ตอนที่แล้วบทที่ 138 ความทรมานใจกับความปลาบปลื้มยินดี  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 140 หว่อหลี  

บทที่ 139 รูปแบบค่ายกลเต่าอมตะ


 

การตอบโต้อย่างดุดันของซู่ทำให้กุ่ยฟงตื่นตระหนก!

ทันทีที่ถ้อยอาคมสั้นๆ สามคำพ่นออกมาจากหลังผ้าคลุมหน้าสีดำ กระบี่รัศมีดำที่ลอยขวางอยู่ตรงหน้าซู่ก็ส่องแสงออกมาอย่างเฉียบพลัน พื้นที่รอบๆ บิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกมือล่องหนกระชากดึงมิติพื้นที่ เห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีลม แต่กุ่ยฟงอดรู้สึกว่าพื้นที่กำลังล่มสลายไม่ได้ กระบี่กระดูกขาวที่พลาดเป้ากลายเป็นสั่นระริกกลางอากาศ ไฟผีสองจุดในเบ้าตาหัวกะโหลกไหววูบดุจเปลวเทียนต้องลม ประหนึ่งว่าพร้อมจะดับลงได้ทุกขณะ

กุ่ยฟงใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด!

ปราณธรรมชาติรอบกายซู่แปรปรวนสุดคาดคิด กระบี่กระดูกขาวไม่ต่างอันใดกับเรือลำน้อยกลางพายุโหม พร้อมจะพลิกคว่ำแหลกสลายลงได้ทุกเมื่อ ชั่วขณะจิตนี้เอง มันแทบจะสูญเสียความเชื่อมโยงกับกระบี่กระดูกขาว!

นี่มันเคล็ดกระบี่ผีสางอันใด?

กุ่ยฟงแตกตื่นลนลาน ตัดสินใจหลบออกไปเสียก่อนค่อยว่ากัน

ซู่ตระหนักถึงความตั้งใจของกุ่ยฟงในทันที นางแค่นเสียงอย่างเย็นชา มือขวาพลันปล่อยด้ามกระบี่รัศมีดำ

กระบี่รัศมีดำไม่ได้ตกสู่พื้น แต่ลอยขวางอยู่กลางอากาศตรงหน้านาง ฉับพลันนั้นกระบี่ก็หมุนคว้างอย่างเร่งร้อน พร้อมกันนั้นเสียงกระหึ่มชัดเจนดุจระฆังกังวานก็ดังขึ้น บางครั้งอยู่ใกล้ แต่บางคราก็คล้ายดังมาจากที่ไกลๆ

ภายใต้เสียงระฆัง พลังสนามแม่เหล็กแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายนับไม่ถ้วน ถักทอเป็นตาข่ายมหึมาปากหนึ่ง ไล่ติดตามล้อมกักกระบี่กระดูกขาวไว้ภายใน!

ข่ายฟ้าขั้วแม่เหล็ก!

เมื่อปราศจากกระบี่บิน เซียนกระบี่ก็ไม่ผิดอันใดกับพยัคฆ์ถูกถอดเขี้ยวเล็บ

กุ่ยฟงย่อมไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ดวงตาสาดแสงเย็นเจิดจ้า บิดกายวูบหนึ่ง จากนั้นหายวับไปจากตำแหน่งที่มันอยู่ ท่าร่างเงาผีหลบเร้น! แทบจะในเวลาเดียวกัน มันพลันปรากฏตัวขึ้นกลางตาข่ายสนามแม่เหล็ก!

เข้ามาในตาข่ายด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ? ซู่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง

ทันทีที่โถมเข้ามาในตาข่ายสนามแม่เหล็ก กุ่ยฟงก็คว้ากระบี่กระดูกขาวเป็นอันดับแรก

เมื่อมีกระบี่กระดูกขาวอยู่ในมือ กุ่ยฟงรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด มันในที่สุดก็เข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ของซู่อย่างชัดเจน!

ส่วนที่ร้ายกาจที่สุดของเคล็ดกระบี่สนามแม่เหล็ก คือสามารถรบกวนปราณธรรมชาติแห่งฟ้าดิน ส่งผลกระทบต่อการเชื่อมโยงระหว่างซิวเจ่อกับกระบี่บินของพวกมัน ทั้งยังอาจตัดการเชื่อมโยงนี้ได้ หากผู้ฝึกปรือสำเร็จถึงขั้นสูง พวกมันสามารถควบคุมพลังสนามแม่เหล็กในโลกได้อย่างง่ายดาย ดั่งใจปรารถนา อาจทำได้ถึงขั้นสร้างโลกเฉพาะของตนเองขึ้นมา ทรงพลังอำนาจสุดฟ้าสุดดินอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ซู่ยังห่างไกลจากระดับนั้นอยู่มาก

กุมด้ามกระบี่เหรียญทองแดงกระชับมั่น กุ่ยฟงสะบัดข้อมือ กระบี่กระดูกขาวเปล่งเสียงกรีดร้องประหนึ่งภูตผีทวงแค้น กลุ่มหมอกดำทรงกลมพวยพุ่งออกมาจากกระบี่บิน พอลอยออกมา ก็ระเบิดเปรี้ยงอย่างกะทันหัน เปลี่ยนเป็นกลุ่มควันเส้นบางๆ นับไม่ถ้วน กระจัดกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง

ภายในพริบตา ก่อตัวขึ้นจากหมอกควันดำ เป็นภูตผีตัวเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือนับร้อยนับพัน ปรากฏขึ้นรอบบริเวณ ภูตผีสีดำตัวเล็กๆ เหล่านี้มีใบหน้าดุจผีตายเพราะโรคเรื้อน น่าเกลียดน่ากลัวมาก พลังสภาวะของพวกมันน่าขนพองสยองเกล้า ส่วนท้องนูนป่อง แขนขาสั้นป้อม ดวงตาเป็นสีเขียวอันน่าขนลุก

ภูตผีน้อยฝูงใหญ่ลอยเบียดเสียดอยู่ข้างกายกุ่ยฟง มากมายเหลือคณานับ ผู้พบเห็นรู้สึกหนังศีรษะชาซ่าน ขวัญวิญญาณกระเจิดกระเจิง

ดวงตาของกุ่ยฟงเป็นสีดำมืดอันแปลกประหลาด ลึกล้ำจนไม่เห็นก้นบึ้ง ใบหน้าของมันที่ผอมซูบมืดหม่นอยู่แล้ว บัดนี้ไร้ชีวิตชีวาอย่างสิ้นเชิง เป็นสีเทาซีดดุจคนตาย

หลังผ้าคลุมหน้าสีดำ ใบหน้าของซู่ในที่สุดก็เปลี่ยนสี!

กุ่ยฟงตวาดก้อง กระบี่กระดูกขาวในมือชี้ไปยังซู่

ผีน้อยถามทาง!

เสียงกรีดแหลมดังระงม เหล่าภูตผีตัวเล็กๆ กู่ร้องเสียงแปลกพิกลอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าบิดเบี้ยวเกรี้ยวกราด พวกมันเปลี่ยนเป็นภาพพร่าเลือนสีดำนับไม่ถ้วน ถาโถมเข้าหาซู่ ภูตผีน้อยพวกนี้รวดเร็วยิ่ง ทันทีที่พวกมันขยับตัว ร่างก็พร่าเลือน ทันใดนั้นหายวับไปกลางอากาศ แล้วจู่ๆ ก็เจาะออกมาจากอากาศธาตุอันว่างเปล่า!

ท่าร่างเงาผีหลบเร้น! ที่แท้ฝูงภูตผีตัวเล็กๆ เหล่านี้ล้วนมีความสามารถของท่าร่างเงาผีหลบเร้น!

ซู่ไม่กล้าออมรั้งยั้งมืออีกต่อไป ฝ่ามือขวาฟาดใส่ด้ามกระบี่รัศมีดำที่กำลังหมุนอย่างรุนแรง

เบื้องหน้านาง กระบี่รัศมีดำยิ่งหมุนคว้างอย่างเร่งร้อนดุจกังหัน พลังสนามแม่เหล็กที่มองไม่เห็น ทันใดนั้นกวาดวูบ กระจายออกไปเป็นวงกลม

นิ้วขาวนวลเรียวบางจี้ใส่ใจกลางของวงล้อแสงสีดำอย่างแม่นยำ

โล่สนามแม่เหล็ก!

พลังสนามแม่เหล็กล่องหนที่แผ่ออกจากวงล้อแสงในทีแรก ฉับพลันนั้นก็เพิ่มความรุนแรงขึ้น จนถึงจุดที่กลายเป็นระลอกคล้ายคลื่นน้ำ แทบสามารถมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า ระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นนี้ ห่อหุ้มซู่ไว้ทั้งร่างอย่างรวดเร็ว

ฝูงภูตผีน้อยที่ดุร้ายเดือดดาล เมื่อเผชิญกับระลอกคลื่นล่องหน พลันถูกกระแทกลอยลิ่วกลับไปทันที แต่เหล่าผีตัวเล็กไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย พวกมันส่งเสียงกู่ประหลาดพิกล ถาโถมเข้าหาซู่อีกครั้ง!

ราวกับพายุสีดำที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ท่ามกลางเสียงหอนโหยไม่มีที่สิ้นสุด เหล่าผีร้ายตัวจิ๋วคล้ายไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย พุ่งเข้าหาซู่ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่คิดหวนคืน ระลอกคลื่นล่องหนดุจพื้นผิวทะเลสาบ ที่ตกอยู่ท่ามกลางการโหมโจมตีอันน่ากลัวของลมพายุ กระเพื่อมอย่างเร่งร้อน เกิดระลอกไม่รู้จบ แต่ไม่ว่าผีร้ายตัวเล็กเหล่านี้จะพุ่งชนกำแพงระลอกอย่างดุเดือดปานใด ระลอกล่องหนก็ยังคงปกป้องซู่ไว้ภายในอย่างแน่นหนา

การต่อสู้กลายเป็นคู่คี่ก้ำกึ่งไปในทันที ยามกะทันหัน ยังไม่มีผู้ใดสามารถช่วงชิงเป็นฝ่ายเหนือกว่าคู่ต่อสู้ได้

ดวงตาสีดำน่าขนลุกของกุ่ยฟง จ้องมองซู่ที่หลบอยู่หลังโล่สนามแม่เหล็กอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จากนั้นหายวับไปจากตำแหน่งที่มันยืน ฝูงภูตผีน้อยนับร้อยนับพัน ก็อันตรธานไปจนหมดสิ้นพร้อมกับมัน

พายุสีดำโหมพัดอย่างฉับพลัน ยามจากไปยังเร่งร้อนยิ่งกว่า!

ซู่สูดหายใจเฮือก แต่ยังไม่กล้าปล่อยนิ้วออกจากวงล้อแสง จวบจนมั่นใจว่ากุ่ยฟงไม่ได้แอบซุ่มอยู่ด้านข้าง ค่อยดึงนิ้วกลับ โล่สนามแม่เหล็กคลายออก ในเวลานี้นางค่อยค้นพบว่าแผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น โดยที่นางไม่ทันได้รู้สึกตัว

ซู่ผู้ซึ่งมีความมั่นใจมากว่านางสามารถหอบหิ้วจั่วม่อเข้าไปยังสิบลำดับแรก ทันใดนั้นคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน ตระหนักว่านางดูถูกเหล่าวีรบุรุษของโลกมากเกินไป!

นางสงบใจ รีบปรับพลังปราณอันสับสนวุ่นวาย ตั้งใจมั่นว่าจะต้องตามหาจั่วม่อให้พบโดยเร็วที่สุด

ยิ่งนางพบจั่วม่อเร็วเท่าใด โอกาสที่พวกนางจะเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ก็ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น จนถึงบัดนี้ นางยังไม่ได้รับนกกระเรียนกระดาษจากจั่วม่อ ทำให้ในใจนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

เจ้าเด็กน้อยผีดิบใช่ประสบเคราะห์กรรมแล้วหรือไม่? มันเผชิญอันตรายรวดเร็วถึงเพียงนี้เลยหรือไร?

นางเร่งความเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว หากเวลานี้นางมีกระบี่บินที่เหมาะมือ...

 

จั่วม่อได้โยนเรื่องนกกระเรียนกระดาษทิ้งไปนานแล้ว จะกล่าวว่ามันหลงลืมไปแล้วโดยสิ้นเชิงก็ไม่ผิด สมาธิจิตใจทั้งหมดจดจ่ออยู่กับค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ของมัน

ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เป็นค่ายกลที่มันได้รับเป็นค่าจ้าง จากการแปรสภาพเม็ดบัวดำนิลกาฬในคราวนั้น และเป็นค่ายกลระดับสี่เพียงชุดเดียวที่มันครอบครอง ดังนั้นนับตั้งแต่ได้รับมา จั่วม่อก็ทุ่มเทเวลาศึกษาค้นคว้าค่ายกลนี้ตลอดมา จนกระทั่งมาถึงข้อสรุปที่ลึกซึ้งมาก ค่ายกลระดับสี่ขึ้นไป ไม่มีที่ใดธรรมดาสามัญ

ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ดูไม่มีอะไรซับซ้อน เป็นชุดของค่ายกลที่ประกอบด้วยค่ายกลแม่กับค่ายกลลูก ค่ายกลลูกหรือค่ายกลย่อย แต่ละค่ายระดับไม่สูงนัก ส่วนใหญ่เป็นระดับสอง ค่ายกลที่มีบทบาทสำคัญในหมู่ค่ายกลทั้งหมดเป็นค่ายกลระดับสาม แต่ยิ่งศึกษาลึกลงไปเท่าใด จั่วม่อก็ยิ่งรู้สึกว่าค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์นี้ไม่ธรรมดามากขึ้นเท่านั้น

ค่ายกลย่อยแต่ละค่ายก่อตั้งไม่ยากนัก มันสามารถทำให้เสร็จสมบูรณ์ได้อย่างง่ายดาย แต่การนำค่ายกลย่อยทั้งหมดมารวมกัน ระดับความยากลำบากจะเพิ่มสูงขึ้นมาก

ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ขนาดย่อมที่สุด ประกอบด้วยค่ายกลย่อยสิบแปดค่าย ยิ่งมีจำนวนค่ายกลย่อยมากเท่าใด พลังของค่ายกลชุดนี้ก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นเท่านั้น ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์สามสิบหกค่ายกลย่อย ทรงพลานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาล หากจั่วม่อติดอยู่ในค่ายกล มันก็ไม่มีปัญญาหลุดรอดออกมาได้

เพื่อศึกครานี้ จั่วม่อตั้งใจจะสร้างค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อย

สามสิบหกค่ายกลย่อยกับเจ็ดสิบสองค่ายกลย่อย จำนวนค่ายกลย่อยเติบโตเป็นสองเท่า ความยากลำบากก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่พลานุภาพมากล้นทวีคูณเหนือกว่าสองเท่า

กองภูเขาวัตถุดิบเล็กๆ นี้ส่วนใหญ่ตระเตรียมไว้เพื่อสร้างค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ หากค่ายกลนี้ก่อตั้งสำเร็จ จั่วม่อคิดว่าต่อให้เป็นซิวเจ่อด่านหนิงม่าย หากถูกขังอยู่ในค่ายกล โอกาสที่จะหลุดออกมาได้มีไม่มากนัก มิหนำซ้ำค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์ลึกลับสุดหยั่งคาด คิดทำลายค่ายกลโดยใช้พลังเข้าข่มนั้นเป็นไปไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าใครบางคนจะค้นพบดวงตาค่ายกล

แต่ที่ตำแหน่งดวงตาของค่ายกล จั่วม่อก็ได้ตระเตรียม ’กระถางหลอมกลั่น’ ขนาดมโหฬารไว้รอท่าอยู่แล้ว!

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเวลาให้จินตนาการถึงศัตรูที่ถูกอบอยู่ในกระถางยักษ์ จั่วม่อจำเป็นต้องก่อตั้งค่ายกลให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด

คิดก่อตั้งเจ็ดสิบสองค่ายกลย่อย ต้องใช้เวลามหาศาล ดังนั้นในแผนการของจั่วม่อ ขั้นแรกต้องก่อตั้งค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์สิบแปดค่ายกลย่อยให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน อาศัยสิบแปดค่ายกลย่อยเป็นรากฐาน สำแดงพลังไว้ชั้นหนึ่งก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มอีกสิบแปดค่ายกลย่อย ก่อตั้งเป็นค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์สามสิบหกค่ายกลย่อย แล้วค่อยๆ เพิ่มค่ายกลย่อย ขยายออกไปทีละขั้นทีละตอน เช่นนี้จึงสามารถรับประกันได้ว่า ต่อให้ศัตรูบุกรุกเข้ามาอย่างกะทันหัน มันยังมีพลังพอจะรับมือ

สามารถคิดแผนการที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ออกมา ในใจมันภาคภูมิใจอย่างใหญ่หลวง

ในเมื่อพลังบำเพ็ญเพียรของมันไม่เพียงพอ เช่นนั้นเกอก็ไม่เห็นต้องแข่งพลังบำเพ็ญเพียรกับพวกเจ้า

มองไปยังค่ายกลชุดแรกที่มันก่อตั้งแล้วเสร็จ จั่วม่อในใจเต็มไปด้วยความสำเร็จ มีบ่อน้ำเป็นศูนย์กลาง ชุดค่ายกลที่ประกอบด้วยแผ่นป้ายหยก กระถางหลอมกลั่นโอสถทองแดง และเล็บเหล็ก ส่องประกายเจิดจ้าบาดตา ในตอนเริ่มต้นบ่อน้ำมีพื้นที่ครึ่งหมู่ แต่เวลานี้ขอบเขตของค่ายกลกินพื้นที่ไปถึงห้าหมู่แล้ว แรกเริ่มเดิมที ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับมันนัก แต่เมื่อค่ายกลขนาดพื้นที่ห้าหมู่นี้ก่อตั้งแล้วเสร็จ เห็นแสงประกายหลากหลายวิ่งตัดไขว้ไปมาละลานตา เมื่อเทียบกับพื้นที่เปล่งประกายระยิบระยับขนาดใหญ่โตนี้แล้ว ทหารยันต์ในเกราะทองที่อัญเชิญออกมา ก็ดูเล็กจ้อยจนน่าสังเวชอยู่บ้าง

 

แถบค่ายกลนี้สะดุดตาเกินไปบ้างจริงๆ ผู้คนที่ชมดูผ่านภาพมายาขนาดยักษ์ในตงฝู เพียงเหลือบตามองก็สามารถค้นพบได้ในทันที

ดังนั้นหลายคนมองมายังแถบค่ายกลอันสว่างไสวนี้โดยไม่รู้ตัว

สีหน้าของพวกมันคล้ายคลึงกันอย่างประหลาด ล้วนอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง เหม่อมองอย่างโง่งม

เผยเหยียนหรานกับพวกสีหน้าน่าเกลียดสุดทนดู ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรที่สูงส่งเกินไป ดังนั้นได้ยินเสียงสนทนารอบบริเวณอย่างชัดเจน

“ฟังว่าคนผู้นี้มาจากสำนักกระบี่สุญตา นับเป็นตัวประหลาดสุดขั้วอย่างแท้จริง!”

“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ใช่สำนักค่ายกลสุญตา?”

เผยเหยียนหรานหางคิ้วกระดิก อีกสามคนสีหน้าเขียวคล้ำ คนทั้งสี่ในใจบังเกิดแรงกระตุ้นอย่างแรงกล้า อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ... บุกเข้าไปในหอคลื่นสน สับจั่วม่อทิ้งในกระบี่เดียว! เพื่อขอขมาต่อเหล่าปรมาจารย์บรรพชน!

อีกด้านหนึ่ง กลับมีการสนทนาไปอีกทาง

“ข้าเข้าใจแล้ว!” ซิวเจ่อผู้หนึ่งร้องโพล่ง ทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน ใบหน้ามันเต็มไปด้วยความตระหนักรู้อย่างฉับพลัน ท่าทางตื่นเต้นดีใจมาก

ฟังประโยคนี้ สหายของมันรีบกล่าวเร่งรัด “เจ้าเข้าใจอันใด? ลองบอกมาฟังดู”

ซิวเจ่อผู้นั้นดวงตาเป็นประกาย “เป้าหมายที่แท้จริงของจั่วม่อ คือยึดครองหอคลื่นสนทั้งหมด! นี่เป็นกลยุทธ์ซ่อมเส้นทางหน้าผาอย่างเปิดเผย ลอบข้ามเฉินชังอย่างลับๆ!* มันต้องการค่อยๆ ยึดพื้นที่ในหอคลื่นสน ใช่แล้ว ในหนังสือบอกว่า นี่เรียกว่ากัดเซาะ...”

(*หมายถึงกลยุทธ์ที่แปด ลอบตีเฉินชัง ในสามสิบหกกลยุทธ์ พูดง่ายๆ ก็คือหลอกว่าทำอย่างหนึ่ง แต่แอบทำอีกอย่างหนึ่งนั่นแล)

ในเวลานี้ ไม่ใช่แค่เพียงเผยเหยียนหรานเหล่าผู้อาวุโส แม้กระทั่งศิษย์สำนักสุญตาทั้งหมด ยังอับอายจนปรารถนาจะหารอยแตกในพื้นดิน มุดแทรกลงไป หลบหน้าหลบตาผู้คน

“ศิษย์ไม่เอาไหน ทำให้บรรพชนต้องเสื่อมเสีย!” เผยเหยียนหรานน้ำตาไหลพราก ตีอกชกหัวไม่หยุด       ซินหยานเลื่อนมือไปแตะด้ามกระบี่บินโดยไม่รู้ตัว สุ้มเสียงเหมือนดังออกมาจากขุมนรก “ข้าจะบอกให้มันทราบ ว่ามันไม่สามารถไปที่สำนักค่ายกลสุญตาได้!”

หยานเล่อผู้มักจะแย้มยิ้ม ยังกัดฟันกรอด “ตั้งแต่เดือนถัดไป ข้าจะหยุดการเบิกจ่ายทั้งหมดของมัน มันจะไม่ได้รับจิงสือจากข้าแม้แต่ชิ้นเดียว!”

สือฟ่งหรงเวลานี้กลับสงบยิ่ง สีหน้าราบเรียบจนเกือบจะกลายเป็นอำมหิต “ไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยรักษามันอย่างดี รับรองว่ามันไม่ถึงตายแน่ๆ ท่านสามารถค่อยๆ เล่น ค่อยๆ สอนมันอย่างช้าๆ”

เหล่าศิษย์ที่ด้านข้างตัวสั่นระริก พากันถอยหลังกรูดโดยไม่รู้สึกตัว จิตใต้สำนึกสั่งการให้พวกมันอยู่ห่างจากผู้อาวุโสที่กำลังจะเสียสติเหล่านี้ให้มากที่สุด

 

จั่วม่อผู้ที่ไม่รู้สึกตัวเลยว่าได้ก่อให้เกิดภัยพิบัติกับตัวเองเสียแล้ว ในใจภาคภูมิใจยิ่ง มันเปลี่ยนเป็นมดงานผู้ขยันขันแข็งอีกครั้ง ยังคงขยับขยายการก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ของมันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

พื้นที่ห้าหมู่? นั่นเล็กเกินไปแล้ว!

เมื่อค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์เจ็ดสิบสองค่ายกลย่อยก่อตั้งแล้วเสร็จ จะกลายเป็นแถบค่ายกลขนาดยักษ์ ที่ครอบคลุมอาณาเขตมากกว่าสิบห้าหมู่!

จั่วม่อเรียกรูปแบบการต่อสู้ใหม่ของมันนี้ว่า รูปแบบค่ายกลเต่าอมตะ มีนามเต็มๆ คือ รูปแบบค่ายกลเต่าอมตะปกป้องเขตแดนสมบูรณ์แบบ

วันนี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ให้เป็นวันที่รูปแบบค่ายกลเต่าอมตะของมัน จะมีชื่อเสียงโด่งดังสะท้านฟ้า!

จั่วม่อฮึกเหิมเป็นที่สุด ในใจเต็มไปด้วยความมุ่งมาดปรารถนา!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด