ตอนที่แล้วตอนที่ 6 หน้าที่ของพลังชี่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่8 การฝึกซ้อมและตลาด

ตอนที่7 วิทยายุทธ์อัคคี


“ใจเย็นๆ ไม่มีใครแย่งข้าวเจ้ากินหรอก นี่..อย่ากินด้วยมือสิ ใช้ตะเกียบกินสิ!”

โจว หัว ได้ตั้งครรภ์ประมาณ 6-7 เดือนได้แล้วและนั่งอยู่ตรงข้ามชิบะน้อยเพื่อเฝ้าดูการกินอาหารอย่างตระกะตระกาม เธอทั้งโกรธและหัวเราะในเวลาเดียวกัน เธอสงสัยว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับเขา เขารู้สึกพอใจอย่างมากที่ได้เจอหน้าน้องชาย แต่เขากลับกลายเป็นว่าไม่เชื่อฟังเธอเลยในหลายๆเดือนที่ผ่านมา เขาวิ่งไปรอบๆภูเขาตลอดเมื่อเขามีเวลาว่าง เมื่อเขากลับมาทุกครั้งจะมีเหงื่อทั่วร่างกายและกลิ่นเหม็นจากเหงื่อพวกนั้น

เมื่อถามว่าเขาออกไปไหน เขาก็จะแก้ตัวว่าไปฝึกศิลปะการต่อสู้มาซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้เนื่องจากเขายังเด็กเกินไป เมื่อเขาออกไปเขาก็ไม่เคยกลับมาทันเวลาอาหาร อนิจจานั้นคือสิ่งที่ทำให้แม่ของเขาจะเป็นบ้าเอา เธอบอกกับเขาว่าถ้ากลับบ้านเย็นเกินเขาจะไม่ได้กินอาหารแล้วจะอดอาหารมื้อนั้นไปเลย วิธีนี้ใช้ได้ผลแค่ช่วงแรกๆ แต่ต่อมาชิบะน้อยก็ฉลาดซะจนในเมื่อบ้านแม่ไม่มีข้าวให้กิน เขาจึงกินอาหารบ้านพี่สาวเธอแทน

“อร่อยจริงๆมันอร่อยมากๆ ท่านพี่ทำอาหารได้อร่อยกว่าท่านแม่เยอะเลย!” ขณะที่ชิบะน้อยกินข้าวอยู่นั้นเขาก็ชม โจว หัว ไปด้วย ด้วยเหตุนี้เธอจึงมีความสุขและห่วงใยเขาอยู่ตลอดเวลา

ถึงแม้จะตั้งครรภ์อยู่ก็ตาม

“เจ้าน่ะยังเด็กแต่ฉลาดนักนะ ตอนที่กินอาหารอยู่ไม่ควรพูดชมคนอื่นนะ!” วัง เทียนเหล่ยนั่งอยู่ใกล้ๆ และในมือมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง เขาแสดงความไม่พอใจต่อน้องชายคนสุดท้อง

“เฮ้พี่ชาย พี่อ่านอะไรน่ะ?”

ตั้งแต่ตอนแรกที่เขามาถึงบ้านพี่สาวเพื่อมากินอาหารเขาก็ได้เห็น หนังสือ วิทยายุทธ์อัคคี

เท่าที่คิดได้มันน่าจะเป็น วิทยายุทธ์เร้นลับ อะไรสักอย่างเมื่อเปรียบบเทียบกับตอนแรก

ตอนนี้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีเมื่อได้เห็นหนังสือเล่มนั้น

เป็นเพราะอยากอ่านหนังสือเล่มนั้นเอามาก

เมื่อเขามองไปที่ตัวอักขระทั้ง 2 ชิบะน้อยก็รีบวิ่งไปดูหนังสือทันที ด้วยตัวอักขระและรูปภาพระบุไว้ว่า มันเป็นความลับแห่งพลังภายใน ที่ล้ำลึกกว่า พลังชี่ และมันซับซ้อนกว่าวรยุทธที่สอนโดย หวัง เทียนเหล่ย ซะอีก

จากนั้นเป็นต้นมาเขามักจะทานอาหารนอกบ้านอยู่เสมอๆ เขาได้ไปกินที่บ้านพี่สาวของเขาซึ่งมันเป็นข้ออ้างในการไปท่องจำและจดจำสิ่งที่อยู่ในหนังสือ

แม้ว่า หวัง เทียนเหล่ย ถือว่าหนังสือเล่มนี้เป็นทรัพย์สมบัติและเก็บไว้อย่างระมัดระวัง แต่เขามีนิสัยที่ว่าหลังจากทานอาหารเย็นเสร็จเขามักจะหยิบหนังสือเล่มนี้ออกมาอ่านทุกครั้ง ทำให้เป็นไปตามแผนของชิบะน้อย

โดยปกติ หวังเทียนเหล่ยก็ไม่ได้หวงถึงขนาดจะไม่ให้ชิบะน้อยอ่านด้วย

มันไม่สำคัญว่าถ้าเขาเห็นมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรเด็ก 3 ขวบเขาไม่รู้เรื่องอะไรหรอก และเนื่องจาก หวัง เทียนเหล่ย ไม่รู้หนังสือ แต่ชิบะน้อยรู้สึกมีชีวิตชีวาในการจำสูตรต่างๆภายใน หนังสือ วิทยยุทธ์อัคคี ภายในหนึ่งเดือน

หนังสือบางเล่มมีประมาณ 20 หน้า ยิ่งไปกว่านั้นหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากอักษรจีน เมื่อเทียบกับภาษาอังกฤษที่ชิบะน้อยได้เรียนรู้ในชีวิตก่อนหน้านั้น ทำให้หนังสือเล่มนี้ง่ายไปเลยสำหรับเขา ชิบะน้อยไม่กล้าฝึกฝนเองเพราะเขาจำข้อมูลจากหนังสือเล่มนี้ได้เป็นบางส่วนเท่านั้น

หลังจากฝึกฝน พลังชี่ เขาก็รู้ดีว่าควรจะไม่มีข้อผิดพลาดในการทำงานของ พลังชี่ภายใน เมื่อการควบคุมพลังเสียสมดุลไปผู้ใช้อาจถูกครอบงำโดยปีศาจและอาจตายในทันที ชิบะน้อยมีความสามารถในการท่องจำบทความ แต่ไม่มีประสบการณ์ด้านการท่องจำหนังสือประเภทนี้

เขาจำอักขระทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ภายในครั้งเดียว แต่ก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่จำได้นั้นจะถูกต้องสมบูรณ์หรือป่าว

 

ดังนั้นเขาจึงคว้าทุกโอกาสที่จะคว้าได้เพื่อดูให้แน่ใจว่าสิ่งที่เขาจำมามันถูกหรือไม่

สำหรับคำถามนั้นเขาได้ถามพี่ชายเขาซ้ำๆ “พี่กำลังอ่านอะไรอยู่น่ะ?” พี่เขยของเขาให้คำตอบสั้นๆเหมือนเดิมทุกครั้งที่เขาถาม

“ข้าไม่รู้!”

หลังจากที่ได้ยินคำตอบชิบะน้อยจะพูดว่า “โอ้” และเงียบไป

มันแต่ต่างกันในวันนี้ เพราะเขามีเพียงภาพเดียวที่เขากังวล ดังนั้นเขาจึงต้องมีเหตุผลที่จะสร้างโอกาสนั้นเพื่อที่จะได้เห็นมัน

เมื่อการทานมื้อเย็นเสร็จสิ้นเขาได้หันไปทาง หวัง เทียนเหล่ย และเหยียดคอมองไปยังหนังสือและพูดว่า “นี่พี่ชาย ทำไมพี่คุณต้องอ่านหนังสือเล่มนั้นทุกวันล่ะ?”

"กำถามของชิบะน้อยได้ไปจี้ปม เขาวางหนังสือไว้ตรงเข่าและพูดต่อด้วยความโกรธว่า “ถ้าข้าได้รับการศึกษาล่ะก็ ข้าคงไม่จำเป็นต้องอ่านมันซ้ำๆหรอก!”

“ภาพเหล่านี้หมายถึงอะไร?” ชิบะน้อยได้หยิบหนังสืออย่างไม่ต้องใจและเปิดหน้าสุดท้ายยื่นให้เขาดู

“ภาพเหล่านี้เป็นกระบวนการทำงานของพลังชี่!” หวัง เทียนเหล่ยได้กล่าวขึ้นมา

“ถ้าจะให้เข้าใจยิ่งขึ้นต้องอ่านอักขระควบคู่ไปกับภาพไปด้วย!”

“มันไม่สำคัญคุณเองก็สามารถเรียนรู้ได้!” ชิบะน้อยกำลังจดจ่ออยู่กับหน้าสุดท้ายของ หนังสือวิทยายุทธ์อัคคี และกล่าวต่อว่า “เฒ่าตาบอดสามารถจำอักขระเหล่านี้ได้!”

“ใช่! ทำไมข้าไม่คิดอย่างงี้ตั้งแต่แรก?” หวัง เทียนเหล่ยพูดด้วยเสียงแปลกๆ และลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ “แม้เฒ่าตาบอดจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดๆได้ แต่เขาก็สามารถสอนเราได้”

“เย้! เย้! ข้าต้องการที่จะเรียนรู้มัน!”ชิบะน้อยกล่าว เขาจ้องมองไปยังหนังสือเล่มนี้และค่อยๆวางมันลง “พี่ชาย คุณสามารถสอนข้าได้ไหมหลังจากที่ท่านได้ไปเรียนรู้มาแล้ว?”

“อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่าเขาไม่มีอะไรที่จะทำและเขาก็จะไม่สนับสนุนเรารวมถึงตัวเขาเองอีกด้วย เขามีโอกาสที่จะสอนทุกคนไม่ใช่แค่สำหรับข้า แต่สำหรับทุกคนในหมู่บ้านที่ต้องการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กๆ เหล่านี้ทุกคนควรจะถูกบังคับให้ศึกษานอกจากนี้ยังมีนักล่าบางคนที่มีฝีมือเก่งๆนักล่าเหล่านี้ควรมีการศึกษาจดจำคำศัพท์ซึ่งอาจไปพัฒนาด้านจิตใจและปรับปรุงการล่าของตนเอง ความอารมณ์ร้อนในตัวพวกเขามักถูกพวกพ่อค้าหลอกลวงอย่างทุกวันนี้!”

“มันจะดีใช่มั้ย?” มีข้อสงสัยบางอย่างบนใบหน้าของ โจวหัวหลังจากที่เธอได้ยินเช่นนั้น

“จะมีคนอื่นๆมาเรียน?”

“ข้าไม่สนใจว่าพวกเขาจะมาหรือไม่ ในกรณีนี้พวกเขาจะตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่เด็กๆในหมู่บ้าน เข่น ชิบะน้อยไม่ควรมีชะตากรรมที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการไม่รู้หนังสือ”

ในขณะนั้นเขาถอนหายใจด้วยความขมขื่น

“ท่านพี่อายุแค่ 20 ปีอย่าทำตัวเหมือนคนชราแบบนี้เลย”

จากนั้นก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของ หวัง เทียนเหล่ยเป็นเสียงที่ขุ่นเคืองและไม่ดูไม่ค่อยสบายใจนัก

“สอนเขารึ?” ชิบะน้อยตะลึงกับเรื่องนี้ เขาเข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึงซึ่งทำให้ชิบะน้อยหลงใหลชอบเขามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการให้การศึกษาคนที่ไม่รู้หนังสือ? ถึงเวลาแล้วที่จะอ่านเขียนกันได้

เช่นเดียวกันกับ หมู่บ้านของเขายกเว้นชิบะน้อยและเฒ่าตาบอดที่รู้หนังสือ

 

นอกจากนั้นในยุคนี้ก็มีพวกชาวบ้านที่ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรมากนักหากเขาได้ศึกษาแล้ว สำหรับชาวบ้านเฉพาะผู้ชายที่อาศัยอยู่แถวในเขตเมืองเท่านั้นที่สามารถอ่านและเขียนได้ในขณะที่ชีวิตของผู้ชายในหมู่บ้านมีแต่การล่าสัตว์และทำไร่กันตลอดทั้งวันและเพื่อนสร้างคนรุ่นใหม่พร้อมกับภรรยาของเขาในเวลากลางคืน

สิ่งที่ หวัง เทียนเหล่ย วางแผนไว้มันเยอะมากมากกว่าชาวบ้านภูเขาธรรมดาที่ยากที่จะทำได้

“พี่ชาย ข้ายังอยากเรียนรู้ที่จะอ่านออกเขียนได้ ท่านพี่สามารถไปคุยกับพ่อแม่ข้าให้ข้าเข้าโรงเรียนได้หรือไม่?”

“แน่นอน มันเป็นประโยชน์สำหรับเจ้าที่จะเรียนรู้ พ่อแม่ของเจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้าจะถูกส่งไปตลาด เทียนหย่าง ในฐานะเด็กฝึกงานหรือถ้าเจ้าไปเรียนเจ้าจะเป็นดั่งแสงสว่างของคนในหมู่บ้าน!”

หวัง เทียนเหล่ยกล่าวด้วยเสียงหัวเราะและลูบหัวชิบะน้อยเบาๆ

ชิบะน้อยหันไปหันมาอยู่หลายรอบและนำมือใหญ่ๆของ หวังเทียนเหล่ยออก

“พี่ชาย ถ้าเฒ่าตาบอดสอนพี่แล้วต้องบอกข้าด้วยนะ!”

“อย่าเรียกเขาว่าเฒ่าตาบอดอีกเลยเขาจะเป็นอาจารย์ของเรานะ ดังนั้นเจ้าควรเคารพเขา!”

“นั้นสินะพี่ชาย!” ชิบะน้อยพยักหน้างกๆ พร้อมกับความเต็มใจที่จะยอมรับคำแนะนำของ หวังเทียนเหล่ย

“เจ้าน่ะหากกินข้าวเสร็จแล้วก็รีบกลับไปซะ ถ้ากลับดึกละก็แม่ของเจ้าจะตำหนิเจ้าเอาได้นะ!”

หลังจากชิบะน้อยได้ยินคำพูดของพี่เขยเขาก็รู้สึกผิดต่อแม่ตัวเองนิดๆและเขาก็พูดว่า

“โอ้ขอบคุณมากครับพี่ชายของข้า งั้นข้าขอลา”จากนั้นเขาก็วิ่งเหยาะๆออกจากบ้านของ หวังเทียนเหล่ย

 

นี่มันเจ๋งมาก ตอนนี้ภาพสุดท้ายได้ถูกยืนยันแล้วและข้ายังสามารถอ่านจุดที่มันคลุมเครือได้มากขึ้น ดีจริงๆที่มีพี่เขยมีพรสวรรค์ ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านนี้ และไม่ให้การช่วยเหลือต่างๆ ข้าคงไม่ได้โชคดีนัก!

 

ชิบะน้อย และ เจ้ากางเกงใน อาศัยอยู่ในห้องที่มีขนาดใหญ่มาก แม้ว่าตระกูลโจวจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็มีห้องนอนเพียงพอ พี่น้องได้อาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน แต่อยู่ห่างกันมาก และแต่ละคนจะมีเตียงดินเป็นของตัวเอง แม้ว่าดินจะเป็นเตียงที่ดูแปลกๆ แต่มันเป็นเตียงที่อบอุ่นเหลือเกิน

เตียงของชิบะน้อยอยู่ติดกับกำแพงด้านใต้ซึงมีรูที่มีขนาดพอให้แสงจันทร์ลอดสว่างผ่านหน้าต่าง

หลังจากที่เขาปีนขึ้นไปบนเตียงและคลุมด้วยผ้าห่มแล้วเขาก็ขยับไปรอบๆ บนที่นอน 2-3 รอบ

และได้หยิบกระดาษย่นๆออกมาหลายๆชิ้น จากนั้นก็มองแผ่นกระดาษเหล่านั้นด้วยความระมัดระวังไปตรงแสงจันทร์ที่ส่องผ่านรูเล็กๆ วาดโครงเบาๆลงในกระดาษเหล่านั้นด้วยดินสอถ่านโครงร่างถูกสร้างขึ้นด้วยเส้นสีดำๆเพียงไม่กี่เส้น จุดตัดของเส้นสีดำต่างๆและนำมาต่อกันทีละภาพๆและนี่เป็นภาพที่ชิบะน้อย จำจากหนังสือ วิทยายุทธ์อัคคี และวันนี้เขากำลังจะยืนยันเป็นครั้งสุดท้าย!

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด