ตอนที่แล้วตอนที่ 11 : เมืองหลิงเสี่ยวเชิ่น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13: กว้านซื้อยาอายุวัฒนะ

บทที่ 12: หลบหนีอย่างน่าสังเวช


ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ก่อนใครได้ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

บทที่ 12: หลบหนีอย่างน่าสังเวช

เจ้าอ้วนเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่านี่มันไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะว่านางนั้นมีเวลาบ่มเพาะพลังที่ยาวนานกว่า และในตอนนี้นางอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นที่สามซึ่งนั่นเหนือกว่าเจ้าอ้วนถึงสองขั้น อีกทั้งดาบบินของนางนั้นเป็นของคุณภาพดีและมันบินได้เร็วมาก ถ้าหากว่าเขายอมให้นางจับแน่นอนว่ามีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่!

ดังนั้นแล้วเมื่อมองเห็นนาง เขาจึงต้องเร่งความเร็วเพื่อหลบหนี ส่วนเรื่องที่นางบอกให้เขาหยุดนั้น เขาไม่ได้เก็บคำพูดนั้นมาใส่หัวแม้แต่น้อย

หาน หลิงเฟิงรู้ชัดแล้วว่าเจ้าอ้วนนั้นไม่เพียงแค่ไม่สนใจในคำกล่าวของนางแถมยังคงเร่งความเร็วขึ้นไปอีก สิ่งนั้นทำให้นางรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาทันที นางส่งเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาพร้อมกล่าวว่า “ไอ้อ้วนโง่ เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เจ้าคิดหรือว่าจะหนีฝ่ามือของข้าพ้นงั้นรึ ? ดูเหมือนว่าข้าจักต้องสั่งสอนเจ้าสักหน่อยแล้ว!”

เมื่อพูดจบ นางยกนิ้วชี้อันราวบางขึ้นมาพร้อมกับพูดเบาๆว่า “อัคคี”

ทันทีที่นางพูดจบ ลูกบอลไฟก็ปรากฏขึ้นขนาดของมันใหญ่เทียบเท่ากับชาม มันพุ่งออกไปเสมือนดาวตก และขณะนี้เจ้าพวกลูกไฟเหล่านั้นกำลังถาโถมใส่เจ้าอ้วน

แม้ในตอนนี้เจ้าอ้วนจะใช้พลังของเขาทั้งหมดเพื่อที่จะหลบหนี แต่เขาก็ไม่ได้ประมาทว่าภัยอันตรายนั้นกำลังตามก้นเขามาแบบติด ๆ เขาเร่งความเร็วขึ้นอีก เพื่อที่หลีกเลี่ยงการปะทะกับลูกบอลขนาดเล็กพวกนั้น

เมื่อนางได้เห็นเจ้าอ้วนสามารถหลบเลี่ยงลูกบอลไฟของนางได้ อารมณ์ของนางพุ่งสูงขึ้นพร้อมคิดในใจ ‘ถ้าหากข้ามิสามารถแม้แต่จะหยุดยั้งขยะเช่นเจ้า ข้าก็คงต้องกลายเป็นเรื่องตลกขบขันให้กับผู้อื่นในภายภาคหน้าแน่นอน’ เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว หาน หลิงเฟิง รู้สึกถึงจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันในตัวกำลังลุกโชนขึ้นมา มือทั้งสองของนางถูกยกขึ้น จากนั้นก็ปล่อยลูกบอลไฟออกไปอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่เจ้าอ้วนกำลังรู้สึกมีความสุข นางก็กำลังปล่อยลูกบอลไฟที่มีความเร็วมากกว่าเดิมถึงสองเท่า แต่การหลบลูกบอลไฟด้วยดาบบินของเจ้าอ้วนนั้นก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายนัก แต่ทว่าการที่ถูกฝ่ายตรงข้ามก็ยังคงยิงลูกบอลไฟมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นทำให้ไม่สามารถหลบทั้งหมดโดยใช้เพียงความสามารถของดาบบินอีกแล้ว เจ้าอ้วนถูกลูกไฟปะทะเข้าที่หน้าขา ทำให้เขาล้มลงและล่วงหล่นสู่พื้นดินอันอ่อนนุ่ม และก็คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถพึ่งพาทรัพยากรต่าง ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ขณะเดียวกันเขาก็ยังคงวิ่งไปข้างหน้าด้วยขาสองข้างของเขาเอง

ฉากในตอนนี้ที่ปรากฏออกมานั้นได้สร้างความหรรษาให้กับเหล่าผู้ชมที่ยืนดูอยู่รอบ ๆ เจ้าอ้วนนั้นคล้ายคลึงกับสุนัขตัวเมียที่พยายามหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง และผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการยิงลูกบอลไฟเพื่อให้เกิดฉากสุดสนุกในครานี้ก็คือ หาน หลิงเฟิง นางยังคงปล่อยลูกบอลไฟออกมาอย่างไร้ความปราณีใด ๆ ลูกไฟต่าง ๆ ร่วงหล่นสู่พื้นดินเกิดเสียงระเบิดดังอย่างต่อเนื่อง แต่เจ้าอ้วนก็สามารถหลบหลีกได้ราวกับมีปาฏิหารย์เกิดขึ้น แต่เขาไม่มีเวลามาขอบคุณปาฏิหารย์ใด ๆ เขายังคงวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง

อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือแม้ว่าเจ้าอ้วนนั้นจะสามารถหลบการโจมตีของลูกไฟแบบตรง ๆ ได้ แต่ก็ไม่สามารถหลบสะเก็ดระเบิดได้ ทุกพื้นที่บนเสื้อผ้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยรูพรุนจากการโดนสะเก็ดระเบิด รวมไปถึงใบหน้าของเขาที่ถูกเผาจนกลายเป็นสีดำ สภาพของเขาในตอนนี้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก

นับว่าโชคดีที่หาน หลิงเฟิงนั้นมาพบตัวของเจ้าอ้วนในตอนที่เขาอยู่ไม่ไกลจากหอคอยลอยฟ้าเท่าไหร่นัก ตอนนี้เจ้าอ้วนได้มาถึงหอคอยลอยฟ้า แต่เขาไม่มีเวลาที่จะมาเย่อหยิ่งอะไรในตอนนี้ หาน หลิงเฟิงนั้นต้องยอมหยุดมือและปล่อยให้เรื่องราวการไล่ล่าจบลงเพียงเท่านี้ หลังจากนี้เจ้าอ้วนจะถูกออกหมายจับเป็นเชลย และถูกภาคเอกชนไล่ล่าแบบลับ ๆ ต่อไป หอคอยลอยฟ้านั้นถือได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญของสำนักเสวียนเทียน ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญมาประจำการอยู่ตลอดทั้งปี หาน หลิงเฟิงนั้นไม่สามารถที่จะฆ่าศิษย์นอกในสถานที่ ๆ เต็มไปด้วยเหล่าอาวุโสได้ จึงต้องยอมรามือไป

หลังจากที่เจ้าอ้วนเริ่มมองเห็นหอคอยลอยฟ้าจากที่ไกล ๆ ก็พบว่าหาน หลิงเฟิงนั้นหยุดการไล่ล่าแล้ว ถึงแม้ว่านางจะเสียสิทธิ์ในการได้รับหินจิตวิญญาณถึงสิบก้อน แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะนางไม่อยากมีปัญหากับสถานที่แห่งนี้

แม้ว่าในตอนนี้หาน หลิงเฟิงนั้นจะหยุดมือแล้ว แต่ทว่านางยังไม่ได้ไปไหน นางอยู่บนดาบบินของนางที่ลอยอยู่เหนือหัวของเจ้าอ้วน พร้อมตะโกนลงมาอย่างเดือดดาล “เจ้าอ้วนผู้โง่เขลา อย่าได้คิดว่าการที่เจ้าไปถึงหอคอยลอยฟ้าแล้วเจ้าจะปลอดภัย ถ้าเจ้ายอมกลับไปกับข้าเงียบ ๆ ข้าจะอ้อนวอนต่อศิษย์พี่หวางซุงให้เจ้าด้วยตัวข้าเอง แต่ถ้าหากเจ้าไม่ไป จงรู้ไว้ว่าเจ้าไม่สามารถอยู่ภายใต้หอคอยนั่นได้ตลอดไป สักวันนึงวาระแห่งความตายของเจ้าจะมาถึง!”

เจ้าอ้วนมิได้สนใจคำพูดของนางแม้แต่น้อย เขาดึงดาบบินออกมาพร้อมกับบินออกไปด้วยความเร็ว และเมื่อมาถึงหน้าหอคอยลอยฟ้า เขาหันกลับไปยิ้มกับหาน หลิงเฟิงพร้อมกล่าวว่า “เจ้าคือหาน หลิงเฟิง ถูกต้องไหม?”

“ถูกต้อง ข้านี่แหละคือน้าสาวของเจ้า!” หาน หลิงเฟิงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกล่าวต่อ “เจ้านี่มันคนประเภทใดกัน!”

“ข้าเพียงอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับเจ้า!” เจ้าอ้วนยิ้มพร้อมกล่าวต่อ “ยัยโง่ เจ้าจักต้องตายอย่างแน่นอน ข้า! คือปู่ของเจ้า ในวันข้างหน้าข้านี่แหละที่จะมอบความตายให้เจ้าอย่างแน่นอน!”

รอยยิ้มบนหน้าของเขาสวยงามราวกับดอกไม้ แต่ถ้อยคำที่ออกจากปากของเขาคล้ายกับพิษงู ความแตกต่างของใบหน้าและคำพูดของเจ้าอ้วนนั้นทำให้ดูราวกับว่าเขานั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา

หลังจากที่หาน หลิงเฟิงได้ยินถ้อยคำพวกนั้น นางเกือบจะร่วงหล่นจากดาบของตนเอง แม้ว่านางยังไม่ได้อยู่ในจำพวกผู้บ่มเพาะพลังขั้นสูง แต่นางก็อยู่ในตำแหน่งศิษย์นอกชั้นดี นางเป็นคนที่มีความงดงามและได้รับการดูแลเลี้ยงดูมาอย่างดี เหตุใดนางจึงต้องมารู้สึกแย่เพียงเพราะคำพูดเจ้านี่ ? นางไม่รู้ว่ากำลังเกิดสิ่งใด ในตอนนี้นางกำลังถูกเจ้าอ้วนที่ดูหยาบคาย และยังอ่อนแอ กำลังก่นด่านางอยู่ เขาใช้ถ้อยคำหยาบคายข่มขู่นาง ซึ่งภาพเหล่านี้เป็นภาพที่นางไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการถึงมัน ช่างเหมือนกับการที่ผู้บ่มเพาะพลังธรรมดา ๆ จะสามารถกลายเป็นอมตะได้อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งในตอนนี้เจ้าอ้วนกำลังทำให้นางหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว

“เจ้า เจ้า เจ้าอ้วน!” หาน หลิงเฟิงกำลังสั่นไปทั้งตัวพร้อมชี้ไปที่เจ้าอ้วน ในขณะที่นางกำลังคิดค้นถ้อยคำจะมาตอบโต้ ในขณะนั้นเองใบหน้าของนางก็แดงคล้ายกับอาการเลือดขึ้นหน้า ดวงตาของนางเบลอและมืดดับไปราวกับไม่อยากรับรู้ว่าเกิดสิ่งใดจะขึ้น

“เจ้า เจ้า ระวังศรีษะของเจ้า!!”  เจ้าอ้วนคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “สำหรับเราทั้งคู่นั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันยังไม่จบสิ้นเพียงแค่นี้ เจ้าควรไปชำระล้างให้เรียบร้อย รอวันที่ข้าจะกลับมาดูแลเจ้า!”

“ไอ้ตัวบัดซบ!” หาน หลิงเฟิงรู้สึกโกรธจนถึงขีดสุด นางไม่รู้ว่านางจะสามารถโกรธเขามากกว่านี้ได้อย่างไร นางอยากจะโจมตีเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย

แต่ในขณะที่นางกำลังคิดจะร่ายคาถานั้น มีร่าง ๆ นึงปรากฏขึ้นอยู่ข้างกายของนาง พร้อมกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า “พวกเจ้ากำลังคิดจะต่อสู้ในพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้งั้นรึ?”

ที่ปรากฏกายอยู่ข้างนางในตอนนี้ นั่นก็คือผู้เชี่ยวชาญที่มาประจำการที่นี่ มาในรูปของปราณเย็น ซึ่งระดับของเขาอย่างน้อยที่สุดก็คือระดับสิบของการบ่มเพาะพลัง เขามิได้ใช้ดาบบินเพื่อมาในที่แห่งนี้ แต่เขาสามารถปรากฏตัวได้ทันที ซึ่งนั่นทำให้มองเห็นความสามารถของเขาได้อย่างชัดเจน จากชุดลัทธิเต๋าสีดำที่เขาสวมใส่อยู่สามารถบอกได้ทันทีว่าเขาคือผู้ดูแลของหอคอยลอยฟ้านี้ หอคอยลอยฟ้านั้นเป็นสถานที่สำคัญของสำนักเสวียนเทียน บริเวณโดยรอบที่แห่งนี้นั้นไม่อนุญาตให้ศิษย์สาวกตนใดมาต่อสู้กันในที่แห่งนี้ ซึ่งที่นี่เป็นที่ที่เหล่าทหารต่าง ๆ แข่งกันกัน หากใครก็ตามที่เข้ามาต่อสู้ในที่แห่งนี้และถูกจับได้ จะต้องถูกลงโทษอย่างสาหัส

ดังนั้นเมื่อหาน หลิงเฟิงได้ยินดังนั้นแล้ว นางเกิดกลัวขึ้นมาอย่างรุนแรงภายในจิตใจ ทำให้นางต้องหยุดปากร่ายคาถาลงทันที จากนั้นนางก็พยายามที่จะบังคับให้รูปหน้าของนางนั้นยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “ข้าน้อยไม่กล้า ข้าเพียงขาดสติเพราะเจ้าคนขี้ขลาดคนนี้เท่านั้น เขาใช้ถ้อยคำหยาบคายกับข้าเพื่อให้ข้าโกรธ แต่ในตอนนี้ข้าออกจากความโกรธนั้นได้แล้ว”

“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าทั้งคู่จะมีเรื่องบาดหมางอันใดกัน จะไม่มีผู้ใดในพื้นที่นี้ได้รับอนุญาตให้กระทำสิ่งเหล่านั้นได้ เจ้าจงออกไปจากที่นี่เสีย ถ้าหากว่าไม่มีอะไรแล้ว!” ร่างนั้นกล่าวออกมาอย่างเย็นชา

“อ๋อ” เมื่อหาน หลิงเฟิงได้ยินแล้ว นางไม่ได้รู้สึกตกใจอันใด แต่กลับมีความสุขขึ้นมา ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ไม่เพียงแต่นางจักต้องออกไปเท่านั้น เจ้าอ้วนนี่ก็ต้องออกไปพร้อมกับนางด้วย แต่นางไม่ได้พูดอันใดออกไปเพียงแต่คิดในใจเท่านั้น ‘หึหึ ถ้าหากออกไปข้างนอกนั้น รับรองว่าข้าผู้นี้จะดูแลเจ้าเอง!”

อย่างไรก็ตาม หาน หลิงเฟิงนั้นก็ต้องผิดหวังอีกครา เพราะเจ้าอ้วนนั้นไม่ได้เดินตามออกมา เขาเผยยิ้มบาง ๆ และกำลังปฏิบัติตามกฎและระเบียบของที่แห่งนี้ “พี่ชาย ข้าต้องการใช้เจ้าประตูเคลื่อนย้ายนั่น!”

ขณะที่ผู้ดูแลคนนั้นได้ยินก็เกิดการขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมพูดว่า “เจ้าต้องการจะไปที่ใดรึพ่อหนุ่ม ?”

“นครเวหา!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

“หากเจ้าต้องไปจะไปนครเวหา เจ้าจักต้องมีหินวิญญาณระดับต่ำ 20 ชิ้น เจ้ามีสิ่งนั้นหรือไม่?” ผู้ดูแลซักถาม “ถ้าหากเจ้าไม่มี ก็จงรีบออกไปจากที่นี่ซะ มิฉะนั้นมันจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับข้า!”

“ข้าทราบ!” เจ้าอ้วนหัวเราะคิกคักแล้วพูดต่อ “ข้าได้เตรียมมันมาแล้ว!”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าสามารถไปได้” ผู้ดูแลชี้ขึ้นไปบนเสาสูงแล้วกล่าวออกมาว่า “ประตูวาร์ปไปยังนครเวหาอยู่ตรงนั้น!”

“ขอรับ!” เจ้าอ้วนรู้อยู่แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน แต่เขาก็ยังคงสุภาพและกล่าวคำขอบคุณ จากนั้นเขาก็แสยะยิ้มไปยัง หาน หลิงเฟิง พร้อมกล่าวออกมาอย่างภาคภูมิใจ “พี่สาวหาน เหตุใดท่านจึงยังไม่กลับออกไปอีกเล่า ? หรือว่าท่านต้องการที่จะไปใช้ชีวิตเป็นคนจงรักภักดีต่อข้าคนนี้ที่นั่น ?”

“เจ้า!” หาน หลิงเฟิงไม่คิดว่าเจ้าอ้วนจะใช้วิธีการนี้เพื่อหนีไป นางอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ว่านางรับรู้ถึงสายตาของผู้ดูแล นางรู้สึกตื่นตระหนกและไม่กล้าที่จะทำอันใดต่อไป ทำได้เพียงถลนตาใส่เจ้าอ้วนแล้วเร่งรีบเดินออกไป

‘ประหลาดยิ่งนัก ข้าจำได้ว่าเจ้าอ้วนนั่นเป็นเพียงทาสรับใช้ทำหน้าที่เก็บขยะไปวันๆเพียงเท่านั้น แถมมันยังได้เข้าเป็นสาวกชั้นนอกเมื่อสองถึงสามเดือนที่ผ่านมา มันควรจะมีฐานะยากจนไม่ใช่หรือ? มันไปเอาหินจิตวิญญาณระดับต่ำมาจากที่แห่งใดกันถึงยี่สิบก้อน? เพราะเพียงแค่รายได้ของมันนั้นก็เป็นแค่ผลึกชั้นต่ำเท่านั้น’ หาน หลิงเฟิงเดินออกไปพร้อมกับครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างสับสน

หลังจากที่หาน หลิงเฟิงได้ออกไปจากหอคอยลอยฟ้า นางพบกับหวาง ซุงที่รีบรุดมาที่นี่เพราะได้รับข่าว หวางซุงและหาน หลิงเฟิงนั่นเดิมทีรู้จักกันอยู่แล้ว และในตอนนี้เขาได้ก็รับรู้มาว่านางกำลังไล่ล่าเจ้าอ้วน ดังนั้นเมื่อพบกัน เขาก็ไม่มีพิธีรีตองใด ๆ ทั้งสิ้น กล่าวเข้าเรื่องในทันที “น้องหาน เจ้าได้พบกับซงจ่ง? เจ้าจับเจ้าทาสนั่นได้หรือไม่?”

ขณะที่หาน หลิงเฟิงเห็นว่าเป็นเขาที่เดินเข้ามา นางหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น พร้อมกับสายหัวแล้วพูดว่า “น้องสาวคนนี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก เจ้าอ้วนนั่นหนีไปเสียแล้ว!”

“หนีไป?” เมื่อหวาง ซุงได้ยินดังนั้น เขาถามออกมาด้วยความสับสน “ดาบบินของเจ้านั้นสามารถบินได้เร็วถึงสี่ถึงห้าร้อยไมล์ต่อชั่วโมง ถูกต้องหรือไม่? เจ้าซงจ่งมีเพียงดาบบินที่คล้ายกับขยะที่ได้รับมาจากนิกายซึ่งความเร็วของมันก็อยู่ที่สองร้อยไมล์ต่อชั่วโมงเพียงเท่านั้น เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าสามารถบินได้เร็วกว่าเขา แต่เหตุใดเขาจึงหลบหนีไปได้?”

“เจ้าอ้วนมันวิ่งเข้าไปในหอคอยลอยฟ้า ข้าไม่สามารถจับใครสักคนในที่แห่งนั้นได้ ถูกต้องหรือไม่?” หาน หลิงเฟิงกล่าวออกมาด้วยความโกรธ

“อ่า” หวาง ซุงเริ่มสังเกตแล้วว่าความคิดของเขาไม่ถูกต้อง พร้อมกับกล่าวขอโทษออกไปทันที “ถ้าอย่างนั้น ข้าตต้องขอโทษน้องหานด้วย เมื่อสักครู่ข้ากังวลมากไป จึงพูดจาหยาบคายแบบนั้น!”

“ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ว่าศิษย์พี่ไม่สามารถอดทนรอที่จะแก้แค้นในวันข้างหน้าได้ แต่ในตอนนี้ข้าเกรงว่าท่านจะไม่มีโอกาสแก้แค้นอีกต่อไป!” หาน หลิงเฟิงกล่าวออกมาอย่างร้อนรน

“หืม? น้องหาน ที่เจ้ากล่าวมานั้นหมายความว่าเช่นไร?” หวาง ซุงรู้สึกสับสนจึงถามกลับไป

“ข้าได้ยินเจ้าอ้วนพูดกับผู้ดูแลว่าต้องการใช้ประตูเคลื่อนย้ายนั่นไปยังนครเวหา! ที่แห่งนั้นไม่อนุญาติให้ใช้ความรุนแรง แม้ว่าท่านจะติดต่อเขาได้ แต่ไม่สามารถทำอันใดได้นอกจากเฝ้าดูเท่านั้น” หาน หลิงเฟิงหัวเราะอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวต่อว่า “ไอ้โง่นั่นมันเกลียดคนที่นี่ทั้งหมด ข้าเกรงว่าที่มันหนีไปได้ในครั้งนี้ มันจะไม่หวนกลับมาอีก!”

“ไอ้อ้วน! เหตุใดเขาจึงมีมันสมองไว้เพื่อคดโกง!” หวาง ซุงกำลังโกรธจัด แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงเหตุการณ์บางอย่างจึงถามออกไป “นั่นก็ไม่ถูกซะทีเดียว ข้าจำได้ว่าการที่จะไปนครเวหานั้นจำเป็นจะต้องมีหินจิตวิญญาณระดับต่ำถึงยี่สิบก้อน แม้แต่เรายังไม่สามารถใช้งานประตูนั่นได้อย่างปกติ แต่เจ้านั่นยังเป็นทาสอยู่เมื่อเดือนก่อน เขาได้รับหินจิตวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นมาจากแห่งหนใด?”

“ข้าก็คิดว่ามันแปลก หรือว่ามันจะโป้ปดเราทั้งคู่?” หาน หลิงเฟิงกล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนก

“เป็นไปได้!” หวาง ซุงตอบกลับ “เหตุใดเราจึงไม่ไปถามเขาเลยหล่ะ ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นเช่นไร จริงหรือไม่!”

“หืม?” หาน หลิงเฟิง ลังเลอยู่เพียงชั่วครู่แล้วกล่าวออกมา “พี่ชาย ข้าคิดว่าข้ารอฟังข่าวจากท่านอยู่ตรงนี้จะเป็นการดีที่สุด! ข้าเพิ่งโดนขับไล่ออกมาโดยผู้ดูแลเมื่อคราวที่ข้ากำลังไล่จับเจ้าอ้วน ถ้าหากข้าเข้าไปอีกครั้งเกรงว่าคงจะไม่เป็นการดีอย่างแน่นอน!”

“ข้ารู้! เอาล่ะน้องหานรอข้าตรงนี้สักครู่ ข้าจะรีบกลับมา!” หลังจากที่ หวาง ซุงได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้วเขาโค้งคำนับให้หาน หลิงเฟิง แล้วบินออกไปด้วยดาบจักรพรรดิของเขาทันที

ต่อมาไม่นาน หวาง ซุงได้กลับมา หาน หลิงเฟิงทักทายเขาอีกครั้งด้วยการจับมือ หวาง ซุงหัวเราะพร้อมกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “หลังจากที่ข้าได้คุยกับผู้ดูแล เจ้าอ้วนนั่นได้ไปยังนครเวหาเสียแล้ว!”

“อะไรกัน? นี่มันมีหินจิตวิญญาณระดับต่ำถึงยี่สิบก้อนจริง ๆ หรือ?” หาน หลิงเฟิงอุทานออกมาอย่างตกใจ

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด