ตอนที่แล้วบทที่ 123 เปิดฉากการประลอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 125 ท่าไม้ตายสุดยอด

บทที่ 124 ร่างเงาซับซ้อนปะทะเพลิงเหลือคณา


ค่ายกลเส้นทางสับสนระดับสอง สำหรับชนชั้นหนิงม่ายเช่นเฉาอัน ไม่ได้มีอันตรายใดๆ

ฟุ่บ!

ประดุจฟองอากาศระเบิดเบาๆ แทบไม่ก่อให้เกิดระลอก แสงเพลิงเพียงวูบไหวเล็กน้อย พลังสภาวะของลูกไฟยักษ์ข้างกายเฉาอัน อาศัยค่ายกลเส้นทางสับสนไหนเลยจะทานทนไหว เพียงแวบเดียวก็ถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆ

อย่างไรก็ตาม ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง จั่วม่อที่อยู่ตรงหน้าเฉาอันก็เปลี่ยนจากหนึ่งคนกลายเป็นห้าคน

“ยันต์ผีซ้อนเงา!”

เอี้ยนหมิงจื่อกับพวกที่ชมดูจากระยะไกล พอเห็นก็อ้าปากค้าง สามคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“นี่ไม่ใช่รูปแบบโอสถยันต์เวทของศิษย์พี่หวังหรอกหรือ?”

“กระบวนท่าเปิดฉากอันน่าคลั่งใจตายนั่น!”

“หลักการของรูปแบบโอสถยันต์เวทชัดๆ!”

ยืนอยู่ข้างๆ พวกมันเป็นศิษย์พี่หวัง ในเวลานี้ศิษย์พี่หวังสะท้านขึ้นทั้งร่าง ปากอ้าตาค้าง ไม่ทราบจะกล่าวกระไรดี คราวก่อนมันถูกจั่วม่อโค่นลง รวมกับความจริงเรื่องการพนันอันร้อนแรงเป็นพิเศษในตงฝู จึงสนอกสนใจการประลองของเจ้าผีดิบจอมลอกคราบเป็นอย่างยิ่ง มาเพื่อชมดูโดยเฉพาะ ไม่เพียงแค่มัน แต่ศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณแทบทั้งหมดล้วนมากันพร้อมหน้า ไม่ว่าผู้ใดก็ปรารถนาจะชมดูเจ้าผีดิบจอมลอกคราบนี้ถูกทุบตีอย่างอนาถด้วยตาตนเอง

ปกติมีเพียงพรรคอัจฉริยะปราณวิ่งไปข่มเหงผู้คน ไหนเลยเคยถูกผู้คนมารังแกถึงหน้าประตูบ้านตัวเองเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังพ่ายแพ้ยับเยิน จั่วม่อนับเป็นคนแรก

นี่มันน่าอับอาย อ๊า อัปยศอดสูจริงๆ!

เหล่าศิษย์พรรคอัจฉริยะปราณขบกรามแน่น แทบไม่อาจทนรอขึ้นไปถลกหนังลอกคราบเจ้าผีดิบบัดซบตนนี้เสียเอง บัดนี้เห็นจั่วม่อใช้รูปแบบโอสถยันต์เวทของศิษย์พี่หวัง ฉับพลันนั้น หนี้เก่าแค้นใหม่ประดังขึ้นมาจนแทบระเบิด

ผู้คนทั้งหมดส่ายศีรษะคราหนึ่ง ยันต์ผีซ้อนเงาอาจมีประโยชน์ใช้สอยในการต่อสู้ระหว่างซิวเจ่อระดับต่ำ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่เหนือชั้นกว่าเช่นเฉาอัน กระบวนท่านี้หาได้มีผลอันใดไม่

หนึ่งร่างจริงสี่ร่างเงา ร่างเงาย่อมต้องพึ่งพาร่างจริงคอยควบคุม นี่คือเหตุผลที่ยันต์ผีซ้อนเงาใช้การไม่ค่อยได้ในการต่อสู้ระดับสูงขึ้นไป การควบคุมร่างเงาหมายถึงต้องแบ่งแยกสมาธิ ยิ่งร่างเงามากเท่าใดยิ่งควบคุมได้ยากเป็นทวีคูณ ดังนั้นร่างเงาเหล่านี้เพียงใช้ก่อกวน แต่ไม่มีกำลังอำนาจกระทำการใดๆ มากกว่านี้

ในลานประลอง จั่วม่อทั้งห้าดีดร่าง กระจายออกไปคนละทาง

“หืมม์!” ศิษย์พี่หวังดวงตาทอประกายวาบ

มันเป็นผู้สรรค์สร้างรูปแบบโอสถยันต์เวทขึ้นมากับมือ การเปิดฉากจู่โจมด้วยยันต์ผีซ้อนเงายังเป็นเหมือนป้ายยี่ห้อของมัน ย่อมไม่มีผู้ใดคุ้นเคยกับกระบวนท่านี้มากไปกว่าศิษย์พี่หวัง! แต่กระทั่งด้วยสายตาของมัน ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าในห้าจั่วม่อ คนไหนเป็นร่างจริง!

การเคลื่อนไหวของจั่วม่อทั้งห้าสอดคล้องเชื่อมโยงถึงที่สุด พวกมันดึงแผ่นจานค่ายกลออกจากถุงร้อยสมบัติที่เอวอย่างต่อเนื่องพร้อมเพรียง สะบัดมือซัดรัวๆ เข้าไปในลานประลองอย่างเกรี้ยวกราด

พริบตาดุจประกายไฟ แผ่นจานค่ายกลบินคว้างประดุจห่าพิรุณอันแน่นขนัด

นี่...วิธีนี้...เป็นไปได้...

ในเสี้ยววินาทีนั้น ศิษย์พี่หวังสีหน้าแข็งค้าง ปากค่อยๆ อ้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ แต่มันไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้

ไม่สามารถบอกได้...ยังไม่สามารถบอกได้...

จั่วม่อแต่ละร่างเผ่นโผนไปมาไม่ต่างอันใดกับร่างจริงที่มีเพียงหนึ่ง ไม่มีอาการแข็งสะดุด ไม่มีจุดใดที่ดูเหมือนมายา ศิษย์อื่นๆ อาจไม่เห็นความแตกต่าง แต่ศิษย์พี่หวังผู้คุ้นเคยกับยันต์ผีซ้อนเงาดุจชีวิตจิตใจ ไหนเลยจะไม่เข้าใจความยากลำบากของเรื่องนี้?

ร่างเงาลวงตาที่เกิดจากยันต์ผีซ้อนเงา จะไม่เคลื่อนไหวด้วยตัวมันเอง หากต้องการให้พวกมันทำอะไร ต้องควบคุมบงการด้วยจิตสำนึก ด้วยฝีมือของมันสามารถควบคุมร่างเงาได้เพียงร่างเดียว อีกสามร่างเงาที่เหลือได้แต่ปล่อยไปตามยถากรรม มิหนำซ้ำร่างเงาหนึ่งเดียวที่มันสามารถควบคุม เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสมจริงและละเอียดซับซ้อนถึงเพียงนี้

สามารถควบคุมสี่เงาร่างในเวลาเดียวกัน ทั้งยังสามารถต่อสู้และปรับใช้กลยุทธ์ได้อย่างสะดวกดาย นี่จะต้องมีจิตสำนึกอันน่าพรั่นพรึงถึงระดับใด?

โดยไม่รู้ตัว ศิษย์พี่หวังเริ่มเหงื่อไหลท่วมเต็มแผ่นหลัง ทันใดนั้นมันบังเกิดลางสังหรณ์อย่างรุนแรง การประลองครั้งนี้ จะไม่จบลงอย่างสงบและง่ายดายอย่างที่ใครๆ คิด!

ในอาณาจักรนภาจันทร์ที่อยู่ใต้อิทธิพลของเซียนกระบี่ ผู้ช่วยอย่างยันต์ผีซ้อนเงาเป็นสิ่งที่ผู้คนมักหัวร่อเยาะ แต่ศิษย์พี่หวังมีความรู้ความเข้าใจในยันต์ผีซ้อนเงาอย่างชัดแจ้ง หากผู้ใช้สามารถควบคุมทุกเงาร่างได้อย่างแม่นยำ ยันต์ผีซ้อนเงาอันไร้ประโยชน์นี้ จะกลายเป็นเต็มไปด้วยอันตราย!

ไม่ถูกต้อง ...เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ชวนพรั่นใจต่างหาก!

ร่างเงาลวงตาย่อมไม่อาจแยกแยะได้ด้วยตาเปล่า คู่ต่อสู้ได้แต่ต้องใช้จิตสำนึกที่ทรงพลังกว่าเพื่อตรวจสอบ แต่พลังจิตสำนึกของผู้ที่สามารถควบคุมสี่เงาร่างลวงตายังจะอ่อนแอกว่าพวกมันหรือ?

หากไม่สามารถพึ่งพาดวงตาแยกแยะร่างเงา ทั้งจิตสำนึกยังไม่แข็งแกร่งพอ เช่นนั้นก็เหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น...

การประลองนัดนี้ดึงดูดสายตาผู้คนนับไม่ถ้วน ในบรรดานี้รวบรวมเหล่ายอดฝีมือไม่น้อย พวกมันอาจไม่คุ้นเคยกับยันต์ผีซ้อนเงาเท่ากับศิษย์พี่หวัง แต่ประสบการณ์และความเข้าใจในการสู้รบยังช่วยให้พวกมันมองเห็นร่องรอยบางอย่าง การดูหมิ่นบนใบหน้าของผู้คนจำนวนมากถูกกวาดออกไป หลายคนเริ่มคิดว่าหากเป็นพวกมันต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่มีห้าคน ทั้งร่างจริงร่างเงา พวกมันจะรับมือด้วยวิธีใด?

บนก้อนเมฆมงคล เทียนซงจื่อเพ่งมองการลงมือของจั่วม่อ อดทอดถอนชมเชยไม่ได้ “จั่วม่อของสำนักท่านไม่เลวเลยจริงๆ หวีป๋ายเคยบอกข้าว่ามันบรรลุเจตจำนงกระบี่ในด่านเลี่ยนชี่ ตอนนั้นข้ายังไม่ค่อยเชื่อ แต่เมื่อมองในเวลานี้ ไม่เชื่อคงไม่ได้แล้ว ช่างมีพรสวรรค์น่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริง!”

บรรลุเจตจำนงกระบี่ในด่านเลี่ยนชี่? ทันทีที่ประโยคนี้กล่าวออกมา เหล่าเจ้าสำนักทั้งหมดบนเมฆมงคลล้วนเผยสีหน้าตะลึงงัน!

สวรรค์เอ็นดูสำนักกระบี่สุญตามากเกินไปแล้ว! มียอดอัจฉริยะที่พอเข้าสู่ด่านจู้จีก็ก่อเกิดนิมิตแห่งฟ้าดินผู้หนึ่ง ยังจะซุกซ่อนอัจฉริยะที่บรรลุเจตจำนงกระบี่ในด่านเลี่ยนชี่ไว้อีกผู้หนึ่ง! พวกมันอดนับถือระคนริษยาไม่ได้ แต่ละคนจมอยู่ในความคิดของตน ประมุขพรรคอัจฉริยะปราณสีหน้าแปลกพิกลยิ่ง

บรรลุเจตจำนงกระบี่ในด่านเลี่ยนชี่? อย่าว่าแต่เจ้าสำนักอื่นๆ เลย กระทั่งสือฟ่งหรง ซินหยานกับพวก ยังเหลียวมองหน้ากันอย่างมึนงง ในดวงตาของพวกมันมีทั้งตื่นตระหนกและไม่คาดคิด พวกมันพบว่าพวกมันไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

ประเสริฐ ประเสริฐมาก! เจ้าเด็กเหลือขอ! คอยดูว่าท่านย่าผู้นี้จะจัดการเจ้าอย่างไร! แสงไฟเต้นระริกในดวงตาของสือฟ่งหรง แทบถูกเผาไหม้ด้วยไฟโทสะ

เฉาอันย่อมไม่อาจแยกแยะจั่วม่อตัวจริงออกจากร่างเงาได้

ในเคล็ดวิชาของป้อมตระกูลเฉาที่มันฝึกปรือ จิตสำนึกเป็นด้านที่มีความสำคัญน้อยที่สุด

มองจั่วม่อทั้งห้าซัดแผ่นจานค่ายกลเกลื่อนกล่นลานประลอง แทนที่จะมีโทสะมันกลับเบิกบานใจ ยิ่งจั่วม่อแสดงฝีมือแข็งแกร่งมากเท่าใด หลังจากมันที่ได้ชัย มันก็จะยิ่งดูดีมากขึ้นเท่านั้น

อันที่จริง พลังฝีมือที่จั่วม่อสำแดงออกมาในยามนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของซิวเจ่อด่านจู้จีแล้ว

แต่น่าเสียดายสิ่งที่เจ้ากำลังเผชิญเป็นซิวเจ่อด่านหนิงม่าย ความห่างชั้นระหว่างเจ้ากับข้า กว้างใหญ่มากกว่าที่เจ้าคิด!

เฉาอันแสยะยิ้มอย่างลี้ลับ

ก็จริงที่มันไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างร่างจริงกับร่างเงาพวกนี้ได้ แต่มันจำเป็นต้องทราบว่าคนไหนเป็นตัวจริงด้วยหรือ?

ความพิโรธกับความอัปยศทั้งหมดที่สะสมอยู่ในใจ ประดุจลาวาร้อนระอุปะทุขึ้นจากใต้พิภพ ไหลพล่านเข้ามาในร่างกาย แผดเผาร่างมัน ความเจ็บปวดปกคลุมไปทั่วร่าง! ร่างกายของเฉาอันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอันพิสดาร คนคล้ายหุ่นกลโลหะหลอมเหลวที่เดือดพล่านผู้หนึ่ง ยอดวิชาเฉพาะของป้อมตระกูลเฉา ‘เคล็ดหัวใจเพลิงเหลือคณา’ พริบตานั้นก็ไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุด

มันต้องการใช้วิธีการที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถกังขา เอาชัยในการประลองรอบนี้ มันปรารถนาให้ทุกผู้คน จงหุบปากกันเสียให้หมด!

เฉาอันแยกขาออกเล็กน้อย ก้มหน้าลง ลูกไฟยักษ์ปะทุไหม้ที่ลอยอยู่ข้างกายพลันดีดพุ่งขึ้นฟ้า แรงลมร้อนเร่ากวาดกระโชกอย่างดุดัน

ผู้ชมทั้งหมดอดไม่ได้ต้องเงยหน้าตาม สายตาของพวกมันจับจ้องลูกไฟยักษ์ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกผู้คนล้วนตระหนักในบัดดล เฉาอันกำลังจะโจมตีเต็มกำลัง!

เหวยเสิ้งใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง มันสามารถสัมผัสถึงพลังอันน่าอัศจรรย์ที่มีอยู่ในลูกไฟ เสี่ยวกั่วกับหลี่อิงฟ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างใบหน้าซีดเผือด ก่อนหน้านี้พวกนางไม่ใช่ไม่ทราบถึงช่องว่างระหว่างคู่ประลองทั้งสอง แต่เห็นความมั่นใจที่จั่วม่อมักแสดงออกมา จึงหลงคิดไปว่าความต่างชั้นนี้ไม่ได้กว้างใหญ่เท่าที่พวกนางคาดไว้ แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ พวกนางค่อยพบว่าความต่างชั้นที่ว่านี้ ยังกว้างใหญ่ไพศาลกว่าที่พวกนางเคยคาดคิดเสียอีก

 

บนท้องฟ้า ห่างไกลออกไปเล็กน้อย บุรุรษสตรีคู่หนึ่งลอยตัวเงียบๆ กลางเวหา เฝ้าชมการต่อสู้

“ศิษย์น้องหญิงยังคงเชื่อมั่นในตัวจั่วม่อ?” กู่หรงผิงตามองดูการประลอง ปากเอ่ยถามอย่างแช่มช้า “ค้อนเพลิงเหลือคณาของป้อมตระกูลเฉา โดดเด่นด้านการโจมตี ส่วนการป้องกันอ่อนด้อยไปหน่อย แต่พลังอำนาจไม่เลว หากเฉาอันฝึกปรือสำเร็จ กระทั่งข้ายังตึงมืออยู่บ้าง”

ซู่ลอยตัวอยู่ข้างกายมัน ตอบแผ่วเบา “เราจะทราบเมื่อจบการประลอง”

กู่หรงผิงหัวร่อหึหึ “ดูเหมือนศิษย์น้องหญิงเชื่อมั่นในตัวมันมากจริงๆ อ้อ เช่นนั้นข้าก็สามารถคาดหวังได้”

ซู่ไม่ตอบคำ

เอี้ยนหมิงจื่อกับพวกยามนี้ประสาทเขม็งเกลียว หูซานถามศิษย์พี่หวังโดยตรง “ศิษย์พี่ สถานการณ์เป็นอย่างไรแล้ว?”

ยังไม่ทันจะกล่าวจบ เฉาอันตวาดดังสนั่น ปัง สองหมัดกระแทกใส่กันตรงกึ่งกลางทรวงอก

พริบตาที่มันกระแทกหมัด ลูกไฟบนฟากฟ้าพลันระเบิดเปรี้ยง แปรเปลี่ยนเป็นลูกไฟขนาดเท่ากำปั้นจำนวนเหลือคณานับ เปล่งเสียงคำรามกึกก้อง พุ่งดิ่งลงมาจากฟ้า!

เคล็ดหัวใจเพลิงเหลือคณา... ค้อนสวรรค์พิรุณเพลิง!

วู้ม วู้ม วู้ม!

จากไร้สรรพเสียง จากแผ่วเบาไปหาดังลั่น เสียงคำรามกวาดผ่านลานประลองดุจคลื่นยักษ์ถาโถม กระทั่งพื้นดินยังสั่นสะเทือนเบาๆ เหล่าซิวเจ่อซึ่งเคยมองเฉาอันประหนึ่งมองตัวตลก พลันต้องเปลี่ยนสีหน้าท่าทีอย่างกะทันหัน ค้อนเพลิงเหลือคณาแห่งป้อมตระกูลเฉา ร้ายกาจสมคำร่ำลืออย่างแท้จริง!

เหวยเสิ้งดวงตาสว่างวาว จ้องเขม็งไปยังลานประลอง สองมือเกร็งแน่นจนเส้นเลือดเขียวปูดโปนโดยไม่รู้สึกตัว

เหล่าเจ้าสำนักบนเมฆมงคลสูญเสียความสนใจในการสนทนา ทุกสายตาจับจ้องไปยังลานประลอง สือฟ่งหรงสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กระบวนท่านี้ จั่วม่อเป็นไปไม่ได้ที่จะต้านทาน! เผยเหยียนหรานดวงตาทอแววสำนึกเสียใจ เดิมทีตั้งใจให้จั่วม่อได้มีประสบการณ์บ้าง ไม่ได้คาดหวังว่าจะทำให้มันตกอยู่ในภาวะวิกฤติอันตรายถึงเพียงนี้ พวกมันเพียงคิดว่าจั่วม่อบรรลุเจตจำนงกระบี่ในด่านจู้จี ดังนั้นจึงไม่เคยห้ามไม่ให้มันสนใจในการทำสิ่งอื่น ดังเช่นการเพาะปลูกพืชปราณหรือหลอมกลั่นโอสถ

หากพวกมันทราบแต่แรก ว่าเจ้าเด็กเหลือขอนี้ที่แท้บรรลุเจตจำนงกระบี่ตั้งแต่ด่านเลี่ยนชี่...

หากต้นกล้าชั้นดีเช่นนี้ถูกทำลายลงในมือพวกมัน จะมีหน้าไปพบบรรพชนได้อย่างไร? เผยเหยียนหรานอดหน้าเผือดสีลงเล็กน้อยไม่ได้ ใบหน้าของเหล่าผู้อาวุโสสำนักก็บิดเบี้ยวน่าเกลียด ซินหยานดวงตาสาดประกายเย็นเยียบ มือขวาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อใด กุมกระบี่เล็กๆ แนบแน่น

มีเพียงประมุขพรรคอัจฉริยะปราณที่มีสีหน้าเบิกบานใจ

ในขณะที่ผู้คนถูกค้อนสวรรค์พิรุณเพลิงของเฉาอันขู่ขวัญ จนสูญเสียความสามารถในการสนทนา ศิษย์พี่หวังทันใดนั้นก็เงยหน้าขวับ ดวงตาโชนแสงพิสดาร อุทานเสียงดังลั่นอย่างแตกตื่นสุดระงับ “นี่ไม่ถูกต้อง!”

เอี้ยนหมิงจื่อกับพวกสะดุ้งสุดตัว คล้ายตื่นขึ้นมาด้วยเสียงตะโกนของศิษย์พี่หวัง แต่เวลานี้ไม่คิดซักถามรายละเอียด สายตาของพวกมันไม่อาจเบี่ยงเบนแม้แต่ส่วนเสี้ยว

ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ หมอกสีทองจางๆ กลุ่มหนึ่งพลุ่งขึ้นเป็นวงกว้าง ละอองหมอกคลับคล้ายทรายทองผืนใหญ่ ภายใต้ห่าฝนเพลิงประหนึ่งภูเขาไฟระเบิดที่สาดลงมาอย่างท่วมท้น กลุ่มหมอกสีทองดูทั้งอ่อนแอและสงบเสงี่ยมอย่างบอกไม่ถูก

ค่ายกลทองคำพรั่งพรู!

หมอกที่คล้ายทรายสีทองเป็นปราณทองคำบริสุทธิ์ ค่ายกลทองคำพรั่งพรูเป็นค่ายกลธาตุทองที่สามารถพบเห็นได้ดาษดื่นทั่วไป สามารถใช้หนุนเสริมปราณทองคำให้คมกล้ากว่าเดิม ปราณทองคำที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้ไม่ได้มีพลังมากมายอันใด ส่วนมากมักจะเปิดใช้งานก่อนใช้เวทวิชาธาตุทอง สามารถหนุนเสริมพลานุภาพของเวทวิชาธาตุทองได้

มันคิดใช้เวทวิชาธาตุทองหรือ? เหล่าผู้ชมอดส่ายศีรษะไม่ได้ จริงอยู่คุณสมบัติของธาตุทองนั้นคมกล้า แข็งแกร่งและทำลายล้าง ใช้กับไฟ สามารถสร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในห้าธาตุ แต่เวทวิชาสายธาตุทองที่ซิวเจ่อด่านจู้จีสามารถใช้ออก พวกมันไม่คิดว่าจะมีวิชาใดสามารถหยุดยั้งค้อนสวรรค์พิรุณเพลิงของเฉาอันได้

แต่ซิวเจ่อบางส่วนที่มีฝีมือทางค่ายกลพลันค้นพบความผิดปกติ นี่...ที่แท้เป็นค่ายกลทองคำพรั่งพรูระดับสองหรือระดับสามกันแน่? หมอกสีทองขนาดใหญ่เช่นนี้ ดูไม่เหมือนสิ่งที่ค่ายกลระดับสองจะสามารถสร้างขึ้นได้ แต่หากจะบอกว่าเป็นค่ายกลทองคำพรั่งพรูระดับสาม  ก็ไม่สมควรก่อตั้งขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้

เห็นห่าพิรุณลูกไฟโหมกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้า กลุ่มหมอกสีทองพลันแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง

ในเวลานี้ ไม่มีผู้ใดกังวลสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของหมอกทอง ทุกสายตาเพ่งมองจั่วม่อทั้งห้าบนลานประลอง พวกมันต้องการดูว่าจั่วม่อจะรับมือด้วยวิธีใด!

“นี่...ไม่ถูกต้อง...” ศิษย์พี่หวังจ้องมองลานประลองเขม็ง สีหน้าแข็งทื่อ ปากพึมพำอย่างเลื่อยลอย ไม่ทราบตั้งตาเมื่อใด ใบหน้ามันท่วมไปด้วยหยาดเหงื่ออย่างเงียบๆ ดวงตาคู่นั้นเบิกโพลง เต็มไปด้วยความไม่เชื่อสุดหัวใจ!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด