ตอนที่แล้วTWO Chapter 223 กำลังเสริม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปTWO Chapter 225 ซุ่มโจมตี

TWO Chapter 224 พลิกสถานการณ์รอบๆ


TWO Chapter 224 พลิกสถานการณ์รอบๆ

เสียงร้องของม้าศึกที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายตกใจ มันทำให้การสู้รบถูกหยุดลงชั่วขณะ

“ธงของท่านลอร์ด นั่นคือธงของท่านลอร์ด ท่านลอร์ดนำทหารองครักษ์มาช่วยพวกเขาแล้ว” ทหารในกรมทหารที่ 1 รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ในทางตรงกันข้าม ขวัญกำลังใจของกองกำลังศัตรูกลายเป็นดิ่งเหว ซาโพจุ่นและคนอื่นๆพึมพำ “พวกเขามาที่นี่เร็วขนาดนี้ได้เช่นไรกัน? นี่มันเป็นไปไม่ได้!”

ทหารองครักษ์เดินทางจากเมืองซานไห่มายังค่ายทิศตะวันตกที่มีระยะทางถึง 60 กิโลเมตร ด้วยเวลาเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น

โอหยางโชวอยู่ที่ด้านหน้าของกองกำลัง หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์แล้ว เขาไม่ได้ลังเลหรือหยุดพักใดๆ เขานำเหล่าทหารองครักษ์พุ่งเข้าไปโจมตีทหารโล่กระบี่ของศัตรูในทันที

ซาโพจุ่นยังคงไม่ยอมแพ้ และได้พยายามเป็นครั้งสุดท้าย เขาสั่งให้ทหารโล่กระบี่เร่งบุกเข้าไปสังหารทหารราบเกราะหนักของศัตรู และยกโล่ของพวกเขาขึ้น เพื่อป้องกันการปะทะกับทหารม้า

ทหารในกองพันทหารองครักษ์เป็นทหารชั้นสูงของชั้นสูง พวกเขาทุกๆคนเป็นดั่งอาวุธที่แหลมคมที่สุด พวกเขาทั้งหมดยังสวมชุดเกราะหมิงกวงและขี่ม้าศึกฉิงฟู่ พวกเขาแต่ละคนมีทั้ง ทวน, กระบี่ถัง ธนูประกอบ และอุปกรณ์ชั้นยอดอื่นๆ ขั้นทหารโดยเฉลี่ยของพวกเขาคือขั้นที่ 8 และยังมีทหารขั้นที่ 10 อีกมากมาย

ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา ทหารธรรมดาจะใช้วิธีใดในการป้องกันการปะทะกับพวกเขาได้? ทหารโล่กระบี่เริ่มตั้งขบวนทัพ ซึ่งดูผิวเหมือนเหมือนยากที่จะทะลวงผ่านได้ แต่มันกลับกลายเป็นเหมือนกับกระดาษ เพียงทหารองครักษ์เข้าปะทะ พวกเขาก็ฉีกขบวนทัพนี้ออกเป็นชิ้นๆ ทวนบนหลังม้าที่สะท้อนแสง ภายใต้แรงส่ง มันสามารถเจาะผ่านชุดเกราะศัตรูของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย เลือดกระเซ็นเต็มไปในอากาศ ในขบวนทัพของทหารโล่กระบี่ ปรากฎเป็นทางยาวที่ถูกเติมเต็มด้วยศพจำนวนมากของพวกเขา

หลังจากการปะทะ ทหารองครักษ์ได้หันม้าของพวกเขากลับมา พร้อมชักกระบี่ถังออกมาช้าๆ พวกเขาเป็นทหารที่ผ่านการสู้รบมานับครั้งไม่ถ้วน และกำลังขี่ม้าที่ดีที่สุด ก่อนที่ศัตรูจะทันได้ตอบสนอง และยังไม่ทันที่พวกเขาจะโจมตีไปที่ขาของม้า กระบี่ของทหารองครักษ์ก็ได้ฟันลงที่หัวของพวกเขาแล้ว

มันเป็นกลยุทธ์ที่กรมทหารที่ 1 เคยใช้ประสบความสำเร็จในการจัดการทหารม้าเกราะเบา แต่ทหารราบเกราะเบาเหล่านี้กลับต้องการจะใช้วิธีเดียวกัน มันเหมือนเป็นการปาไข่ใส่หิน

การเสริมกำลังโดยกองพันทหารองครักษ์ ช่วยให้ขวัญกำลังใจของกรมทหารที่ 1 เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โอหยางโชวที่เป็นลอร์ดของพวกเขา ได้เข้ามาต่อสู้เคียงข้างพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่ต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมด แล้วพวกเขาจะตอบคำถามท่านลอร์ดของพวกเขาได้อย่างไร?

กองกำลังที่อยู่ตรงกลางอย่างกองพันที่ 1 และ 2 ที่ยังเหลืออยู่ ภายใต้การนำของนายพันซีฮูและซีเปา พวกเขามุ่งเน้นไปที่การสังหารทหารม้าที่ถูกขังอยู่

กองพันที่ 4 ถูกถอนออกมาจากแนวหน้า โดยคำสั่งของขุนพลซี แล้วพุ่งเข้าไปในกองกำลังที่อยู่ตรงกลาง เพื่อช่วยกองพันที่ 1 และ 2 สังหารทหารม้าของศัตรู

กองพันทหารองครักษ์เข้าทะลวงแนวป้องกันและเริ่มโจมตีทหารโล่กระบี่ พวกเขาทำเช่นเดียวกับการสู้รบกับพวกโจร ตัดแบ่งพวกเขาเป็นกลุ่มๆ แล้วสังหารพวกเขาอย่างง่ายดาย

ที่แนวหลังของศัตรู กองพันที่ 3 ได้สังหารทหารธนูของศัตรูไปเป็นจำนวนมาก ทหารโล่กระบี่ที่เข้ามาช่วยเหลือพวกเขามีน้อยเกินไป พวกเขาไม่สามารถตั้งขบวนเพื่อต่อสู้ด้วยขวัญกำลังใจที่ต่ำได้ พวกเขาทำได้เพียงวิ่งตามหลังทหารม้าไปเท่านั้น

กองกำลังพันธมิตรของซาโพจุ่นมีขนาดใหญ่ แต่มันก็ถูกตัดออกไปเป็นส่วนๆ ไม่สามารถรวมกองกำลังได้ แม้ว่าในตอนนี้ ซาโพจุ่นต้องการจะจัดกองกำลังใหม่ มันก็สายเกินไปแล้ว

ชัยชนะได้มายืนข้างกองกำลังเมืองซานไห่แล้ว

สงครามนี้เป็นการทดสอบความทะเยอทะยานของทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองพันทหารองครักษ์ที่สามารถเดินทางด้วยความเร็ว มาถึงที่นี่ และเข้าสู่สงครามได้ในทันที มันเป็นการทดสอบที่สำคัญต่อสมรรถภาพของพวกเขา

มีเพียงความเพียงเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้

……………………………………………………………………………

ณ ชายแดนฝั่งตะวันออกของเมืองซานไห่ ปรากฎกองกำลัง 2,000 นาย ที่ได้ข้ามชายแดนและมุ่งหน้าเข้าสู่เขตแดนของเมืองซานไห่ กองกำลังนี้ประกอบไปด้วย กองกำลังของเมืองดาบหัก, เมืองฉิวซุ่ย และเมืองกู่ซาน

หลังจากที่พวกเขาพิจารณาถึงผลประโยชน์ต่างๆแล้ว ผู้บัญชาการกองกำลังพันธมิตรฝั่งตะวันออก ปาเตา ไม่ได้เข้าโจมตีพร้อมกับกองกำลังพันธมิตรฝั่งตะวันตก เขาจะรอยืนยันว่า กองกำลังฝั่งตะวันตกเข้าสู้เขตแดนชั้นใจของเมืองซานให้ได้ก่อน จากมุมมองของเขา กองกำลังหลักของเมืองเมืองซานไห่จะยุ่งอยู่กับกองกำลังฝั่งตะวันตก และไม่ได้สนใจทางฝั่งตะวันออก

น่าเสียดายที่ปาเตาไม่ทราบว่า กรมทหารที่ 3 ได้ถูกก่อตั้งขึ้นแล้วเมื่อไม่นานมานี้  และพวกเขาก็กำลังยุ่งอยู่กับการปฏิบัติการกวาดล้างค่ายโจรที่ฝั่งตะวันออกของดินแดน หลังจากได้รับสัญญาณ เอ้อหลายก็ส่งหน่วยสอดแนมออกไปลาดตระเวณบริเวณชายแดนในทันที

ดังนั้น เมื่อกองกำลังฝั่งตะวันออกเข้ามาในดินแเน พวกเขาก็ถูกค้นพบและถูกรายงานให้เอ้อหลายทราบในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น

เมื่อได้ฟังรายงาน เอ้อหลายก็หัวเราะอย่างเย็นชา “มีกองกำลังเพียง 2,000 นาย แต่พวกเขากลับกล้าที่จะเดินเข้ามาในดินแดนของเมืองซานไห่หรือ พวกเขาไม่ได้มองข้า เอ้อหลาย อยู่ในสายตาเลยซินะ”

เขารวบรวมกองกำลังของเขา ไปรออยู่ในเส้นทางที่พวกเขาจะต้องผ่าน เขารู้ว่ากรมทหารที่ 3 เพิ่งจะก่อตั้ง และเต็มไปด้วยทหารใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองพันที่ 1 และ 2 ที่เป็นนักรบคนเถื่อนภูเขา ไม่เพียงแต่พวกเขาจะยังไม่ได้รับชุดเกราะปูเหริน แม้แต่การสู้รบที่รุนแรงซักครั้งพวกเขาก็ยังไม่เคยเจอ

ดังนั้น แม้ว่ากรมทหารที่ 3 จะมีกำลังทหารมากกว่า เอ้อหลายก็ไม่ได้โง่เง่าที่จะปะทะกับศัตรูตรงๆ ในขณะเดียวกัน เขาก็รายงานข่าวนี้กลับไปยังเมืองหลัก

ผู้ที่อยู่ในเมืองหลักก็คือ เจ้ากรมกิจการทหาร เก่อหงเหลียง หลังจากที่เขาได้รับข่าวจากค่ายทิศตะวันออก, สัญญาณจากค่ายทิศตะวันตก และยืนยันว่าทุ่งหญ้ายังคงเงียบสงบ เก่อหงเหลียงก็สั่งให้กองพันที่ 1 แห่งกรมทหารที่ 2 ไปช่วยเหลือค่ายทิศตะวันตก และกองพันที่ 2 แห่งกรมทหารที่ 2 ไปช่วยค่ายทิศตะวันออก ส่วนกองพันที่ 3, 4 และ 5 จะยังคงอยู่ที่ค่ายทิศเหนือ เพื่อมุ่งเน้นไปที่ทุ่งหญ้า

หลังจากกำลังเสริมจากกรมทหารที่ 2 มาถึง มันทำให้เอ้อหลายมีความมั่นใจมากขึ้น เขาพร้อมที่จะกลืนกินกองกำลังพันธมิตรฝั่งตะวันออกแล้ว

…………………………………………………………………………..

ภายใต้การนำของเอ้อหลาย กรมทหารที่ 3 ก็พร้อมที่จะซุ่มโจมตีกองกำลังพันธมิตรฝั่งตะวันออก ส่วนการสู้รบที่ค่ายทิศตะวันตก มันได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายที่รุนแรงที่สุดแล้ว

กลุ่มแรกที่บุกเข้าไปอย่างกองพันที่ 3 ของกรมทหารที่ 1 เหล่าทหารม้าใช้กระบี่ถังฟาดฟันศัตรู เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีของทหารเมืองซานไห่ พวกเขาบุกเข้าไปอาละวาดไปทั่วกลุ่มทหารธนูที่ยังเหลืออยู่ ในขณะนั้น ทหารธนูได้ถูกสังหารไปมากกว่าครึ่งแล้ว ทหารที่เหลืออยู่จึงสูญเสียความกล้าที่จะต่อต้านและเริ่มที่จะวิ่งหนี แม้แต่ทหารโล่กระบี่ที่เข้ามาสนับสนุนก็เริ่มสูญเสียขวัญกำลังใจทั้งหมดของพวกเขา และเริ่มที่จะวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง

นายพันแห่งกองพันที่ 3 หลี่หมิงเหลียง ไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาหนีไปง่ายๆ เขาและทหารม้าของเขาได้ติดตามพวกเขาไปอย่างใกล้ชิดเพื่อสังหาร และไม่ปล่อยให้มีใครหลบหนีไปได้

ทหารม้าทุกนายในกองทัพซานไห่ได้รับธนู ขณะที่พวกเขาขี่ม้า พวกเขาก็ใช้ธนูของพวกเขายิงไปที่ศัตรูที่กำลังหลบหนี

ลูกศรที่ถูกยิงออกไป ทำให้เกิดเสียงแหลมที่กลางอากาศ มันได้เจาะทะลวงชุดเกราะหนัง เข้าไปภายในร่างกายของศัตรู ตัดผ่านทั้งกระดูกและอวัยวะภายในของพวกเขา

ในเขตทุรกันดารที่กว้างใหญ่นี้ ไม่มีที่ให้ซ่อนตัว หญ้าที่สั้นไม่สามารถปิดกั้นทัศนวิสัยของทหารม้า ขณะที่พวกเขาไล่ล่าเหยื่อของพวกเขาดั่งสุนัขล่าเนื้อได้

ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการได้เห็นเพื่อนๆตายไปทีละคนทีละคน ลูกศรของพวกเขาเป็นดั่งเวทย์มนต์ของพ่อมด มันแม่นยำและไม่มีที่สิ้นสุด

ในที่สุดพวกที่หลบหนีก็ไม่หนีอีก หลังจากที่พวกเขาได้เห็นคนตายไปเป็นจำนวนมากแล้ว มันก็บีบบังคับให้พวกเขาหมดหวัง พวกเขาหยุดและยกมือขึ้นเพื่อยอมจำนน

การยอมจำนนกลายเป็นโรคระบาด หลังจากที่มันเริ่มขึ้น มันก็แพร่กระจายออกไปไม่หยุด

ต่อจากกองพันที่ 3 , กองพันที่ 1 และ 2 ก็กลับมาสู้สนามรบ พวกเขาเป็นดั่งไพ่ตายของเมืองซานไห่ พวกเขาเป็นคนเถื่อนภูเขาที่มาพร้อมกับชุดเกราะปูเหริน พวกเขาถือศักดิ์ศรีเหนือชีวิต และไม่ต้องการที่สูญเสียมัน

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ เนื่องจากถูกลอบโจมตี กองพันที่ 2 จึงเสียหายอย่างมาก ถ้าพวกเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองพันที่ 1 กองพันที่ 2 ก็อาจจะถูกทำลายไปแล้ว

หลังจากที่สูญเสียศักดิ์ศรีและถูกดูแคลน พวกเขาจะสามารถล้างมันออกด้วยเลือกสดๆของศัตรูเท่านั้น

ทหารของกองพันที่ 1 และ 2 สนิทกันดุจพี่น้อง พวกเขามีความเข้าใจซึ่งกันและกัน คนหนึ่งตัดขาของม้า และอีกคนสังหารศัตรูที่ตกลงมาจากหลังม้า

ตั้งแต่เริ่มต้น กองกำลังพันธมิตรไม่เคยเผชิญหน้ากับกระดูกที่ยากลำบากเช่นนี้มาก่อน

มันราวกับว่าพวกเขาติดอยู่ในถังเหล็กที่หล่นลงไปในน้ำ ไม่ว่าพวกเขาพยายามจะไปทางซ้ายหรือขวา สิ่งที่พวกเขาพบก็จะมีแต่ผนังโลหะเท่านั้น เมื่อถังเริ่มแกว่งไปมา พวกเขาก็ถูกทุบและบดอยู่ภายในนั้น

สิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือ มีกลุ่มของกระบี่และหอกที่แทงมาจากด้านหลังของพวกเขา ทหารที่ไร้ยางอายเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากม้าของพวกเขา พวกเขาไม่ใช่คน พวกเขาช่างไร้ความรู้สึกเสียจริง

พวกเขาไม่คิดเกี่ยวกับชัยชนะอีกต่อไป เมื่อตกอยู่ในกับดัก พวกเขาก็อยากจะหลบหนีจากฝันร้าย

ทหารม้าต้องการจะหลบหนี แต่เหล่าทหารราบเกราะหนักที่เป็นนักรบคนเถื่อนภูเขาไม่ต้องปล่อยศัตรูของพวกเขาไป ร่างของพวกเขาเต็มไปด้วยเลือดของศัตรู รอบๆเท้าของพวกเขา เกือบทั้งหมดเป็นศพของศัตรู นี่ยังไม่เพียงพอจะล้างความอัปยศของพวกเขา มันยังไม่เพียงพอที่จะนำศักดิ์ศรีของพวกเขากลับมา

เหล่านักรบคนเถื่อนภูเขาสวมชุดเกราะปูเหรินที่หนักถึง 30 กิโลกรัม พวกเขาใช้พลังของพวกขาไปมากแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะพัก พวกเขาเค้นพลังทั้งหมดออกมา และระเบิดพลังเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อต่อสู้กับศัตรู กระบี่ถังที่อยู่ในมือของพวกเขายังคมกริบ และโล่ที่พวกเขาถืออยู่ก็ยังคงไม่แตกหัก

“อ๊า!!!” เหล่านักรบคนเถื่อนภูเขาร้องออกมา นี้คือการประกาศความตายให้กับเหยื่อของพวกเขา ในสมัยที่พวกเขายังล่าสัตว์อยู่ในเผ่า วันนี้ การประกาศนั้น ถูกสร้างขึ้นเพื่อทหารม้าของศัตรู

เสียงตะโกนของพวกเขาดังไปทั่วเขตทุรกันดาร มันได้ปลุกหัวใจของทุกๆคน

แฟนเพจ : TWOแปลไทย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด