ตอนที่แล้วบทที่ 110 ค่ายกลเพลิงสี่หวน!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 112 ภูตหยิน  

บทที่ 111 เพื่อของอร่อย  


 

ค่ายกลเสริมพลังปราณที่สร้างจากห้าชิ้นจิงสือระดับสาม แผ่พุ่งปราณธรรมชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่จั่วม่อยังคงประสบชะตากรรมพลังปราณในร่างลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าอัตราการเสริมพลังปราณไล่ตามความเร็วในการเผาผลาญพลังปราณไม่ทัน ค่ายกลเสริมพลังปราณสามารถก่อตั้งได้หลากหลายวิธี แต่ค่ายกลห้าปฐมปราณเสริมพลัง เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่มันสามารถก่อตั้ง

ปราณธรรมชาติไหลบ่าเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เส้นชีพจรปราณเริ่มฉีกขาด ทันทีที่พลังปราณเข้าสู่เส้นชีพจรปราณ ก็ถูกเผาผลาญด้วยระดับความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวเป็นสองเท่า สิ่งที่ตามมาคือความขาดพร่องอันรุนแรง เส้นชีพจรปราณโป่งพองและขาดพร่องสลับกันไปเป็นวัฏจักร แม้ว่าแผนผังปิศาจช่วยเสริมสร้างเส้นชีพจรปราณของมันตลอดเวลา จั่วม่อยังแทบเสียสติ

แต่มันทราบดีว่ามันไม่อาจเสียสติ มิหนำซ้ำยังไม่สามารถขยับแม้แต่น้อย เพียงเกิดความผันผวนปรวนแปรสักส่วนเสี้ยว อาจเป็นเหตุให้ค่ายกลเพลิงสี่หวนอันเปราะบางพังทลายลงได้ทุกเวลา

ในเวลานั้น เม็ดบัวอันสุกใสแวววาวจะหลุดออกจากพันธนาการทั้งปวง พิษร้ายไร้สีไร้กลิ่นจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดรอดชีวิตออกจากห้อง มันซึ่งอยู่ใกล้ชิดที่สุด ย่อมเป็นบุคคลแรกที่จะต้องสังเวยชีวิต

ขบกรามแน่น โลหิตสายหนึ่งไหลปรี่ลงมาจากมุมปากอย่างเงียบเชียบ

จั่วม่อไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย ถลึงตากว้างจ้องรังไหมไฟเขม็ง เม็ดบัวอันสุกใสค่อยๆ เผยโฉมทั้งเม็ดออกมาจากด้านใน!

รังไหมไฟก่อกำเนิดขึ้นจากการโคจรเป็นวงแหวนของด้ายไฟสิบหกเส้น พวกมันปลดปล่อยพลังเย็นอันเยียบเย็นถึงที่สุด ห้อมล้อมปิดกั้นพิษร้ายของเม็ดบัวไม่ให้เล็ดรอดออกมา เปลือกแข็งชั้นนอกของเม็ดบัวหลุดร่อนและลดน้อยลงเรื่อยๆ บุรุษทั้งสามที่ด้านข้างลมหายใจถี่กระชั้น สีหน้าตื่นเต้นตึงเครียดขึ้นทุกขณะ

ฟุ่บ!

จิงสือระดับสามทั้งห้าชิ้นพลันระเบิดสลายเป็นบุปผาฝุ่นห้าดอก! ทุกผู้คนสีหน้าแปรเปลี่ยน แตกตื่นจนขวัญหาย ...จบสิ้นแล้ว?

ท่ามกลางละอองฝุ่นศิลา จั่วม่อตวาดด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่หลงเหลือ “ฮ่าห์!”

ชั่วเสี้ยววินาทีที่รังไหมไฟเลือนหายไป เม็ดบัวสุกใสก็พุ่งลงในขวดหยกที่ไม่ทราบปรากฏขึ้นในมือซ้ายของมันตั้งแต่เมื่อใด มือขวาปิดจุกขวดตามดุจสายฟ้าแลบ

หมอกละอองฝุ่นผงจางลงช้าๆ เผยให้เห็นสารรูปน่าอเนจอนาถของจั่วม่อ ทั้งเส้นผม ใบหน้าและตลอดทั้งร่างของมันจมอยู่ในชั้นละอองฝุ่นศิลา โลหิตไหลหลั่งออกจากปาก ผสมกับฝุ่นละออง ดูน่าหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก

“โชคดีที่ไม่ผิดพลาด!”

จั่วม่อวางขวดหยกในมือขวาลงบนพื้นตรงหน้า สุ้มเสียงระโหยโรยแรง เผยให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่ามันตกอยู่ในสภาพอ่อนแอถึงเพียงไหน!

คนเสื้อแดงยื่นมือออกมา ขวดหยกบนพื้นลอยเข้าไปหามัน มันกวาดตามองในขวดอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง สีหน้าทอแววปลาบปลื้มยินดี จากนั้นมันรีบปรับสีหน้า ประสานมือค้อมคำนับมายังจั่วม่อ “อาจารย์จั่วยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ!” กล่าวจบก็วางม้วนหยกลงตรงหน้าจั่วม่ออย่างไม่รีรอ ขบคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ค่อยเบือนหน้าไปยังบุรุษจมูกอินทรี “เจ้ายังมีเศษเสี้ยวตำราหลอมสร้างทองคำจากคราวที่แล้วอยู่หรือไม่?”

บุรุษจมูกอินทรีผงกศีรษะรับ “ยังอยู่” พลางล้วงม้วนหยกออกมาจากถุงร้อยสมบัติที่เอวของมัน ส่งผ่านไปยังคนชุดแดง

คนชุดแดงวางม้วนหยกที่เรียกว่า ‘เศษเสี้ยวตำราหลอมสร้างทองคำ’ ไว้ข้างๆ ม้วนหยกม้วนแรก กล่าวด้วยสุ้มเสียงจริงใจว่า “ก่อนหน้านี้ที่ล่วงเกิน หวังว่าอาจารย์จั่วจะไม่ถือสา และโปรดให้อภัยพวกเรา พี่น้องข้าได้ครอบครองม้วนหยกนี้โดยบังเอิญ ขอใช้แทนคำขอขมาจากเรา! ในภายหน้าหากพวกเรามีเรื่องต้องรบกวนอาจารย์จั่วอีก กรุณาอย่าได้ปฏิเสธ!”

คนผู้นี้ร้ายกาจยิ่ง!

จั่วม่อคิด อีกฝ่ายหาทางลงได้อย่างหมดจดงดงามนัก มันแม้ขุ่นเคืองใจ แต่เพียงได้ยินนามของม้วนหยก จั่วม่อก็ทราบดีว่ามันไม่อาจปฏิเสธ จึงได้แต่ฝืนยิ้ม “ตราบเท่าที่ไม่เป็นอันตรายเช่นนี้”

“ฮ่าฮ่า! อาจารย์จั่วล้อเล่นแล้ว คราวนี้เป็นพวกเราวู่วามเกินไปจริงๆ! แต่หากไม่เป็นเช่นนี้ คงไม่ได้มีโอกาสเห็นฝีมือปานเทพยดาของอาจารย์จั่วแล้ว!” คนชุดแดงหัวร่ออย่างตรงไปตรงมา จากนั้นประสานมือคำนับเป็นเชิงอำลา “อาจารย์จั่วพักผ่อนให้สบาย พวกเราไม่รบกวนแล้ว!”

หลังจากคนทั้งสามจากไป สามารถเก็บกู้ชีวิตของมันเอาไว้ได้ จั่วม่อในที่สุดระบายลมหายใจอย่างโล่งอก มือซ้ายค่อยคลายออกจากยันต์ทหารที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ

คราวนี้มันเสียหายร้ายแรงอย่างแท้จริง!

อย่างไรก็ตาม มองไปยังม้วนหยกทั้งสองที่กองอยู่ตรงหน้า มันรู้สึกว่าไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว หลี่อิงฟ่งผู้หวาดกลัวแทบตายรีบหยิบโอสถปราณออกมามากมาย เร่งเร้าให้จั่วม่อรีบกลับไปยังภูเขาสุญตา การค้าเช่นนี้อย่าได้ทำแล้ว มันดึงดูดอันตรายมากเกินไป แต่สภาพของจั่วม่อในเวลานี้บอกไป ไหนเลยไปได้ดั่งใจนึก?

วันรุ่งขึ้น เมื่อหลี่อิงฟ่งพบเห็นจั่วม่อผู้ซึ่งเมื่อวานหลงเหลือลมหายใจร่อแร่รวยริน กระโดดโลดเต้นไปมาเหมือนปกติ นางถึงกับยืนเหม่อมองอย่างโง่งม

รูปลักษณ์ของศิษย์น้องดูอ่อนแอมาก มันใช่อ่อนแอแค่เพียงภายนอก แต่ภายในเข้มแข็งยิ่งหรือไม่?

อาการบาดเจ็บภายในไม่ได้ร้ายแรงเท่าที่จั่วม่อคิด แผนผังปิศาจช่วยฟื้นฟูเยียวยาได้เป็นอย่างดี เดิมทีมันยังคิดว่าจะต้องพักรักษาตัวสักสิบวันครึ่งเดือน ไม่คาดหวังว่าเพียงวันรุ่งขึ้นอาการก็ทุเลาลงไม่น้อย แน่นอนว่ายังต้องใช้เวลาอีกสักสองสามวันกว่าจะหายดีดังเดิม

ก่อนจะทุเลาหายดี จั่วม่อตัดสินใจกลับไปยังภูเขา ซิวเจ่อด่านหนิงม่ายเหล่านี้ยากคาดเดาอารมณ์อันเลวร้ายของพวกมัน หากยอดฝีมือด่านหนิงม่ายมาเคาะประตูร้านมันอีกสักคน เกรงว่าคราวนี้อาจไม่โชคดีแล้ว

นั่งบนหลังนกโง่ จั่วม่อแล่นกลับไปยังลานน้อยลมตะวันตกของมันอย่างรวดเร็ว

พอกลับถึงภูเขาสุญตา จั่วม่อในที่สุดค่อยคลายใจลง สำนักกระบี่สุญตาอาจจะเล็ก แต่ตราบเท่าที่ท่านเจ้าสำนักกับเหล่าอาจารย์ลุงอยู่ที่นี้ ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นเขามารังควาน มันยังมีความทรงจำอย่างลึกล้ำถึงค่ำคืนที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งเข้าสู่ด่านจู้จี และยังจดจำหนึ่งกระบี่ที่สร้างความสะท้านสะเทือนให้แก่ผู้คนของอาจารย์ลุงซินหยานได้อย่างแม่นยำ สำนักที่มียอดคนด่านจินตันถึงสี่คนในเวลาเดียวกัน ในตงฝูมีไม่กี่สำนักเท่านั้น

แต่น่าเสียดายที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งไม่ได้อยู่ในสำนัก มันอดเศร้าเสียดายอยู่บ้างไม่ได้

ในที่สุดล้างหนี้ก้อนโตได้สำเร็จ ทั้งยังได้รับม้วนหยกมามากมาย สำหรับจั่วม่อ นี่นับเป็นช่วงเวลาสุขสบายอย่างไม่ต้องสงสัย พักผ่อนรักษาอาการบอบช้ำภายในไปพลาง ศึกษาม้วนหยกทั้งหมดที่อยู่ในมือไปพลาง

ม้วนหยกของมันมีมากมายและหลากหลาย ครอบคลุมแทบทุกหัวข้อวิชา แต่ม้วนหยกชั้นสูงกลับมีไม่มากนัก

อันที่จริง ในช่วงหลังมานี้มันก็ไม่ได้ขาดแคลนม้วนหยก ม้วนหยกทั้งหมดในสำนักล้วนเปิดกว้างสำหรับศิษย์ฝ่ายในทุกคน จั่วม่อยังสามารถเข้าไปในห้องตำราของซือฟู่ได้ทุกเวลา เพียงแค่ม้วนหยกเหล่านี้ หากคิดศึกษาทั้งหมดมันก็จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเวลาอย่างมหาศาลแล้ว อย่างไรก็ตาม สำนักกลับขาดแคลนม้วนหยกวิชาค่ายกลซึ่งสำคัญที่สุดสำหรับจั่วม่อ ดังนั้นมันได้แต่ใช้วิธีการเช่นนี้เก็บรวบรวมม้วนหยกวิชาค่ายกลด้วยตัวเอง สุดท้ายได้รับม้วนหยกวิชาค่ายกลมากมาย แต่จะอย่างไรม้วนหยกเหล่านี้เนื้อหากระจัดกระจายเป็นอย่างมาก ไม่ปะติดปะต่อ มิหนำซ้ำยังไม่เป็นระบบ

จั่วม่อก็ไม่ใช่คนพิรี้พิไร เมื่อมีม้วนหยกให้ศึกษาร่ำเรียนมากมายถึงเพียงนี้ มันก็พึงพอใจมากแล้ว

ในบรรดาม้วนหยกชั้นสูงมีเคล็ดวิชากระบี่อยู่เล่มหนึ่ง เรียกว่า ‘กระบี่บุปผาคราม’ นับเป็นเคล็ดวิชาชั้นยอดวิชาหนึ่ง เพียงแต่จัดอยู่ในฝั่งหยินและอ่อนหยุ่นเกินไป เหมาะกับอิสตรีเสียมากกว่า อยู่ในมือมันก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจั่วม่อตกลงใจยกเคล็ดกระบี่วิชานี้ให้แก่เสี่ยวกั่ว ศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องดูแลค้าขายทุกวี่วัน เวลานี้นางจึงยังไม่ได้ฝึกปรือเคล็ดวิชากระบี่

แต่เมื่อจั่วม่อไปยังยอดดอยตะวันออก กลับพบว่าเสี่ยวกั่วประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ด่านจู้จี เลื่อนชั้นขึ้นเป็นศิษย์ฝ่ายใน ทั้งยังสังกัดสาขาของสือฟ่งหรงเช่นเดียวกันกับมัน

จั่วม่อไม่เคยคาดคิดว่าแม่นางน้อยนี้จะกลับกลายเป็นศิษย์น้องหญิงสายตรงของมันเอง

ครั้นเมื่อจั่วม่อเสาะพบหุบเขาของนาง เห็นป้ายไม้ตัดเป็นรูปผลผิงกว่อ เขียนไว้ว่า ‘บ้านของเสี่ยวกั่ว’ มันก็อดแย้มยิ้มไม่ได้

ภายในหุบเขาของเสี่ยวกั่วไม่ได้ก่อตั้งอาคมหวงห้าม จั่วม่อเดินลอยชายเข้าไปอย่างสบาย

เมื่อเสี่ยวกั่วซึ่งกำลังฝึกปรือกระบี่หันมาพบจั่วม่อ นางอึ้งไปวูบหนึ่ง จากนั้นสีหน้าเบิกบาน ทักทายอย่างเหนียมอาย “ศิษย์พี่”

“อืม ไม่เลว” จั่วม่อชมเชยผ่านๆ อันที่จริงในสายตาของมัน เคล็ดวิชากระบี่ที่เสี่ยวกั่วฝึกปรือยังคงเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง เพียงมีภาพลักษณ์ที่สวยงามเท่านั้น มันส่งม้วนหยกเคล็ดวิชากระบี่บุปผาครามให้เสี่ยวกั่ว “นี่ให้เจ้า ฝึกฝนให้ดี”

มันถามไถ่สองสามคำ และตระหนักในทันที ซือฟู่ยังคงปิดด่านหลอมกลั่นโอสถ ไม่มีเวลาจะสั่งสอนเสี่ยวกั่ว

เห็นหยาดเหงื่อบนวงหน้ารูปผลผิงกว่อ จั่วม่อรู้สึกว่ามันจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ศิษย์พี่เสียแล้ว เริ่มชี้แนะนางนิดๆ หน่อยๆ หลังจากฝึกปรือเคล็ดวิชากระบี่มานาน แม้ว่าฝีมือมันไม่อาจเทียบเท่าศิษย์พี่เหวยเสิ้ง แต่จะอย่างไรบรรลุเจตจำนงกระบี่ถึงสองรูปแบบ ดวงตามันยังแหลมคมกว่าคนอย่างฉินเฉิงมาก

“รากฐานของเจ้าย่ำแย่ยิ่ง” เมื่อจั่วม่อกล่าวเช่นนี้ ดวงตาของเสี่ยวกั่วก็รื้นไปด้วยน้ำตา เพียงแต่ยังไม่ได้ร่ำไห้ออกมา

“อ้อ ต่อไปเจ้าสามารถมายังหุบเขาของข้าเพื่อฝึกกระบี่ หากข้ามีเวลา อาจช่วยดูให้เจ้าได้บ้าง” ประโยคถัดไปของจั่วม่อ ทำให้เสี่ยวกั่วแย้มยิ้มทั้งน้ำตา

 

ในลานน้อยลมตะวันตก จั่วม่อกำลังอาบแดด นั่งเอนกายอย่างสุขสบายบนเก้าอี้โยก สองตาหลับพริ้ม เก้าอี้โยกไปโยกมาเป็นจังหวะ ขณะที่มันกำลังขบคิดทบทวนถึงม้วนหยกที่จดจำไว้ในใจ ไม่ไกลจากมันมากนัก เสี่ยวกั่วคร่ำเคร่งฝึกปรือกระบี่เงียบๆ หยาดเหงื่อผุดพรายท่วมวงหน้าผลผิงกว่อน้อยๆ วงนั้น บนหลังคา นกโง่ยืนเชิดอย่างภาคภูมิ บางครั้งใช้จะงอยปากสีครามไซร้ขนขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะของตน

จั่วม่อประสบปัญหาในห้วงภวังค์ความคิดของมัน อารมณ์กลายเป็นขุ่นข้อง ลืมตาขึ้นมา เห็นนกโง่กับสีหน้าท่าทีเย่อหยิ่งมั่นใจ ยิ่งอารมณ์ย่ำแย่กว่าเดิม มันก้มเก็บก้อนหินบนพื้น ตวัดมือซัดใส่นกโง่บนหลังคา

“ช่างอวดโอ่เสียจริง!”

นกโง่กรีดร้องแหลม รีบกระพือปีกหลบหลีกก้อนหิน ส่งสายตาอันเต็มไปด้วยความดูถูกเดียดฉันท์มาให้จั่วม่อ

เสียงวุ่นวายเหล่านี้ทำเอาเสี่ยวกั่วแตกตื่นจนขวัญหาย แต่พอหันมามอง เห็นจั่วม่อชี้กราดพลางก่นด่าห่านหิมะจะงอยคราม ดวงตากลมโตของนางก็แย้มยิ้มจนหยีเป็นจันทร์เสี้ยว

สังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเสี่ยวกั่ว จั่วม่อกระแอมแห้งๆ สองสามคำ ตัดสินใจจะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของศิษย์พี่ เดินไปยืนข้างๆ เสี่ยวกั่ว สั่งสอนว่า

“เวลาฝึกปรือกระบี่เจ้าไม่ควรวอกแวก ต้องมีสมาธิมากกว่านี้ เพื่อให้สามารถ...”

เสี่ยวกั่วที่ด้านข้างแทบหัวร่อออกมา แต่นางไม่กล้าหัวร่อ สีหน้าจึงแปลกพิกลอยู่บ้าง จั่วม่อไม่ได้สังเกตเห็น มันยิ่งกล่าวยิ่งเพลิดเพลิน สุดท้ายส่ายศีรษะ ลอกเลียนเสียงของผูเยา สรุปว่า “จะมีสิ่งใดง่ายไปกว่าเคล็ดวิชากระบี่อีก? หาก...อ้อ หากเจ้าทดลองฝึกดูสักสองสามพันกระบี่ ไม่เข้าใจก็ไม่ได้แล้ว!”

กล่าวจบก็โบกมือ “ฝึกต่อไป ข้าจะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย” จากนั้นมันเดินออกจากหุบเขาลมตะวันตก

หลังจากวันนั้น เสี่ยวกั่วก็มายังสถานที่ของจั่วม่อทุกวันเพื่อฝึกปรือกระบี่ อาหารการกินของจั่วม่อก็ดีงามขึ้นทันตาเห็น น้ำแกงเนื้อร้อนกรุ่น กระยาหารปราณอันอุดมไปด้วยปราณธรรมชาติ ล้วนแล้วแต่เพิ่มความอยากอาหารของจั่วม่อขึ้นทุกวัน สิ่งเดียวที่มันรู้สึกขัดหูขัดตาอยู่บ้าง คือเจ้านกโง่มักจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วยทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้านกโง่ค้นพบว่า การแสร้งทำเป็นน่าสงสารต่อหน้าเสี่ยวกั่วนั้นได้ผลดียิ่ง มันก็ยิ่งไม่เกรงอกเกรงใจเข้าไปใหญ่ จั่วม่ออับจนปัญญา ไม่ทราบจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี

“จุ๊ จุ๊ รสชาติของนางจะต้องหวานละมุนไม่เบา!” เพียงเดินออกจากหุบเขา ผูเยาก็โผล่ออกมา มันเลียริมฝีปาก เหลียวมองเข้าไปในหุบเขาด้วยความโหยหาบางประการ

จั่วม่อเคยชินกับสีหน้าท่าทีเยี่ยงนี้ของผูเยาเสียแล้ว “ฮึ่ม บนภูเขาสุญตานี้มีผู้คนมากมายปรารถนาจะสับสังหารอสูรปิศาจเยี่ยงเจ้า หากเจ้าไม่กลัวตาย ก็ลองดู!”

“พวกมันหาข้าไม่พบหรอก” ผูเยามั่นอกมั่นใจยิ่ง

“หากเจ้ารับประทานนาง ข้าก็ไม่มีอะไรรับประทาน เช่นนั้นข้าจะขอตายพร้อมกับเจ้า” จั่วม่อเลียริมฝีปากของมันเช่นกัน ฝีมือทำอาหารของเสี่ยวกั่วไม่เลวเลยจริงๆ

“ฮึ่ม ไม่รับประทานนางก็ได้ แต่เจ้าไม่อาจปล่อยให้ข้าต้องหิวโหย” ผูเยาแค่นเสียง “ข้าต้องการดวงวิญญาณ!”

“เจ้าไม่ได้บอกว่าภูตหยินในถ้ำกระบี่ต้องการเวลาในการก่อรูปร่างหรอกหรือ?” จั่วม่อยักไหล่เลียนแบบผูเยา

ผูเยาเผยสีหน้ากระหายอยากอีกครั้ง กล่าวว่า “ถึงวันนี้สมควรมีที่พอใช้ได้บ้างแล้ว ลองไปล่ากันดูสักรอบสองรอบเถอะ เติมเต็มความอยากของข้า!”

กล่าวจบ โดยไม่รอให้จั่วม่อได้ทันกล่าววาจา ผูเยาซัดจิงสือหลายชิ้นลงบนพื้น แสงสว่างวาบ หนึ่งคนหนึ่งอสูรก็หายวับไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด