ตอนที่แล้วบทที่ 137 คู่ต่อสู้ของแต่ละคน  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 139 รูปแบบค่ายกลเต่าอมตะ

บทที่ 138 ความทรมานใจกับความปลาบปลื้มยินดี  


 

หวีป๋ายไม่ได้พบกับจงหมิงเอี้ยน นั่นทำให้มันผิดหวังอยู่บ้าง ทันใดนั้นมันพลันสังเกตเห็น ไม่ไกลออกไปนัก ผู้พิทักษ์เกราะทองยืนตระหง่าน มันจำได้ว่านั่นคือยันต์ทหาร เรื่องราวที่จั่วม่อไปท้าทายพรรคอัจฉริยะปราณ แม้ว่าซิวเจ่อต่างถิ่นจะไม่ทราบ แต่ในตงฝูกลับแพร่สะพัดไปทั่ว ข้อเท็จจริงที่ว่าจั่วม่อริบยันต์ทหารเป็นสินสงครามชิ้นหนึ่ง ย่อมเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญ หวีป๋ายก็เคยได้ยินได้ฟังมา

มันนึกไม่ถึงว่าจั่วม่อจะอยู่ใกล้เคียงกับมันถึงเพียงนี้

หวีป๋ายสั่นศีรษะ มันไม่ค่อยสนใจจั่วม่อมากนัก แม้ว่าอีกฝ่ายสำแดงพรสวรรค์อันเด่นล้ำออกมา แต่การรังแกซิวเจ่อด่านจู้จีที่อ่อนแอกว่า หวีป๋ายผู้ทระนงดูหมิ่นการกระทำเช่นนี้นัก ซือฟู่ของมันยังมีสัมพันธ์อันดีกับสำนักกระบี่สุญตา มันไม่ยินดีทำลายความสัมพันธ์ฉันท์มิตรนี้

หวีป๋ายยังพิจารณาว่าหากมีโอกาส อาจจะต้องยื่นมือเข้าช่วยจั่วเสียด้วยซ้ำ

แต่อย่างรวดเร็ว หวีป๋ายไม่มีเวลาจะให้ความสนใจกับเรื่องนี้อีก เนื่องเพราะมันพบเห็นคู่มืออันยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง เป็นบุรุษที่ถือกระบี่ยักษ์ขนาดเท่าบานประตูผู้หนึ่ง เดินย่ำเท้าสะเทือนเลื่อนลั่นใกล้เข้ามาทีละก้าวๆ อีกฝ่ายก็สังเกตเห็นมันแล้วเช่นกัน หวีป๋ายสามารถรู้สึกได้ แต่ละก้าวๆ ที่ใกล้เข้ามา พลังสภาวะของคนผู้นั้นก็ไต่ระดับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว กลับอาศัยการย่างก้าว ผนึกพลังสภาวะสะกดข่มมันเอาไว้

หนานเหมินหยาง ซิวเจ่อรากหญ้าที่เปล่งประกายที่สุดในชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ บุรุษร่างใหญ่โตมโหฬารผู้มีพรสวรรค์เปี่ยมล้น เพียงฝึกปรือเคล็ดวัชระระดับสอง ใช้ประสานกับเพลงกระบี่ผ่าภูผาระดับสอง กลับสำแดงพลานุภาพน่าแตกตื่นสะท้านใจ และเนื่องเพราะมันไม่ได้สังกัดสำนัก ค่ายพรรค หรือชาติตระกูลใด จึงกลับกลายเป็นชิ้นหยกงามที่สำนักต่างๆ ล้วนแย่งชิงไปอย่างรวดเร็ว ผลประโยชน์ที่แต่ละสำนักทุ่มให้กับมันพุ่งสูงเทียมฟ้า เท่าที่หวีป๋ายทราบ กระทั่งกู่หรงผิงยังเป็นตัวแทนของสำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบเชื้อเชิญมันเข้าร่วมสำนัก นอกจากนั้นยังมีสำนักใหญ่เกือบทั้งหมดยื่นข้อเสนอให้แก่มัน

ปีนี้หนานเหมินหยางมีอายุเพียงยี่สิบสี่ปี ในภายภาคหน้า อนาคตก็ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว

หนานเหมินหยางผู้นี้เป็นซิวเจ่อที่สูงใหญ่ที่สุดในการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่ครั้งนี้ ด้วยความสูงเกือบหนึ่งจั้ง ทำให้มันดูไม่ผิดอันใดกับภูเขาเคลื่อนที่ลูกหนึ่ง กล้ามเนื้อทุกมัดบนร่างกายแข็งแกร่งทรงพลัง เส้นโค้งบนร่างคมชัดดุจสลักจากคมขวาน ตลอดทั้งกายเปล่งแสงสีทองจางๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเคล็ดวัชระ สภาวะของมันกดทับผู้อื่น จนแทบหายใจไม่ออก

ก้าวย่างของมันยาวไกล มั่นคง และหนักหน่วง หวีป๋ายอดไม่ได้ ให้รู้สึกว่าพื้นดินกำลังสะเทือนตามจังหวะก้าวเดินของอีกฝ่าย

 

จั่วม่อรู้สึกถึงแรงสั่นจากพื้นดิน เงยหน้าขึ้นมอง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากต้นไม้แออัดและใบไม้เขียวชอุ่มแน่นขนัด มันไม่อาจมองเห็นร่างของหนานเหมินหยางได้

มันพึมพำสองสามคำ แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

เล็บเหล็กยาวสามฉื่อทอแสงสีน้ำเงินเยือกเย็น รูปแบบค่ายกลที่มองแทบไม่เห็น สลักเต็มไปตลอดทั้งแท่งเหล็ก

จั่วม่อถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือ จับค้อนเหล็กยักษ์ยกสูงขึ้น โคจรวัชรสูตรน้อย โหมตอกเล็บเหล็กสามฉื่อจมลงไปในพื้นดิน รวมทั้งสิ้นเก้าเล็บเหล็กขนาดใหญ่ ล้วนถูกจั่วม่อปักลงในสถานที่เฉพาะเจาะจงเก้าแห่ง พวกมันเป็นจุดเริ่มต้นของค่ายกล หลังจากตอกเล็บเหล็กเสร็จสิ้น จั่วม่อกระทั่งเหงื่อยังไม่เช็ด ยืนอยู่ใจกลางค่ายกล สิบนิ้วผนึกมุทรา ปากก็พึมพำร่ายชุดถ้อยคำอาคมอย่างรวดเร็ว

แสงสีน้ำเงินเยือกเย็นเริ่มแผ่กว้างออกมาจากเล็บเหล็กทั้งเก้า ปกคลุมไปทั่ว เพียงชั่วกะพริบตาเดียว โดยมีจั่วม่อเป็นจุดศูนย์กลาง แสงสีน้ำเงินก็ย้อมพื้นที่วงกลมรัศมีสามสิบจั้งอย่างสมบูรณ์

จั่วม่อพลันตวาดกึกก้อง “ก่อตั้ง!”

แสงสีน้ำเงินซึ่งแผ่กระจายไปทั่วชะงักลงอย่างกะทันหัน สว่างวาบ แล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

จั่วม่อคลายพลังปราณในฝ่ามือ กระแทกนั่งลงบนพื้นพลางหอบหายใจ เด็กอันเชื่อฟัง! ค่ายกลเก้าโลหะปฐพีนี้อาจไม่ใช่ค่ายกลชั้นสูง แต่สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงพลังปราณมหาศาลจริงๆ ค่ายกลเก้าโลหะปฐพีเป็นค่ายกลระดับสอง มีเพียงความสามารถเดียว คือเปลี่ยนพื้นดินทั้งหมดในอาณาเขตค่ายกลให้แข็งแกร่งประดุจโลหะ ป้องกันศัตรูลอบโจมตีจากใต้พื้นดิน

หลังจากป้องกันใต้ดินแล้ว ขั้นต่อไปต้องแก้ไขปัญหาเรื่องการป้องกันทางอากาศ

คราวนี้จั่วม่อเลือกใช้ค่ายกลกักมังกร เมื่อชนชั้นหนิงม่ายถูกค่ายกลกักมังกรรั้งตัวเอาไว้ พวกมันมักไม่สามารถหลุดออกมาได้เร็วนัก สิ่งที่จั่วม่อต้องการคือช่วงเวลาเล็กน้อยเช่นนั้นเอง ด้วยความระมัดระวัง มันก่อตั้งค่ายกลกักมังกรหกค่าย ครอบคลุมเกือบทุกซอกทุกมุม

 

ในที่สุด สายตาของผู้คนเริ่มเบนออกจากเหวยเสิ้งกับกู่หรงผิง บางคนสังเกตเห็นการกระทำทุกอย่างของจั่วม่อ

“มันกำลังทำอะไร?” เอี้ยนหมิงจื่อถามหูซานอย่างมึนงง

หูซานก็ปากอ้าตาค้าง สั่นศีรษะอย่างทื่อๆ “ข้าจะไปทราบได้อย่างไร...”

“มัน...ไม่ใช่ว่ามันกำลังพยายามจะสร้างถ้ำเซียนขึ้นมาหรอกหรือ?” เถาซูเอ๋อร์เบิกตามองดุจพบเห็นผีสาง “นี่มัน...นี่...นี่...”

 

ในสถานที่ที่ผู้คนของสำนักกระบี่สุญตารวมตัวกัน ทุกผู้คนใบหน้ากลายเป็นแปลกพิกลยิ่ง

“ศิษย์น้องจั่วคิด...” หลี่อิงฟ่งหน้าแดงก่ำ ฝืนกล่าวออกมาว่า “คิดไม่เหมือนใครจริงๆ!”

เสี่ยวกั่วตากระจ่างดั่งดวงดาว ชื่นชมบูชาศิษย์พี่ของนางยิ่ง “ศิษย์พี่ร้ายกาจนัก! แม้แต่วิธีที่มีประสิทธิภาพเช่นนี้ก็สามารถคิดออกมาได้! น่ากลัวมาก!”

บรรดาศิษย์พี่ศิษย์พี่หญิง พอฟังวาจาเสี่ยวกั่ว ใบหน้าถึงกับแปลกพิกลกว่าเดิม

“น่าอับอายขายหน้ากระไรเช่นนี้!” หยานเล่อทอดถอน กุมขมับ ถึงกับไม่กล้ามองดูอีกต่อไป “พวกเราเป็นเซียนกระบี่นะ...”

สือฟ่งหรงใบหน้าเขียวคล้ำ “พอกลับไป เราต้องจัดการเจ้าเด็กเหลือขอนี้ให้สาสม! มันทำให้สำนักกระบี่สุญตาเราเสียหน้า จนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว!”

ซินหยานในดวงตาเต้นเร่าด้วยคมมีดนับไม่ถ้วน สุ้มเสียงของมันคล้ายดังออกมาจากส่วนลึกของธารน้ำแข็ง หนาวเย็นจนผู้คนสั่นสะท้าน “ข้าจะสอนมันเองว่าเซียนกระบี่คือสิ่งใด!”

เผยเหยียนหราน ผู้มีการบำเพ็ญจิตใจแข็งแกร่งที่สุด ยังรู้สึกใบหน้าร้อนฉ่าจนแทบไหม้ มันคล้ายได้ยินเสียงเสียงป้ายวิญญาณบรรพบุรุษในโถงสุญตาทั้งหมดเด้งขึ้น เหล่าปรมาจารย์บรรพชนพากันตบอก กระทืบเท้าก่นด่า

“น่าอับอาย อ๊า น่าอับอายขายหน้า...”

“เสียศักดิ์ศรี อ๊า เสียศักดิ์ศรีหมดแล้ว...”

“เจ้าศิษย์ไม่รักดี ข้า.. ข้าจะปีนออกจากโลงไปคิดบัญชีกับเจ้า...”

เผยเหยียนหรานสั่นระริกไปทั้งร่าง มองในแผ่นภาพมายา เห็นจั่วม่อกำลังก่อตั้งค่ายกลของมันอย่างมีความสุข โดยปราศจากทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย ลมหายใจคล้ายติดขัดอยู่ในลำคอเสียงดังคร่อกๆ ใบหน้าแดงก่ำดุจตับสุกร มือไม้สั่นเทาไปหมด

ในเวลานี้เอง ได้ยินเสียงไร้เดียงสาของเสี่ยวกั่วถามว่า

“ไฉนบอกว่าศิษย์พี่น่าอับอาย? ค่ายกลของศิษย์พี่ดูท่าร้ายกาจแทบตายแล้ว!”

เผยเหยียนหรานรู้สึกหน้ามืดวูบ แทบจะเป็นลมสิ้นสติด้วยความคั่งแค้น

อย่างน้อย...ยังมีเหวยเสิ้ง เผยเหยียนหรานได้แต่ปลอบประโลมใจตัวเองเช่นนี้

 

เหวยเสิ้งกับกู่หรงผิง การต่อสู้ไต่ระดับขึ้นมาถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว

ปลายยอดของยอดเขาสูงสุด ทะยานสูงเหนือยอดอื่นทั้งหมด บางครั้งคราวเมฆขาวลอยผ่านไปตามเทือกเขา

ไม่มีผู้ใดคาดคิด เหวยเสิ้งจะสำแดงพลังออกมาถึงขั้นนี้ กล่าวถึงระดับพลังบำเพ็ญเพียร เหวยเสิ้งไม่มีความหวังได้ชัย อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีด่านบำเพ็ญเพียรสูงส่งกว่าจะชนะเสมอไป แต่แม้ว่าเหวยเสิ้งจะปราชัยในท้ายที่สุด ก็ย่อมไม่มีผู้ใดสงสัยในความแข็งแกร่งของมันอีก และต่อให้กู่หรงผิงได้ชัย แต่ฉายานามยอดยุทธ์อายุเยาว์อันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรนภาจันทร์ ยังคงตกเป็นของเหวยเสิ้ง

กู่หรงผิงเองก็ทราบกระจ่างในเรื่องนี้ ดังนั้นสีหน้ามันดูน่าเกลียดยิ่ง น่าเกลียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าในหมู่ยอดยุทธ์อายุเยาว์ จะมีใครสักคนเหนือล้ำกว่ามัน บางทีอาจมี แต่ก็ไม่ควรจะอยู่ในอาณาจักรนภาจันทร์

เหวยเสิ้งเป็นตัวอะไร? สำนักกระบี่สุญตาอยู่ที่ใด? หากเป็นไม่กี่เดือนก่อน ผู้ใดจะทราบ?

คนที่ไม่เคยมีใครรู้จัก ทันใดนั้นช่วงชิงรัศมีอันโชติช่วงไปจากมัน ต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ ดวงตากู่หรงผิงทอประกายชิงชัง สภาวะกระบี่ของมันกลับกลายเป็นดุร้ายรุนแรงกว่าเดิม

ทว่าเหล่าผู้อาวุโสที่ชมดูล้วนสั่นศีรษะทอดถอนใจ เคล็ดกระบี่หัวใจทะเลสาบของกู่หรงผิง มุ่งเน้นหัวใจเช่นทะเลสาบ กระจ่างใสชัดเจน ปราศจากระลอก แต่ยามนี้สภาวะกระบี่ของกู่หรงผิงเต็มไปด้วยความดุร้ายรุนแรง แตกต่างจากความว่างเปล่าสง่างามก่อนหน้านี้ แม้ว่าพลังอำนาจดูเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้น อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงเริ่มสั่นคลอนแล้ว

เผชิญสภาวะกระบี่อันคมกล้าของกู่หรงผิง เหวยเสิ้งไม่เคยคิดล่าถอย ใบหน้าสี่เหลี่ยมกับคิ้วหยาบหนาของมัน ห่างไกลสุดกู่จากความหล่อเหล่าสง่างามของกู่หรงผิง ทว่าในเวลานี้ ใบหน้าสี่เหลี่ยมอันแน่วแน่มั่นคงของเหวยเสิ้ง กลับกอรปด้วยเสน่ห์พิสดารที่ดึงดูดใจชนิดหนึ่ง

มีเพียงยอดฝีมือด่านจินตันที่ดวงตาแหลมคมเท่านั้น จึงมีความรู้สึกเฉียบไวพอที่จะจับร่องรอยความสงสัย  ซึ่งกระพริบผ่านเป็นครั้งคราวในดวงตาของเหวยเสิ้ง นั่นย่อมเป็นความสับสนวุ่นวายและไม่มั่นคงของด่านเจตจำนงกระบี่หัวใจแปลง

ผู้อาวุโสหรือเจ้าสำนักบางคน ฉวยโอกาสสั่งสอนเหล่าศิษย์ที่ด้านข้าง ว่าเจตจำนงกระบี่หัวใจแปลงคือสิ่งใด

แรกเริ่มเดิมที เหวยเสิ้งอยู่ในสภาวะผันผวนปรวนแปร ไม่มีผู้ใดคาดหวังว่ามันสามารถเอาชัยเหนือกู่หรงผิง อย่างไรก็ตาม กู่หรงผิงเวลานี้สูญเสียสมดุลในจิตใจ เหวยเสิ้งก็ไม่เปิดโอกาสให้มันลงมืออย่างถนัดนัก สิ่งที่เหวยเสิ้งพึ่งพาในเวลานี้ คือเคล็ดกระบี่สุญตา!

เคล็ดกระบี่สุญตา เคล็ดวิชากระบี่ที่หายสาบสูญไปเนิ่นนานหลายร้อยหลายพันปี ในที่สุดเปล่งประกายเจิดจรัสอีกครั้งในมือเหวยเสิ้ง กระทั่งเผยเหยียนหรานกับพวกยังไม่อาจคลาดสายตาไปที่ใด เหล่ายอดฝีมือที่เฝ้าชมดูล้วนแตกตื่นสุดระงับ!

เคล็ดวิชากระบี่ระดับหก ต่อให้ทอดตามองตลอดทั้งอาณาจักรนภาจันทร์ ยังนับเป็นเคล็ดวิชากระบี่ดีที่สุดอย่างไม่มีข้อกังขา!

กู่หรงผิงรู้สึกอึดอัดขัดข้องเป็นอย่างยิ่ง

กระบวนท่ากระบี่ของเหวยเสิ้งทั้งมองไม่เห็น ทั้งไม่มีตัวตน มิหนำซ้ำยังไร้ร่องรอยให้สืบสาว แต่สิ่งที่ทำให้กู่หรงผิงแทบกระอักเลือดเป็นเจตจำนงกระบี่ของอีกฝ่าย! เห็นได้ชัดว่ามีเจตจำนงกระบี่คมกล้าและมีรูปร่างอยู่จริง แต่พอปัดป้อง กลับรู้สึกเหมือนฟาดใส่อากาศธาตุอันว่างเปล่า ราวกับเจตจำนงกระบี่นั้นเป็นภาพลวงตามากกว่าจะมีรูปร่างจับต้องได้ แต่หากมันละเว้นความสนใจเมื่อใด เกรงว่าบนร่างคงเต็มไปด้วยหลุมเลือดนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน

กู่หรงผิงไม่เคยต่อสู้อย่างคับข้องใจเช่นนี้มาก่อน

เจตจำนงกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามแปลกพิสดารเกินไป แทบจะหลุดออกจากหลักเหตุผลอย่างแท้จริง!

เคล็ดวิชาที่มันฝึกปรือคือเคล็ดกระบี่หัวใจทะเลสาบ เป็นเคล็ดวิชาลับของสำนักกระบี่หัวใจทะเลสาบ จัดอยู่ในระดับห้าชั้นสูง หรือว่าเคล็ดวิชากระบี่ของอีกฝ่ายยังเหนือล้ำกว่าเคล็ดกระบี่หัวใจทะเลสาบของมันอีก?

เป็นไปไม่ได้! สำนักเล็กๆ หลังเขาเช่นนี้ จะมีเคล็ดวิชาที่เหนือกว่าระดับห้าได้อย่างไร?

กู่หรงผิงขบกรามแน่น จ้องมองเหวยเสิ้งตาเขม็ง สภาวะกระบี่พลุ่งพล่านขึ้นมา

ในเมื่อไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ!

กู่หรงผิงเริ่มแก้ไขที่หัวใจของมันเอง

 

“เคล็ดกระบี่สุญตาของสำนักเรา ร้ายกาจสุดยอดอย่างที่คาดไว้จริงๆ!” แทนที่จะมองดูจั่วม่อให้ทรมานใจ หยานเล่อใบหน้าสว่างไสว ชมดูการต่อสู้ของเหวยเสิ้งด้วยดวงตาเป็นประกาย

ซินหยานไม่คิดกล่าววาจา ดวงตาของมันเบิกกว้าง จ้องมองเหวยเสิ้งตาไม่กระพริบ

เผยเหยียนหรานดวงตาเลอะเลือน เหม่อมองไปไกล รำพึงรำพันว่า “ซือฟู่ ศิษย์ผู้นี้ไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง...”

เคล็ดกระบี่สุญตาเป็นหนามยอกอกของสำนักกระบี่สุญตามาทุกยุคทุกสมัย เวลานี้เมื่อสามารถเปล่งประกายเรืองรองอีกครา มันไหนเลยจะไม่ตื่นเต้นได้ สี่ผู้อาวุโสแห่งสำนักสุญตา ล้วนพลังฝีมือสูงส่ง มีชื่อเสียงโด่งดังในการล่าอสูร แต่กลับยินยอมหมกตัวอย่างไร้ชื่ออยู่ในตงฝู ทั้งหมดล้วนเพียงเพื่อจรรโลงสำนักให้สืบทอดต่อไป เวลานี้เมื่อปรากฏศิษย์ที่มีอนาคตยาวไกลสุดหยั่งถึงเช่นเหวยเสิ้ง อีกทั้งเคล็ดกระบี่สุญตายังหวนคืนสู่โลกหล้า หัวใจที่เต้นกระหน่ำรัวเร็วกับความตื่นเต้นตื้นตันในอก แทบไม่สามารถบ่งบอกบรรยายได้

สถานการณ์เช่นนี้ ทุกผู้คนล้วนทราบดี สำนักกระบี่สุญตาจะทะยานขึ้นเป็นหนึ่งในสำนักชั้นนำของอาณาจักรนภาจันทร์!

เมื่อครอบครองเคล็ดวิชาดาบมหัศจรรย์ ทั้งยังมีศิษย์ยอดอัจฉริยะไร้ผู้ต้านเช่นเหวยเสิ้ง สำนักกระบี่สุญตานี้ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกแล้ว

บางคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อน เริ่มต้นขบคิด หลังจากเสร็จสิ้นการประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่นี้ จะเริ่มนำตัวเองเข้าไปผูกสัมพันธ์กับสำนักที่กำลังจะทะยานขึ้นนี้อย่างไรดี ส่วนอีกบางคน เช่นประมุขพรรคอัจฉริยะปราณ สีหน้าเขียวคล้ำย่ำแย่ หากสำนักกระบี่สุญตาในกาลก่อนเป็นพลังอำนาจที่ไม่อาจละเลยได้ สำนักกระบี่สุญตาในยามนี้ ย่อมจะทะยานขึ้นเป็นหนึ่งในลำดับต้นๆ ของอาณาจักรนภาจันทร์ พรรคอัจฉริยะปราณกระทั่งคุณสมบัติในการแข่งขันกับพวกมันยังไม่มีแล้ว

ในยามนี้ เหวยเสิ้งดุจดั่งดวงสุริยันที่กำลังแผดเผาอยู่กลางนภา ปลดปล่อยรัศมีร้อนแรงไร้คู่เปรียบออกมา คู่แข่งทั้งหมดกลับกลายเป็นดวงดาวแข่งแสงตะวัน มืดหม่นสลัวลงอย่างสมบูรณ์

 

จั่วม่อไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้เลย สมาธิจิตใจทั้งหมดทุ่มเทลงไปในค่ายกลตรงหน้ามัน

มันปาดเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เริ่มต้นก่อตั้งส่วนที่สำคัญที่สุดของค่ายกลชุดนี้

ค่ายกลวงแหวนฟ้าสำเนียงจันทร์!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด