ตอนที่แล้วบทที่ 142 กระบี่เจ็ดดอกเหมย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 144 แปลกประหลาด

บทที่ 143 ข่าวที่สะท้านสะเทือน  


 

เหวยเสิ้งเสื้อผ้าฉีกขาดเป็นริ้วๆ ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลกระบี่เล็กๆ นับไม่ถ้วน คนคล้ายหมดสิ้นเรี่ยวแรง หากมิใช่ว่ามันยังคงยืนหยัดอย่างดื้อดึง ผู้ตัดสินคงลงมายุติการต่อสู้ของพวกมันไปเสียนานแล้ว

กู่หรงผิงสีหน้าสงบราบเรียบ เค้าความดุร้ายมืดมัวหายไปโดยไม่มีร่องรอยตั้งแต่แรก

มันเมื่อสามารถรั้งฉายาสุดแกร่งแห่งทะเลสาบรุ่งอรุณไว้ได้ตลอดมา และไม่เคยพ่ายแพ้จนกระทั่งถึงตอนนี้ จะมองไม่เห็นสถานการณ์ของตัวเองได้อย่างไร เมื่อมันตระหนักถึงความผิดพลาดของมัน และเริ่มปรับปรุงแก้ไข เหวยเสิ้งก็ตกเป็นเบี้ยล่างทันที

กระบี่หัวใจทะเลสาบ หัวใจชัดเจนดุจผิวทะเลสาบ ไร้ระลอก ไร้ร่องรอยให้สืบสาว

เหวยเสิ้งพยายามสู้ต่อไป หากมิใช่ว่ามันเข้าใจเจตจำนงกระบี่อย่างลึกซึ้งกว่า สามารถหลบหลีกหรือปิดกั้นกระบี่ของกู่หรงผิงได้ในวินาทีสุดท้าย มันคงพ่ายแพ้ไปนานแล้ว แต่กระนั้นมันก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งการจู่โจมของกู่หรงผิงได้ กู่หรงผิงเปลี่ยนจากความร้อนรนก่อนหน้านี้ เป็นสงบเยือกเย็นกว่าเดิม ค่อยๆ กลายเป็นมีเปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ

เคล็ดวิชากระบี่แตกต่างกัน มรรคากระบี่ที่พวกมันก้าวเดินย่อมแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด บางเคล็ดวิขาดุเดือดรุนแรง สิ่งที่พวกมันต้องการ คือการโจมตีแต่ละครั้งดุจดั่งสายฟ้าฟาด ไม่มีออมรั้งยั้งมือ บางเคล็ดวิชากระบี่ก็เดินไปในแนวทางหยุ่นเยือกพัวพัน พวกมันไม่ได้เดินตามวิถีสังหารในกระบี่เดียว แต่จะค่อยๆ ช่วงชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับการสาวเส้นไหมออกจากรังไหม จนกระทั่งคู่ต่อสู้เหน็ดเหนื่อยสิ้นเรี่ยวแรง สูญเสียความคิดต่อสู้ในที่สุด

กู่หรงผิงเป็นเช่นนั้นเอง

 

“กู่หรงผิงไม่เลวเลยจริงๆ ด้วยวัยเพียงเท่านี้ เคล็ดกระบี่หัวใจทะเลสาบของมันก็มีความสำเร็จถึงขั้นนี้แล้ว! เป๋าหรงตอนที่อายุเท่ามัน ยังไม่มีความสำเร็จเท่านี้” เทียนซงจื่ออดทอดถอนชมเชยไม่ได้ นิ่งไปครู่หนึ่ง มันยังชื่นชมสืบต่อ “เหวยเสิ้งผู้นี้ยิ่งไม่เลว! อยู่ในด่านหนิงม่าย แต่ฝึกปรือถึงขั้นเจตจำนงกระบี่หัวใจแปลง ที่หาได้ยากยิ่งกว่า คือนิสัยใจคอเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่าตกเป็นรอง ยังไม่คิดย่อท้อแม้แต่น้อย เด็กผู้นี้จะเป็นยอดคนในอนาคต!”

“ใช่ อ๊า เกรงว่าต่อไปทุกสำนักในตงฝูเราจะต้องรับประทานฝุ่นด้านหลังสำนักกระบี่สุญตาแล้ว” ประมุขพรรคอัจฉริยะปราณเฝิงชิง กล่าวพลางจ้องมองเทียนซงจื่ออย่างมีความหมาย

ถ้อยคำเหล่านี้แทงใจดำสำนักเล็กๆ หลายสำนัก สีหน้าของหลายคนไม่สู้ดีนัก

เทียนซงจื่อทราบความนัยชัดเจน แต่ไม่เปิดเผย เพียงกล่าวอย่างคลุมเครือ “กฎที่แข็งแกร่งที่สุดของซิวเจ่อเรา พลังอำนาจย่อมเป็นตัวกำหนดผลประโยชน์ที่จะได้รับ หรือท่านประมุขเฝิงไม่เชื่อว่าสำนักกระบี่สุญตามีพลังอำนาจ?”

เฝิงชิงสำลัก แต่ยังปกป้องตัวเอง “ข้าเพียงเกรงว่าสำนักกระบี่สุญตาจะกระหายอยากมากจนเกินไป!”

เทียนซงจื่อในใจนึกรังเกียจ มันหันมองฝูงชนรอบข้าง กล่าวว่า “สำนักกระบี่สุญตาหลายปีมานี้อยู่อย่างสมถะตลอดมา หากพวกมันเป็นคนโลภจริงๆ อาศัยพลังของกระบี่มังกรน้ำแข็งผู้เดียว ในตงฝูแทบไม่มีผู้ใดหยุดยั้งมันได้ อย่าว่าแต่ยังมีเจ้าสำนักเผย และอีกสองคนที่เป็นสุดยอดฝีมือด่านจินตัน”

ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้หลายคนคลายใจลงในทันที เมื่อคิดทบทวนเรื่องนี้ พวกมันพบว่าวาจาของเทียนซงจื่อไม่แปลกปลอม จะอย่างไร หากสำนักกระบี่สุญตาเป็นบุคคลเช่นนั้นจริงๆ พวกมันยังจะมีปัญญาต่อต้านด้วยหรือ?

“สำนักกระบี่สุญตาเป็นส่วนหนึ่งของตงฝูเรา เมื่อสำนักกระบี่สุญตาเข้มแข็ง ตงฝูของเราก็เข้มแข็งไปด้วย และเมื่อตงฝูเข้มแข็ง ทุกท่านในที่นี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับประโยชน์ไปด้วย” เทียนซงจื่อกล่าวอย่างมีความหมาย

“ถูกต้อง! ข้าเห็นว่าเจ้าสำนักเผยกับพวกไม่ใช่คนที่ข่มเหงรังแกผู้อื่น หากตงฝูของเราสามารถเบียดเสียดขึ้นไปท่ามกลางเมืองใหญ่สิบสามแห่ง นั่นจะเป็นประโยชน์กับเราทุกคน!” บางคนเห็นพ้อง

ทุกผู้คนก็เห็นพ้องด้วย ในตงฝูไม่มีผู้ใดทรงอิทธิพลไปกว่าเทียนซงจื่อ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันวางตัวดีงาม นิสัยใจคอกว้างขวางเที่ยงธรรม ทุกผู้คนล้วนให้ความเชื่อถือมัน ประมุขพรรคอัจฉริยะปราณที่ด้านข้าง ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้นยาก

เทียนซงจื่อพลันผุดลุกขึ้นยืน ทุกคนทราบว่ามันมีวาจาจะกล่าว รอบข้างพลันเงียบลงอย่างกะทันหัน

“เชื่อว่าหลายท่านยังไม่ทราบ ว่าความตั้งใจแรกของข้าที่จัดงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่นี้ขึ้นมาคือสิ่งใด” เทียนซงจื่อเริ่มกล่าวอย่างแช่มช้า สุ้มเสียงของมันไม่ดัง แต่แฝงไว้ด้วยเค้าความเคร่งเครียดเป็นพิเศษ ทุกผู้คนอดเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจไม่ได้ ผู้คนที่เฉลียวฉลาดตระหนักในทันทีว่าเรื่องนี้ไม่เรียบง่ายดังที่เห็น

“บางทีบางท่านอาจล่วงรู้ บางท่านอาจยังไม่ทราบ” เทียนซงจื่อหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวสืบต่อ “มหานครนภาโลหิตกำลังง่อนแง่นคับขันแล้ว!”

เมื่อวาจานี้กล่าวออกมา แวบแรกเงียบสนิท แล้วตามติดมาด้วยความโกลาหล

“เป็นไปไม่ได้!”

“จะเป็นไปได้อย่างไร?”

“มหานครนภาโลหิตไม่ใช่ว่ามียอดฝีมือจำนวนมากนั่งประจำการอยู่หรอกหรือ?”

สุ้มเสียงตื่นตระหนกดังอึงอล สับสนวุ่นวายไร้ที่เปรียบ ถ้อยคำเบาๆ ของเทียนซงจื่อไม่ต่างอันใดกับฟ้าผ่ากลางแจ้ง กระทบกระเทือนเหล่าเจ้าสำนักทั้งหมดในทันที กระทั่งประมุขพรรคอัจฉริยะปราณยังอึ้งงัน ดวงตาค่อยๆ เผยร่องรอยแห่งความหวาดกลัว

มหานครนภาโลหิตเป็นแนวกันชนระหว่างซิวเจ่อกับเยาม๋อ สำหรับซิวเจ่อนับไม่ถ้วน มันเป็นสรวงสวรรค์แห่งการล่าอสูร ตราบเท่าที่ท่านแข็งแกร่งพอ ท่านสามารถแสวงหาทุกสิ่งที่ท่านต้องการ จิงสือ ยุทธภัณฑ์เวท วัตถุดิบหายาก...

ยอดฝีมือคนแล้วคนเล่าโด่งดังขึ้นจากที่นั่น มันเป็นสวนหลังบ้านของซิวเจ่อ เป็นคลังสินค้าของซิวเจ่อ

ดังนั้นเมื่อเทียนซงจื่อกล่าวว่ามหานครนภาโลหิตเริ่มเผยสัญญาณของความง่อนแง่นอันตราย คนยังไม่ทันตอบสนอง นึกไม่ออกว่าระหว่างชุมนุมวิจารณ์กระบี่กับมหานครนภาโลหิต ที่แท้มีความสัมพันธ์ใด ยังไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อความนัยเบื้องหลังข่าวนี้

จนกระทั่งผู้คนจดจำได้ว่ามหานครนภาโลหิตสร้างขึ้นมาได้อย่างไร และมีสถานะใด พวกมันก็พลันตื่นขึ้น

กระทั่งคนที่สงวนท่าทีที่สุด ยังอดหน้าซีดเผือดไม่ได้

“ข่าวนี้ถูกต้องหรือไม่?”

“ในท้องตลาดไม่มีข่าวอะไรเลย!”

ความหวาดกลัวแพร่กระจายไปในกลุ่มคน พวกมันเพียงย้อนถามตามสัญชาตญาณเท่านั้น ทุกผู้คนล้วนทราบดี หากเทียนซงจื่อป่าวประกาศกลางสาธารณชนเช่นนี้ ข่าวนี้ย่อมไม่มีทางแปลกปลอม เทียนซงจื่อแน่นอนว่ามีช่องทางรับข่าวสารมากกว่าพวกมัน

เทียนซงจื่อถอนใจเบาๆ “ทุกท่านโปรดตระเตรียมให้ดี ในครั้งนี้ ซิวเจ่อของตงฝูเรา หากเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับแรก ข้าจะเปิดเขตแดนลับให้แก่พวกมัน”

นี่เป็นอีกหนึ่งข่าวที่สะท้านสะเทือน!

เขตแดนลับ!

เขตแดนลับคล้ายอาณาจักรที่เล็กมาก ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขตแดนลับถือกำเนิดขึ้นได้อย่างไร แต่ในทุกอาณาจักรล้วนมีโลกอันลี้ลับประเภทนี้ซ่อนอยู่ แต่มีอยู่มากน้อยเท่าใด ไม่มีผู้ใดคาดคำนวณได้

เขตแดนลับแต่ละแห่งล้วนแตกต่างกัน แต่ก็มีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือในเขตแดนลับทุกแห่ง อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปราณธรรมชาติ หากสามารถฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอยู่ภายใน สามารถได้ผลเป็นสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียว ภายในเขตแดนลับ เนื่องจากปราณธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มักไม่มีผู้คนเข้าไปรบกวน ดังนั้นเต็มไปด้วยพืชหญ้าปราณหายากกับสัตว์ปราณหายากมากมาย บางเขตแดนลับถึงกับมีมรดกหรือที่พำนักที่ยอดคนสมัยโบราณทิ้งเอาไว้อีกด้วย

ไม่มีผู้ใดคาดคิด ว่าอารามตงฝูจะครอบครองเขตแดนลับแห่งหนึ่ง!

อย่างที่คาดไว้ ผู้ปกครองที่แท้จริงของตงฝู มรดกความมั่งคั่งที่มันครอบครอง อาจกล่าวได้ว่าน่าเหลือเชื่อเพียงอย่างเดียว

“เขตแดนลับแห่งนี้ถูกค้นพบเมื่อบรรพชนของข้าก่อตั้งตงฝู แต่น่าเสียดายที่ซิวเจ่อด่านจินตันขึ้นไป ไม่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขตแดนลับแห่งนี้ยังไม่เคยเปิดขึ้นเลยสักครั้ง คราวนี้ภัยพิบัติกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ ศิษย์ของทุกสำนัก ขอเพียงเข้าสู่หนึ่งร้อยคนแรก ก็สามารถเข้าสู่เขตแดนลับนี้ได้ แต่สิ่งที่พวกมันจะได้รับ ก็ขึ้นอยู่กับโชควาสนาของพวกมันแล้ว” เทียนซงจื่อกล่าวยืดยาว

ในที่สุดใบหน้าหวาดผวาของบรรดาเจ้าสำนักใหญ่ ค่อยปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา

หากให้สิทธิ์เพียงแค่สิบลำดับแรก คนของตงฝูเกรงว่ามีไม่มากนักที่ติดอันดับ แต่หากเป็นหนึ่งร้อยคนแรก เหล่าศิษย์เอกของสำนักส่วนใหญ่ในตงฝู ย่อมรวมอยู่ในจำนวนนั้นแทบทั้งหมด

“ความพยายามของผู้อาวุโส พวกเรารู้สึกอับอายจริงๆ!” เจ้าสำนักผู้หนึ่งลุกขึ้น ประสานมือคำนับต่ำเกือบจรดพื้น ไปยังเทียนซงจื่อ

เจ้าสำนักอื่นๆ ก็รีบลุกตามออกมา และคำนับขอบคุณเทียนซงจื่ออย่างพร้อมเพรียง เพียงแค่เรื่องที่ยอมเปิดเขตแดนลับของตน และอนุญาตให้ศิษย์สำนักอื่นเข้าไปแสวงหาโชคลาภ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน จิตใจอันกว้างขวางของเทียนซงจื่อนี้สุดที่ผู้คนจะลอกเลียนแบบ ได้แต่นับถือเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง กระทั่งเฝิงชิงประมุขพรรคอัจฉริยะปราณยังประสานมือคำนับอย่างไม่ลังเล

เทียนซงจื่อใบหน้าหาได้ปรากฏเค้าปิติยินดีไม่ มันเพียงทอดถอนใจ “เปลวไฟแห่งการสืบทอด มีเพียงแค่เปลวไฟแห่งการสืบทอดนี้เท่านั้น ที่สามารถส่งต่อไปยังอนาคตได้!”

ทุกผู้คนหัวใจดิ่งวูบ ฟังจากวาจาของเทียนซงจื่อ พวกมันในที่สุดค่อยตระหนักว่าสถานการณ์ดูจะเลวร้ายยิ่งกว่าที่พวกมันคาดคิด

 

จงหมิงเอี้ยนมองฝูงวงแหวนแสงที่แหวกว่ายอย่างมีชีวิตชีวา มันยังคงก้าวล่วงเข้าไปในขบวนค่ายกลโดยไม่รีรอลังเล

พริบตาที่มันก้าวผ่านเข้าไป ฉากทิวทัศน์รอบข้างก็พลันแปรเปลี่ยน

เห็นหมอกสีเขียวอมฟ้าไร้ที่สิ้นสุด ปกคลุมไปทั่วแผ่นดินรกร้างว่างเปล่า มันอยู่ท่ามกลางโลกทุรกันดารอันแปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะมองไปทางใดล้วนรกร้างว่างเปล่า บนท้องฟ้าเหนือศีรษะ วงแหวนแสงใหญ่น้อยหลากหลายขนาด จับกลุ่มเวียนว่ายไปมาดุจฝูงปลาอันร่าเริง

หากในยามรุ่งเช้ามีหมอกสีเขียวอมฟ้าจางๆ นี้เพิ่มเข้ามามา จะคล้ายเหมือนสถานการณ์ของมันในยามนี้มาก วงแหวนแสงเฉลียวฉลาดซุกซน กระทบใส่กันตลอดเวลา ก่อเกิดเสียงระฆังกังวานเหง่งหง่างเหง่งหง่าง ฟังดูเลือนรางห่างไกล คล้ายมีคล้ายไม่มี พวกมันร่ายรำอยู่เบื้องบนเหนือศีรษะ และที่สูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง จันทร์เสี้ยวแขวนค้างอยู่ที่นั่น ส่องแสงจางๆ อาบไล้ไปทั่วโลกรกร้างแห่งนี้ ส่งผลให้กระทั่งกลุ่มหมอกก็เปล่งประกายสลัวรางเป็นชั้นๆ

ขบวนค่ายกลเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ชนชั้นจู้จีผู้หนึ่งสามารถก่อตั้งได้หรือไร?

จงหมิงเอี้ยนประหลาดใจระคนทึ่ง ต้องลอบประเมินจั่วม่อใหม่อีกครั้ง

มันอาจมีความรู้ด้านค่ายกลน้อยมาก แต่ภายใต้การฝึกอบรมอย่างเอาใจใส่ของจั่วเหมยเทียน รากฐานของมันแข็งแกร่งมั่นคงยิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่อดีตศิษย์ฝ่ายนอกซึ่งเติบโตตามมีตามเกิดอย่างจั่วม่อจะเปรียบเทียบได้ แม้มันไม่ทราบชัดว่าเป็นค่ายกลใดที่จั่วม่อก่อตั้งขึ้นมา แต่สามารถเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในค่ายกลเบื้องหน้ามันได้อย่างชัดเจน

จงหมิงเอี้ยนตัดสินใจละทิ้งการดูถูกเหยียดหยามที่เคยมีอยู่ในใจ จั่วม่อผู้นี้สามารถเรียกว่าเป็นอัจฉริยะค่ายกลได้อย่างเต็มภาคภูมิ คู่ควรเป็นคู่มือของมันแล้ว

จงหมิงเอี้ยนก้าวเดินอย่างเฉื่อยชา สีหน้าเผยความมั่นใจในตนเองอย่างเต็มที่ อีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะค่ายกลแล้วเป็นไร? ในใจมันหาได้ครั่นคร้ามไม่ ตรงกันข้าม มันผู้ซึ่งทีแรกคิดว่าได้เลือกคู่ต่อสู้อันไร้รสชาติ เวลานี้ค่อยเริ่มบังเกิดความคาดหวัง

ความกระหายในการต่อสู้จงหมิงเอี้ยนพุ่งทะยานขึ้นในพริบตา!

มันสะบัดข้อมือเบาๆ กิ่งเหมยในมือกรีดปาด ตวัดวาดวงกลมกลางอากาศวงหนึ่ง

ดอกเหมยที่เบ่งบานอยู่บนกิ่งพลันสั่นไหว หลุดร่วงลงมาจากกิ่งก้านดอกหนึ่ง ล่องลอยขึ้นสู่ท้องนภา

ตัดเหมยหนึ่งดอก!

ดอกเหมยแตกกระจายกลางอากาศโดยไร้เสียง เปลี่ยนเป็นกลุ่มแสงสีชมพูลูกหนึ่ง กลุ่มแสงคล้ายถูกดึงด้วยมือล่องหนที่สองฟากข้างพร้อมกัน กลายเป็นยืดยาวออกและเรียวบางลงอย่างรวดเร็ว เจตจำนงกระบี่เบาบางก่อตัวเป็นรูปวงกลม มีกลุ่มแสงสีชมพูเป็นศูนย์กลาง ทันใดนั้นก็ระเบิดจู่โจมออกไปทุกทิศทุกทาง

ปราณกระบี่สีชมพูแคบยาว ปราศจากความอบอุ่นอ่อนโยนโดยสิ้นเชิง ตรงกันข้าม เมื่อมันแปรสภาพเป็นปราณกระบี่ที่แท้จริง ด้วยเจตจำนงกระบี่ที่แฝงอยู่ภายใน ความแหลมคมอันตรายก็ไต่ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด!

จงหมิงเอี้ยนดวงตาหรี่แคบลง สีหน้าท่าทีของมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับปราณกระบี่สีชมพู แหลมคมอันตรายสุดขั้ว!

ปราณกระบี่สาดพุ่งไปทั่ว วงแหวนแสงที่เริงรำในอากาศ คล้ายฝูงปลาที่ตื่นตระหนก กระจัดกระจายออกไป

เสียงระฆังกระทบกันกระหึ่มระรัว ดุจเสียงฝนตกหนักอย่างฉับพลัน!

“ไป!” จงหมิงเอี้ยนตวาด กิ่งเหมยในมือมันตวัดจี้ชี้นำ

เหล่าปราณกระบี่สีชมพูแคบยาวพลันสาดแสงเจิดจรัส กรีดวาดเป็นลำแสงสีชมพูสว่าง แต่ละเล่มพุ่งจู่โจมใส่วงแหวนแสงที่อยู่ใกล้ๆ

ปราณกระบี่เหล่านี้คมกล้าถึงที่สุด วงแหวนแสงประหนึ่งฟองอากาศ เพียงสัมผัสถูก ก็ระเบิดเบาๆ

เพียงพริบตาเดียว เศษเสี้ยวแสงสว่างก็พร่างพรมลงมาดุจเกล็ดหิมะโปรยปราย

ท่ามกลางแสงจันทร์สว่างไสว ภายในสายหมอกเขียวอมฟ้า จุดแสงกระจัดกระจายที่ร่วงลงมา กลบกลืนเจตนาสังหารที่แฝงอยู่ในเจตจำนงกระบี่ และเพิ่มเค้าความเกรี้ยวกราดชนิดหนึ่ง

จั่วม่อสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ

จงหมิงเอี้ยนผู้นี้ พลังฝีมือสูงส่งเป็นคนละชั้นกับเฉาอันที่มันเคยประมือมาก่อน เพียงหนึ่งกระบวนท่าก็ร้ายกาจพอจะทำให้หัวใจน้อยๆ ของมันเต้นกระหน่ำระรัวอย่างหวาดผวา

หากก่อนหน้านี้ มันยังมีความคิดจะหาโอกาสชิงจู่โจมอยู่บ้าง กระบี่นี้ของจงหมิงเอี้ยน ก็ดับฝันของมันในทันที ทำให้มันเข้าใจว่าความคิดของมันเหลวไหลไร้สาระถึงเพียงไหน

ในจังหวะนี้มีเพียงหนทางเดียวสำหรับมัน นั่นคือการป้องกัน!

นี่เป็นสิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้ หากจงหมิงเอี้ยนเสาะพบตำแหน่งของมัน จั่วม่อแน่ใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าอาศัยเจตจำนงกระบี่ครึ่งๆ กลางๆ ของมัน เพียงไม่เกินสามกระบวนท่า มันจะพ่ายแพ้อย่างหมดรูป

หลังจากตัดสินใจแล้ว ความคิดนอกลู่นอกทางเสี้ยวสุดท้ายในใจจั่วม่อก็ถูกลบออกไป สองมือของมันยิ่งเร่งเร็วขึ้นกว่าเดิม

เร็วขึ้น!

เร็วขึ้นอีก!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด