ตอนที่แล้วเล่ม 2 ตอนที่ 2 : ฟักไข่ (4) [อ่านฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเล่ม 2 ตอนที่ 3 : นครใต้สมุทรโนเดเลส (2) [อ่านฟรี]

เล่ม 2 ตอนที่ 3 : นครใต้สมุทรโนเดเลส (1) [อ่านฟรี]


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

====================

เล่ม 2 ตอนที่ 3 : นครใต้สมุทรโนเดเลส (1)

ก้าวเดินของอาร์คเปี่ยมไปด้วยพลัง

ต้องขอบคุณโทรศัพท์สายเมื่อเช้า

“ผู้ดูแลของคุณปาร์คโซมีใช่ไหมคะ?”

เมื่อเขาตระหนักได้ว่าเป็นสายจากโรงพยาบาล เขาถึงกับเผยความหวาดกลัวออกมา

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาไม่เคยมีความทรงจำว่าได้รับข่าวดีจากโรงพยาบาลมาก่อน ตั้งแต่ที่แม่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล สายที่เขาได้รับส่วนใหญ่จะเป็นการแจ้งว่าอาการของแม่คงที่ พวกเขาเลยโทรมาเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล เพราะงั้นมันจึงไม่ใช่สายที่น่ารับสักเท่าไหร่

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจ

“ครับ ทำไมเหรอครับ?”

“ไม่นานมานี้คุณปาร์คโซมีอาการดีขึ้นมากค่ะ นั่นทำให้คุณหมอคิดว่าเธอน่าจะอาการดีจนสามารถทำกายภาพบำบัดได้แล้วค่ะ”

“แม่อาการดีขึ้น?”

“ค่ะ ในขั้นตอนนี้จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้ดูแล ดิฉันเลยโทรมาเพื่อสอบถามว่าทางผู้ดูแลคิดเห็นอย่างไรน่ะค่ะ”

“หากจำเป็นก็ต้องทำครับ”

“อย่างนั้นแล้วโปรดมายังโรงพยาบาลในวันนี้เพื่อเซ็นเอกสารยอมรับด้วยค่ะ ดิฉันจะขออธิบายถึงขั้นตอนของการกายภาพบำบัดและค่าใช้จ่ายรวมถึงรายละเอียดเมื่อคุณมาที่โรงพยาบาลค่ะ”

มันเป็นข่าวดีที่เขาเพิ่งได้ยินในรอบหลายปี

ห้าปีผ่านพ้นหลังจากที่แม่ของเขาเข้ารักษาตัว หลังจากที่เข้ารับการผ่าตัดสมอง แม่มีอาการสับสนในช่วงสองปีแรก เมื่อแม่ตื่นขึ้น แม่ก็ไม่อาจขยับแขนขาได้อย่างปกติ

ที่แย่กว่านั้น บางครั้งแม่จะตึงเครียดเฉียบพลันและหมดสติไปหลายวัน ทุกครั้งที่เกิดขึ้นฮยอนอูจะจับมือของแม่เอาไว้ทั้งคืนและหลับไปทั้งแบบนั้น

“สาเหตุเกิดจากความตึงเครียดทางจิตจนส่งผลให้เกิดอาการช็อก”

คุณหมอที่ดูแลแม่อธิบายอาการออกมา

ความเครียด สำหรับหมอแล้วมันคือคำพูดอันง่ายดาย เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงอาการอื่นใดเพิ่มเติมอีก

“สำหรับตอนนี้นั้น พวกเราไม่อาจทำอะไรได้ นับตั้งแต่นี้พวกเราทำได้เพียงแค่รอให้สภาพของเธอดีขึ้นครับ”

จากปากคำของแพทย์คือต้องรอ รอให้เธอมีสภาพอาการที่ดีขึ้น เขาต้องจ่ายเงินมากถึงสามหรือสี่ล้านวอนเป็นค่ารักษาพยาบาลต่อเดือน ถึงกระนั้นเขาก็ยังสามารถทานทน

ถ้าหากสภาพของแม่นั้นแย่ลง หมอจะพล่ามถึงสภาพที่แย่ที่สุดให้เขาฟังจนไปกระตุ้นต่อมโทสะเข้า แต่หมอก็เพียงแค่พูดเผื่อเอาไว้ นั่นทำให้เอาได้แต่กล้ำกลืน

ในโรงพยาบาล ครอบครัวของผู้ป่วยไม่อาจกระทำสิ่งใดได้

ทุกครั้งที่เกิดเรื่องขึ้น สิ่งเดียวที่ฮยอนอูสามารถทำได้คือคว้ามือของแม่เอาไว้และร้องไห้สวดอ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่าต่อพระผู้เป็นเจ้าที่เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดเชื่อถือ

เขาไม่รู้เลยว่าคำภาวนานั้นส่งไปถึงหรือไม่ ไม่ว่าอะไรก็ตามเวลาสี่ปีผ่านพ้นไปแล้ว ความหวังเริ่มผลิบาน เมื่อปีที่แล้วสภาพของแม่เขาเริ่มดีขึ้น

เรื่องอย่างการลุกขึ้นจากเตียงยังอาจจะยากไป แต่แม่ก็เริ่มที่จะทานอาหารด้วยตัวเองได้ นอกจากนี้ แม่ยังไม่มีปัญหาอะไรยามต้องสนทนา หมอที่เคยบอกต่อฮยอนอูให้ยอมรับชะตากรรมตอนนี้กลับบอกให้เตรียมทำกายภาพบำบัด มันเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่เปลี่ยนอาการของแม่ให้ดีขึ้น

ความรู้สึกราวกับตนนั้นโบยบินได้ ฮยอนอูนำตะกร้าผลไม้มาเยี่ยมที่ห้องของแม่

“อา ฮยอนอู”

เมื่อเขาเข้ามาในห้อง ชายวัยกลางคนพลันลุกขึ้นมา

“สวัสดีครับ นักสืบจีวอน”

“อา นี่ก็นานแล้วสินะ ไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม?”

“ผมสบายดีครับ”

“ที่วันนี้ฉันมาโรงพยาบาล ก็เพราะตัดสินใจเรื่องหนึ่งได้”

“ไม่จำเป็นต้องอธิบายหรอกครับ”

นักสืบจีวอนหน้าแดงและพลันกระแอมไอ “อะแฮ่ม งั้นคุยกันไปก็แล้วกัน ฉันไปรอด้านนอก”

ชายวัยกลางคนที่ชื่อจีวอนพลันออกจากห้องไป

ฮยอนอูหัวเราะขณะที่คว้ามือของแม่มาไว้

“แม่ครับ ได้ยินว่าอาการดีขึ้นเยอะเลยนี่”

“ใช่ บางทีอาจเป็นเพราะร่างกายดีขึ้นแม่ก็เลยรู้สึกดีขึ้นด้วย”

แม่ของเขานั้นยังคงยิ้มอยู่เสมอ

เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวนี้มันทำหัวใจของเขาเจ็บปวด แม่ของเขาย่างเข้าวัยสี่สิบกว่าแล้ว ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ทุกคนมักพูดว่าแม่นั้นงดงาม ทว่า ห้าปีกับชีวิตในโรงพยาบาลได้พรากเอาความงามที่เคยมีเหล่านั้นไป

‘ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เราจะพาแม่คนเดิมกลับคืนมาให้ได้’

แม้ว่าฮยอนอูจะยอมแล้วซึ่งทุกสิ่ง แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขาปรารถนา

เงาเริ่มปกคลุมใบหน้าของฮยอนอู แม่ของเขากล่าวออกด้วยน้ำเสียงเศร้าหมองว่า “แม่ขอโทษนะ นี่ไม่ใช่เวลาที่แม่จะควรเป็นแบบนี้เลย...”

แม่ของเขานั้นมักพูดกล่าวคำเหล่านี้เสมอทุกครั้งที่เห็นเขา

ฮยอนอูไม่กล่าวคำใด ทว่าแม่ของเขานั้นรู้เสมอ ไม่ ไม่มีเหตุผลอะไรที่แม่จะไม่รู้

หลังจากเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ญาติต่างก็มาหาเพียงแค่สองหรือสามครั้ง จากนั้น พวกเขาต่างก็พูดคุยถึงความยากลำบากกับชีวิตเช่นนี้กับพวกคำไร้สาระก่อนจะจากไป

ไม่ว่าแม่จะป่วยอย่างไร มันก็ไม่มีเหตุผลเลยที่แม่จะต้องคิดว่าญาติของตนจะต้องมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ญาติเหล่านั้นเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมฮยอนอูถึงปิดกั้นตนเองจากผู้อื่น

ท้ายที่สุด ภาระทั้งหมดตกอยู่กับเขา

แม่ไม่เคยเปิดเผยว่ารู้ แต่แม่มักขอโทษอยู่เสมอที่ทำให้เขาต้องลำบาก

“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ แค่แม่อาการดีวันดีคืนก็พอแล้ว แล้วก็นะ ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ผมอายุยี่สิบสองแล้ว ผมเลือกที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้”

“ลูกพูดถูก ลูกไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว”

ขณะที่แม่คว้ามือของฮยอนอูเอาไว้ เสียงของแม่พลันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์พรากน้ำตา

ห้าปี... สำหรับคนชราที่วันคืนเหมือนเดิมไม่เคยผันเปลี่ยน มันย่อมเป็นเวลาที่ไม่นานนัก แต่สำหรับฮยอนอูที่เป็นเด็กชั้นมัธยมปลาย แต่ต้องกลับกลายเป็นผู้ใหญ่ที่อายุถึงยี่สิบสองแล้ว เวลาช่วงวัยหนุ่มกับประสบการณ์ที่เขาได้รับนั้นมันทำให้เขาเปลี่ยนไปมาก

เธอรู้สึกได้ เธอมองดูลูกชายของเธอเปลี่ยนแปลงไปทั้งน้ำหนักและไหล่ที่กว้างใหญ่ขึ้นจากเตียงผู้ป่วยนี้

ฮยอนอูส่ายศีรษะขณะเปลี่ยนเรื่องพูดคุย

“ผมว่าผมเห็นนักสืบจีวอนมาบ่อยนะครับ”

“ใช่แล้วล่ะ ต้องขอบคุณเขาแหละนะ นี่ก็ผ่านมาห้าปีแล้ว...”

“ครับ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับผมแน่หากไม่มีนักสืบจีวอน”

ฮยอนอูรู้สึกซาบซึ้งต่อนักสืบจีวอน จีวอนฮวารังเป็นผู้มีบุญคุณต่อเขา

อุบัติเหตุทำให้พ่อของเขาจากไปเมื่อห้าปีก่อนและสั่นคลอนถึงรากฐานแห่งชีวิตที่ฮยอนอูเป็น

พ่อของเขาจากไปพร้อมความตายของผู้ประสบภัย ห่วงโซ่พันธนาการที่เกิดขึ้นทำให้มีสิบคนได้รับบาดเจ็บสาหัส มันเพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น แต่อุบัติเหตุครั้งนั้นก็ออกข่าว ผู้รายงานข่าวกล่าวถึงนายคิมขณะพล่ามเรื่องการขับรถอย่างไร้ความรับผิดชอบยากจะยอมรับ

ผลกระทบจากข่าวเพียงไม่กี่วินาทีนั้นน่าทึ่งมาก

คำด่าทอทั้งหลายพลันเข้ามาจากทุกทิศทาง แม้แต่เครือญาติยังหันหลังให้พวกเขา

ชีวิตที่ฮยอนอูเคยเชื่อนั้นกลับพังทลายลงตลอดกาลอย่างง่ายดาย กับเด็กนักเรียนมัธยมปลายปีสองอย่างฮยอนอู มันเป็นความจริงที่หนักเกินจะยอมรับได้

นับแต่นั้น ฮยอนอูเริ่มหลงผิด เขาทั้งดื่มและสูบ เขากระทั่งต่อยตีข้างถนน เขาเกลียดชังบิดาของตนที่ทำให้อุบัติเหตุเกิดขึ้น เขาเกลียดชังต่อโลกที่ใครคนหนึ่งสามารถชี้นิ้วนำไปได้

ในตอนนั้น คนที่เข้ามาพบฮยอนอูและคว้าคอของเขาออกมา คือแผนกสืบสวนที่เข้าสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนั้น จีวอนฮวารัง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฮยอนอูถูกทุบตีจนแย่

จากนั้นเขาจึงโดนจีวอนฮวารังลากตัวไปโรงพยาบาล

ความจริงแล้วเขาวิ่งหนีออกมาจากจุดนั้น

ความจริงที่ฮยอนอูไม่อาจยอมรับคือต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางถนนที่แสงนีออนติด ๆ ดับ ๆ แม่ของเขาก็ต้องอยู่ในหอผู้ป่วยหนักเพื่อรักษาสภาพชีวิตเอาไว้

ในวันนั้น ฮยอนอูร้องไห้ออกมาอย่างถึงที่สุดเป็นครั้งแรก

จีวอนฮวารังให้การดูแลฮยอนอูเสมอหลังเกิดเรื่องขึ้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นที่โรงเรียน เขาถึงกับลางานเพื่อมาหา จากนั้นจึงใช้เส้นสายของตนแนะนำฮยอนอูให้หางานพาร์ทไทม์ทำ เมื่อฮยอนอูต้องการกู้หนี้ยืมสินเร่งด่วน เขาเป็นคนอาสาที่จะค้ำประกันให้ ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ฮยอนอูสามารถสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมปลายได้

สำหรับฮยอนอูแล้ว จีวอนฮวารังคือผู้ช่วยชีวิต... ไม่ เขาเป็นมากกว่านั้น

“แม่รู้สึกเสียใจต่อนักสืบจีวอนเสมอมา”

“ผมก็ด้วย แต่แม่ไม่ต้องคิดแบบนั้นก็ได้ครับ”

“ลูกหมายความว่า?”

“เหตุผลที่นักสืบจีวอนมาที่โรงพยาบาลไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ เขาจะทำตัวเหมือนเป็นคนนอกก็ได้ แต่เขาเลือกที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยว แม่ก็รู้ใช่ไหมล่ะครับ?”

ขณะที่ฮยอนอูยิ้มชั่วร้าย แม่ของเขาพลันหน้าแดงขึ้นจนเข้ามาหยิกหู

“นี่ลูกแกล้งแม่เหรอ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่หน้าแดงแล้วนะ หรือแม่ไม่ชอบกันครับ?”

“เด็กน้อย อย่าได้คิดที่จะพูดอะไรเหล่านี้ต่อหน้านักสืบจีวอนเชียวล่ะ”

“แม่ครับ”

ฉับพลันฮยอนอูจึงเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้ง

แม่ของเขาจึงเผยสีหน้าตึงเครียดออกมา

“ผมไม่ว่าหรอกนะ”

“เด็กคนนี้นี่จริง ๆ เลย!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นเดี๋ยวผมไปคุยกับนักสืบจีวอนก่อนแล้วจะกลับนะครับ”

ฮยอนอูดึงมือของตนเอาไว้กลับและออกไปจากห้องผู้ป่วย

นักสืบจีวอนที่นั่งอยู่ตรงบริเวณโถงของโรงพยาบาลพลันหัวเราะขึ้นขณะกล่าวถาม “เป็นไงบ้าง? เธออาการดีขึ้นแล้วใช่ไหม?”

“ครับ แม่อารมณ์ดีขึ้นมาก ขอบคุณมากครับ”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย...” นักสืบจีวอนพึมพำขณะเผยสีหน้าเขินอาย

เขาเหลือบมองฮยอนอูคล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ จากนั้นเขาจึงนำเอาบุหรี่ออกมาและเร่งร้อนเก็บมันเพราะสายตาดุจากนางพยาบาลที่จ้องมา จากนั้นเขาจึงเกาศีรษะด้วยใบหน้าที่ผิดหวังขณะพูดออกมาอย่างยากลำบาก

“คือว่านะ ฮยอนอู”

“ครับ?”

“ฉันได้ยินมาจากหมอว่าจะเริ่มทำกายภาพบำบัด แต่ว่า... ก็นะ... ที่ฉันพูดถึงก็คือกายภาพบำบัดน่ะ จากที่ได้ยินมามันต้องใช้เงินมากเลยทีเดียว ประกันที่มีคงไม่ครอบคลุมส่วนนี้ เพราะงั้น เอ่อ ที่จริงฉันก็มีเงินพอสมควรนะ”

นักสืบจีวอนหัวเราะเคอะเขินออกมาขณะที่พูดกล่าว “ฮ่ะฮ่ะ ใช่แล้ว ฉันเองก็มีเงินเยอะพอตัวนะ ก็นั่นแหละ ฉันได้เงินหลังเกษียณออกจากฝ่ายสืบสวนน่ะ แล้วฉันก็มีเงินบำนาญด้วย แล้วค่าตอบแทนจากงานตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน... ไม่สิ คือจะบอกว่าฉันก็ไม่ได้ดีอะไรหรอก แต่ก็มีเงินอยู่บ้างและไม่มีอะไรต้องใช้จ่าย เพราะงั้นที่จะบอกก็คือ...”

“เข้าใจครับ” ฮยอนอูส่ายศีรษะ “ผมเข้าใจนะว่าอยากพูดอะไร ผมรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ค่ารักษาพยาบาลของแม่ ผมจ่ายเองไหวครับ”

“ไม่ เธออย่าเข้าใจผิดนะ ฉันก็แค่ไม่มีภาระที่ต้องใช้จ่ายน่ะ”

“คุณนักสืบครับ ชอบแม่ของผมใช่หรือเปล่าครับ?”

คำถามยิงตรงของฮยอนอูทำเอาจีวอนฮวารังแตกตื่น

“นะ-นั่น...”

“ไม่ต้องปิดหรอกครับ ผมไม่ใช่เด็กนะ”

“ขอโทษ”

“ขอโทษอะไรกันครับ? ถ้าหากเป็นคุณนักสืบจีวอนแล้ว ผมยินดีต้อนรับเสมอนะครับ”

“งั้น แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนกัน?”

“ผมชอบคุณนะ แต่ปัญหานี่มันแตกต่างออกไป คุณจำได้ไหมตอนที่ซ้อมผมแล้วลากมาโรงพยาบาลน่ะ?”

“ใช่ เคยเกิดเรื่องแบบนั้นด้วยนี่นะ”

“หลังได้เห็นแม่นอนอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก ผมจึงรู้ว่าใช้ชีวิตสิ้นคิดขนาดไหน จากนั้นผมก็เลยคิดได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะทำให้ดีที่สุดด้วยกำลังของตัวเอง มันไม่ใช่เป็นเพราะรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องใช้เงินของคุณ แต่เป็นเพราะมันคือความภูมิใจของผม ผมเพียงแค่อยากยึดมั่นสิ่งนี้เอาไว้ เป็นเพราะแม่ของผมไม่ใช่ใครอื่น”

จีวอนฮวารังจ้องมองเขาอย่างไร้ซึ่งคำพูดและจึงค่อยตบลงที่บ่าของฮยอนอู

“เธอเป็นเด็กหนุ่มที่น่ายกย่องนะ”

“ผมไม่คู่ควรกับคำนั้นหรอกครับ ยังไม่คู่ควร”

“สิ่งที่เธอพูดนั้นน่ายกย่องแล้ว”

จีวอนฮวารังพยักหน้าขณะลุกขึ้นจากที่นั่ง

“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ เธอก็เป็นลูกผู้ชายย่อมต้องดื้อรั้นบ้าง ทำตามที่ต้องการเถอะ แต่สัญญากับฉันหนึ่งอย่างนะ ถ้าหากมีอะไรยากลำบากเกินรับมือเพียงลำพังล่ะก็ เธอต้องมาหาฉันเป็นคนแรกนะ สัญญากับฉันได้ไหม?”

“ได้ครับ นักสืบจีวอน”

“เรียกฉันว่าคุณก็ได้ นี่ก็นานแล้วนะที่ฉันออกจากงานสืบสวนน่ะ เอาล่ะ ขอตัวก่อนนะ”

จีวอนฮวารังหันกลับและเดินออกจากโถงของโรงพยาบาลไป

ขณะที่เขามองดูร่างของนักสืบที่เดินจากไป ฮยอนอูพลันรู้สึกขมขื่น

‘ทำไมแต่ละคนรอบตัวเราถึงเจอแต่เรื่องยากลำบากกันนะ?’

สองปีก่อน จีวอนฮวารังนำกำลังเข้าจับหัวขโมย แต่แล้วก็กลับต้องเปิดฉากการต่อสู้ขึ้น ทว่า ระหว่างการจับกุม เขาโดนแทงเข้าที่เข่าและน่องหลายครั้งจนกลายเป็นคนพิการไป

มันไม่ใช่สิ่งที่มากพอจะได้รับเหรียญตรา แต่เขากลับโดนเหยียดหยันแทน

ปัญหาอยู่ที่กระสุนเพียงนัดเดียวที่เขายิงออกไปตอนเข้าจับกุม หัวขโมยที่เขายิงได้รับบาดเจ็บแต่ก็ได้รับการรักษาจนหายดี แต่จีวอนฮวารังกลับพิการ แม้ว่ามันจะเป็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ แต่พวกนักสิทธิมนุษยชนยิ่งทำให้มันแย่ลง

สำหรับพวกเขา หัวขโมยก็เป็นคน แต่พวกเขาไม่เห็นว่าฝ่ายสืบสวนนั้นเป็นคน เมื่อกลุ่มสิทธิมนุษยชนโวยวายขึ้นมา สื่อต่างก็เริ่มยื่นมือเข้ามาสอด เมื่อทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน มันสามารถฝังคนผู้หนึ่งได้อย่างไร้ซึ่งปัญหา ท้ายที่สุด จีวอนฮวารังถูกตราหน้าว่าเป็นตำรวจที่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ โชคยังดีที่สายอาชีพของเขายังยอมรับและให้เขาเป็นผู้ฝึกเหล่าอาชญากรในทัณฑสถาน แต่นั่นก็ไม่ใช่การชดเชยที่เพียงพอ

นับจากนั้น นักสืบจีวอนฮวารังแทบอยากตะโกนออกมาว่า ‘ไอ้พวกบ้า’ ออกมาโดยไม่คิดอายราวกับเด็กไร้ซึ่งการศึกษา

‘ถ้าหากขาของเขาหายดีได้...’

เมื่อเขาคิดถึงจุดนี้ นิวเวิร์ลด์ฉับพลันจึงแทรกเข้ามาในใจ

ไม่มีคนพิการที่เล่นเกมเสมือนจริง ในเมื่อสามารถเคลื่อนไหวร่างกายโดยใช้การสแกนสมองได้ ความพิการทางร่างกายจึงไม่ใช่ปัญหา

เพราะงั้นในเกม กระทั่งว่าเป็นจีวอนฮวารังก็สามารถเป็นคนปกติได้

“นักสืบจีวอน เคยเล่นเกมมาก่อนไหมครับ?”

“เกม?”

จีวอนฮวารังเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัยขณะถามออกมา

“ก็นะ แต่ก่อนก็เคยเล่นบ้าง แต่ว่า...”

“ถ้าอย่างนั้นก็ลองมาเล่นเกมที่ชื่อว่า นิวเวิร์ลด์ ดูสิครับ”

“ตอนนี้เธอก็เล่นเกมนี้?”

“ครับ คุณต้องชอบมันแน่ถ้าได้ลอง”

“นิวเวิร์ลด์ เคยได้ยินมาบ้าง...” จีวอนพยักหน้ารับโดยไม่คิดอะไรมาก “ได้ ถ้ามีเวลาฉันจะลองดูนะ”

“คุณต้องลองให้ได้ครับ”

* * *

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด