำกัดของจั่วม่อ นี่ไม่ใช่จิตใจเดียวแบ่งออกเป็นสี่การกระทำ แต่เป็นจิตใจเดียวกระทำทีละขั้นตอน ประสานกันอย่างต่อเนื่องแนบเนียน

‘แบ่งแยกจิตสำนึก’ เป็นการแบ่งแยกจิตใจออกจากกันอย่างแท้จริง มันสามารถกระทำเรื่องราวหลายอย่างได้พร้อมกัน โดยไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน หากดูจากความหมายนี้ นอกจากแบ่งแยกจิตสำนึกแล้ว มันยังต้องแบ่งแยกจิตใจออกมาส่วนหนึ่งด้วย!

จั่วม่อจมลงไปในภวังค์ความคิด จิตสำนึกไร้รูปร่างและไม่มีตัวตน แต่นี่มันก็เหมือนกับพลังปราณไม่ใช่หรือ ในเมื่อพลังปราณแบ่งออกเป็นส่วนๆ ได้ จิตสำนึกก็สมควรทำได้ แต่จิตใจเล่า จิตใจคือความคิดของผู้คน วิธีใดจะแบ่งความคิดออกไปได้?

นี่เป็นไปไม่ได้!

จั่วม่อตระหนักว่าความคิดของมันจะต้องมีที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน

มันพลันนึกถึงเมล็ดพันธุ์อสูรในร่างกายของมัน ชั่วขณะที่ความคิดนี้แวบขึ้นในใจ สภาพรอบกายก็แปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน!

ทะเลแห่งจิตสำนึกถูกดึงใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว หรืออาจจะเป็นตัวมันเองที่ถูกดึงลงไป ภายในชั่วพริบตา จั่วม่อปรากฏขึ้นในทะเลแห่งจิตสำนึก ผูเยานั่งอยู่ในระยะประชิด จั่วม่อเห็นผูเยาลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน และกวาดมองรอบด้านอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าเผยแววงุนงง

จั่วม่อไม่มีเวลากระทั่งจะเรียกผูเยา ร่างของมันพุ่งผ่านเปลวไฟ ถูกดึงลงไปใต้ทะเลแห่งจิตสำนึก

จากนั้นมันก็พบเห็นเมล็ดพันธุ์อสูร!

เวลานี้มันค่อยล่วงรู้ ที่แท้เมล็ดพันธุ์อสูรถูกซ่อนไว้ในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน มิหนำซ้ำยังอยู่ลึกเข้ามาในใจกลางอันลึกล้ำ

จั่วม่อทันใดนั้นอดนับถือเลื่อมใสผูเยาอยู่บ้างไม่ได้ เพื่อที่จะสามารถฝังสิ่งของเช่นนี้ลงไปในส่วนลึกของทะเลแห่งจิตสำนึก ผูเยาต้องมีพลังในระดับชั้นที่ยากจะจินตนาการได้จริงๆ

มันคิดเสมอว่าทะเลแห่งจิตสำนึกเป็นเหมือนเกาะเล็กๆ สักแห่ง แต่บัดนี้ค้นพบว่าของสิ่งนี้ที่แท้เป็นรูปทรงกลม สถานที่ที่มันมักเข้าไปเป็นพื้นผิวส่วนหนึ่งของทรงกลม ส่วนด้านในทรงกลมกลวงเปล่า เมล็ดพันธุ์อสูรอยู่ที่ใจกลางพอดี มีขนาดราวๆ ผลเหอเถา (ผลวอลนัท) รอบๆ เมล็ดพันธุ์อสูรมีท่อแคบๆ ที่คล้ายเส้นเถาวัลย์หรือเส้นชีพจรปราณ จั่วม่อไม่สามารถบอกชื่อพวกมันได้ ท่อผอมบางเหล่านี้เชื่อมโยงเมล็ดพันธุ์อสูรเข้ากับพื้นผิวของทะเลแห่งจิตสำนึก

เมล็ดพันธุ์อสูรถูกเพิ่มเข้าไปในร่างกายมันทีหลัง เช่นนั้นท่อผอมบางเหล่านี้ก็สมควรเพิ่มเข้าไปทีหลังเช่นกัน หลังจากครอบครองเมล็ดพันธุ์อสูร ความสามารถในการควบคุมจิตสำนึกของมันก็เติบโตขึ้นอย่างมาก จั่วม่อคาดเดาว่าเป็นฝีมือของสิ่งเหล่านี้เอง

มองไปยังเมล็ดพันธุ์อสูรที่ปกคลุมไปเส้นของกลุ่มท่อคล้ายเถาวัลย์ จิตใจตกอยู่ในความงงงัน

จั่วม่อทันใดนั้นสะท้านขึ้นทั้งร่าง หากมันลอกเลียนโครงสร้างของเมล็ดพันธุ์อสูรเล่า? อาจสามารถรักษาเสถียรภาพของจิตสำนึกเอาไว้ได้ แทนที่จะกระจัดกระจายเหมือนเม็ดทรายอย่างที่เป็น

มันยิ่งขบคิดมากเท่าใด ยิ่งรู้สึกว่าเข้าเค้ามากเท่านั้น คิดทบทวนอย่างรอบคอบ มันค้นพบว่าจิตสำนึกแม้จะไร้รูปร่างและไม่มีตัวตน แต่กลับไม่เคยล่องลอยแตกซ่านกระจัดกระจายไป นี่เป็นเพราะการมีอยู่ของทะเลแห่งจิตสำนึก ซึ่งเป็นเหมือนแกนกลางคอยดึงดูดพวกมันเอาไว้ เมล็ดพันธุ์อสูรที่อยู่ใจกลางของทะเลแห่งจิตสำนึกอีกที ช่วยให้มันสามารถควบคุมจิตสำนึกได้ดั่งใจปรารถนามากกว่าเดิม

จั่วม่อที่เพิ่งจะเห็นแสงสว่าง จู่ๆ ก็ประสบปัญหาอื่นอย่างรวดเร็ว

แล้วมันจะใช้อะไรแทนทะเลแห่งจิตสำนึก และใช้อะไรเป็นเมล็ดพันธุ์อสูร?

มันไม่ได้มีความสามารถเช่นผูเยา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำสิ่งของจากโลกภายนอกเข้ามาในทะเลแห่งจิตสำนึก มีเพียงสิ่งที่คงอยู่ในที่นี้เท่านั้นที่สามารถนำมาใช้งานได้ จ้องมองเมล็ดพันธุ์อสูรที่ตรงหน้า มันอดคิดไม่ได้ว่า ไหนๆ เมล็ดพันธุ์อสูรก็ดูคล้ายเถาองุ่นเสียขนาดนี้ หากสามารถออกผลได้ด้วยก็คงดี มันจะได้ไม่ต้องขาดแคลนวัตถุดิบที่จะใช้แล้ว

ความคิดเหลวไหลนี้ เพียงแค่เป็นที่ขบขันในใจแวบหนึ่งเท่านั้น

จั่วม่อรู้สึกว่าความคิดของมันควรจะไม่ผิดพลาด แต่ต้องหาวิธีแก้ปัญหาเสียก่อน มันเริ่มเดินผ่านทะเลแห่งจิตสำนึก มองหาบางสิ่งบางอย่างที่สามารถทำหน้าที่เป็นแกนกลางได้ กล่าวไปก็น่าประหลาด มันสามารถมองเห็นผูเยาได้ชัดเจน แต่พวกมันคล้ายอยู่ในโลกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงสองใบ ไม่ว่ามันจะตะโกนเรียกเสียงดังเท่าใด แม้แต่เดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าผูเยา ผูเยาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย

หลังจากพยายามอยู่สองสามรอบ จั่วม่อก็รามือจากการกระทำอันไร้ประโยชน์นี้ แล้วเริ่มเสาะหาสิ่งของที่สามารถใช้แทนเมล็ดพันธุ์อสูรต่อไป

อย่างไรก็ตาม หลังจากสำรวจไปทั่วทั้งทะเลแห่งจิตสำนึก มันไม่พบพานสิ่งใดที่น่าจะใช้ได้เลย

ที่แท้ความคิดนี้ผิดพลาดหรือไม่? จั่วม่อลอยกลับขึ้นมาสู่จิตสำนึกสีเทารอบนอกโดยไม่รู้ตัว รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่ไหลผ่านจิตสำนึก มันขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างจริงจัง

ในเวลานี้เอง แสงดาวระยิบระยับเป็นจุดแต้มดุจดั่งทรายสีเงิน ค่อยๆ ไหลผ่านสายตาของมันไปอย่างแช่มช้า

สายตาของมันชะงักกึก

เห็นเศษเสี้ยวแสงดาวเหล่านั้นล้อมรอบด้วยชั้นจิตสำนึกเบาบาง ราวกับว่ามีชั้นเกราะสีเทาเบาบางอยู่ชั้นหนึ่ง!

จั่วม่อดวงตาทอประกายปิติยินดี!

แสงดาว! ใช่แล้ว ข้าไฉนหลงลืมแสงดาวไปเสียได้?

มันยื่นมือออกไปคว้าแสงดาวจุดแต้มอย่างระมัดระวัง จุดระยิบระยับในฝ่ามือของมันไม่มีน้ำหนัก แต่มันสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนกว่าเดิม ว่าแสงดาวเหล่านี้ล้อมรอบด้วยชั้นบางๆ ของพลังแห่งจิตสำนึกจริงๆ ชั้นจิตสำนึกนี้มีความหนาแน่นมากกว่าที่อื่นเล็กน้อย

ฮ่า! เจ้านี่ใช้การได้!

จั่วม่อตัดสินใจเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่าทรายดาว เนื่องเพราะเมื่อเพ่งมองใกล้ๆ มันไม่ใช่กลุ่มแสง ทว่าเป็นสิ่งที่มีตัวตนคล้ายเม็ดทราย

ค้นพบวิธีการใช้ทรายดาวอันน่าอัศจรรย์ จั่วม่อเริ่มนั่งขัดสมาธิใกล้ๆ ดวงดาวทั้งสี่ เพื่อเก็บรวบรวมทรายดาว

ความเร็วที่ดวงดาวทั้งสี่พ่นทรายดาวออกมานั้นเชื่องช้าเป็นที่สุด หลังจากผ่านไปนาน จั่วม่อเพียงรวบรวมได้เล็กน้อยเท่านั้น

มันตกลงใจใช้ทรายดาวจำนวนนี้ทดลองทำตามที่คิดดูเสียก่อน

ทรายดาวเหล่านี้ก็ไหลกระจัดกระจายเหมือนทรายจริงๆ หากต้องการใช้พวกมันเป็นแกนกลางด้านใน จั่วม่อจำเป็นต้องหลอมสร้างให้เป็นชิ้นเดียวเสียก่อน

จั่วม่อกับวิชาหลอมสร้างไม่ใช่เรื่องแปลกหน้า เวลานี้ตัวมันอาจถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือในการควบคุมไฟครึ่งหนึ่ง แต่แล้วในทันทีทันใด พลันต้องรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมา เนื่องเพราะนึกขึ้นได้ว่า มันไม่สามารถเรียกไฟหินงอกเข้ามาในจิตสำนึก! เมื่อไม่มีไฟ คิดหลอมสร้างทรายดาวให้รวมเป็นหนึ่ง ไยมิใช่เพ้อฝันไป?

ไฟ...

สายตามันอดมองไปยังทะเลแห่งจิตสำนึกไม่ได้ นั่นเป็นทะเลไฟผืนมหึมา! บางทีมันอาจจะใช้เปลวไฟสีแดงเข้มเหล่านั้นแทน จั่วม่อคิดอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

แต่ในชั่วขณะนี้ มันไม่ได้มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีก ดังนั้นได้แต่ลองเสี่ยงดูสักครา

มิคาด มันเพียงแค่คิดเท่านั้น เปลวไฟก็พลันพุ่งออกจากทะเลเพลิง บินมาถึงเบื้องหน้ามันในทันที!

ราบรื่นและเรียบง่ายเสียจนจั่วม่อหวาดผวา เปลวไฟในทะเลแห่งจิตสำนึกเหล่านี้ ที่ผ่านมามันไม่เคยควบคุมได้

แต่หลังจากขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ มันไม่สามารถคิดถึงสาเหตุได้ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะล่วงรู้ก็ต่อเมื่อทดลองกระทำดู

จั่วม่อหนึ่งไม่กระทำ สองไม่มีถอย มันเมื่อเลือกกระทำ ย่อมไม่มีความคิดล่าถอย ควบคุมเปลวไฟสีแดงเข้มกลุ่มนี้ เริ่มต้นกระบวนการหลอมสร้างทรายดาวในฝ่ามือ

เปลวไฟสีแดงเข้มเปล่งประกาย ห่อหุ้มกลุ่มก้อนทรายดาว บิดส่ายไปมาราวกับเต้นระบำอสูรฟ้าอันบ้าคลั่ง!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด