ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 152 ก้าวเข้าสู่ระดับสาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 154 กระอักเลือดด้วยความโกรธ

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 153 มนุษย์ป้า


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 153 มนุษย์ป้า

"เขาก้าวเข้าสู่ระดับสาม!"

"นี่เป็นกลิ่นอายระดับสามจริงๆ ทะเลวิญญาณสีขาวประกายเงิน ไม่ผิดแน่!"

บรรยากาศภายในห้องโถงกลายเป็นเคร่งขรึม

ผู้นำตระกูลนั่งอยู่ตรงกลางโดยมีผู้อาวุโสมากมายนั่งเรียงแถวอยู่ข้างซ้ายและขวา

ทุกคู่สายตาจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่กลางห้องด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

แน่นอนว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือฟางหยวน

"ฟางหยวนก้าวเข้าสู่ระดับสามได้จริงๆ"

"หากข้าไม่เห็นกับตา ข้าจะไม่มีวันเชื่อ..."

"ไม่ใช่ว่าเขามีพรสวรรค์นภาที่สามงั้นหรือ? แล้วเหตุใดเขาจึงสามารถทะลวงระดับได้อย่างกะทันหัน?"

"แท้จริงแล้วไม่สามารถกล่าวว่ากะทันหัน เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขาครอบครองวิญญาณรากพฤกษาทองแดงถึงสองดวง"

"ถูกต้อง มันเป็นเพราะวิญญาณรากพฤกษาทองแดง พวกมันช่วยยกระดับให้เขา คิดย้อนกลับไปหากข้าสามารถครอบครองมัน...เห้อ..."

กลุ่มผู้อาวุโสทั้งหลายล้วนประหลาดใจและตื่นตระหนก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

'ฟางหยวนสามารถก้าวเข้าสู่ระดับสาม พรสวรรค์เพียงนภาที่สาม แต่กลับสามารถทะลวงระดับได้ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ มันน่าประหลาดใจจริงๆ' โม่เฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านซ้ายตัวแรกกล่าวและช่วยไม่ได้ที่จะคิดไปถึงช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมา ในช่วงที่ฟางหยวนยังอยู่ในสถานศึกษา เขาสังหารคนรับใช้บางคนที่โม่เฉินเองก็ลืมชื่อไปแล้วและยังหั่นศพโยนทิ้งไว้ที่ประตูหลังคฤหาสน์สกุลโม่อีกด้วย อย่างไรก็ตามนี่เป็นสิ่งที่ทำให้โม่เฉินรู้สึกประทับใจในตัวฟางหยวน

ฟางหยวนกลายเป็นดาวดวงใหม่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดคาดหวังเกี่ยวกับการบ่มเพาะของเขามากนัก

แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มผู้นี้กลับสามารถประสบความสำเร็จได้จริงๆ

ตามกฎของตระกูล ผู้ใช้วิญญาณที่บรรลุระดับสามจะกลายเป็นผู้อาวุโสคนใหม่ทันทีและผู้อาวุโสคนใหม่ก็จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

'หากข้ารวดเร็วกว่านี้และสามารถคว้าเขาเข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกัน ข้าจะได้รับประโยชน์อย่างมากกับเรื่องนี้ เห้อ...น่าเสียดาย...' คิดถึงเรื่องนี้ โม่เฉินทำได้เพียงถอนหายใจและจ้องมองไปยังฟางหยวน

คู่แข่งของเขา ซื่อเหลียง นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านขวาตัวแรกด้วยใบหน้าที่มืดครึ้ม

'ฟางหยวนผู้นี้ย่อมต้องเก็บความลับบางอย่างเอาไว้ แม้เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากวิญญาณรากพฤกษาทองแดงถึงสองดวง แต่มันไม่สามารถช่วยให้เขาก้าวเข้าสู่ระดับสามได้รวดเร็วเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่แม้แต่ฉิงซูยังไม่สามารถ' อวี๋โป้คิด

เมื่อคิดไปถึงฉิงซู ช่วยไม่ได้ที่อวี๋โป้จะต้องถอนหายใจออกมา

หากฉิงซูยังมีชีวิตอยู่ เวลานี้เขาอาจก้าวเข้าสู่ระดับสามแล้วเช่นกัน แต่น่าเสียงดาย ความจริงมักโหดร้ายเสมอ

"ผู้อาวุโสห้องโถงพยาบาลเหยาจี้มาถึงแล้ว" ในจังหวะนี้ที่หน้าประตูห้อง บางคนประกาศออกมาเสียงดัง

หลังจากเสียงประกาศจบลง หญิงชราผู้หนึ่งจึงเดินผ่านประตูเข้ามาในห้องประชุมด้วยหน้าที่ซีดขาวและริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ภายใต้เปลือกตาที่หย่อนคล้อย ดวงตาคู่นั้นจ้องมองฟางหยวนราวกับกริชอันแหลมคม

เหยาจี้กล่าวเสียงดังขณะที่ก้าวเท้าเข้ามา "ฟางหยวน ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าก้าวเข้าสู่ระดับสาม ข้าต้องตรวจสอบทะเลวิญญาณของเจ้าด้วยตัวข้าเอง!"

ปกติแล้วทะเลวิญญาณถือเป็นความลับที่สำคัญของผู้ใช้วิญญาณ แล้วพวกเขาจะปล่อยให้ผู้อื่นตรวจสอบได้อย่างไร?

ฟางหยวนหมุนตัวกลับไปทางเหยาจี้ที่เดินมาจากด้านหลังพร้อมกับเย้ยหยัน "ผู้ใช้วิญญาณเหยาจี้ เจ้ามีสิทธิตรวจสอบทะเลวิญญาณของข้างั้นหรือ?"

ย้อนกลับไป เมื่อครั้งที่ฟางหยวนพึ่งเริ่มต้นการบ่มเพาะ ทะเลวิญญาณของเขาถูกตรวจสอบโดยอาจารย์อาวุโส แต่ตอนนี้มันกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามและมีสถานะเท่าเทียมกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์อาวุโสหรือผู้อาวุโสห้องโถงพยาบาล

นอกจากนั้นมันยังเป็นเรื่องง่ายดายมากในการตรวจสอบระดับการบ่มเพาะของคนผู้หนึ่ง

เพียงกลิ่นอายของทะเลวิญญาณสีเงิน มันก็สามารถบ่งบอกได้อย่างชัดเจนแล้วว่าเขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสาม

"บังอาจ! กล้าเรียกข้าด้วยชื่องั้นหรือ?" ดวงตาของเหยาจี้เบิกโตขึ้น "เหตุใดข้าจะไม่สามารถตรวจสอบเจ้าด้วยตัวข้าเอง ข้ามีสถานะเป็นผู้อาวุโสห้องโถงพยาบาลและยังเป็นผู้อาวุโสของเจ้า ข้ามีสิทธิ์จะทำเช่นนั้น!"

"ฮืม มนุษย์ป้า! เรียกเจ้าด้วยชื่อก็ถือเป็นการให้เกียรติเจ้าแล้ว ข้ายังไม่ได้สะสางบัญชีกับเจ้า เจ้าไม่พอใจข้าที่ข้าไม่ขายหนอนสุราให้กับเจ้าและยังต้องการฉกชิงโสมเก้าชีวิตของข้าไป  ฮืม ข้าต้องการแลกเปลี่ยนวิญญาณหญ้าหอม แต่เจ้ากลับใช้อำนาจมืดขัดขวางข้า ตอนนี้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับสามเรียบร้อยแล้ว มันจะดีกว่าหากเจ้าหยุดประจานตนเอง!"

ฟางหยวนหรี่ตามองและกล่าวถ้อยคำที่เชือดเฉือนราวกับใบมีดอันคมมีด คำพูดของเขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความเกลียดชังที่มีต่อเหยาจี้

หากเขากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมาในช่วงเวลาที่ยังเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งหรือสอง เขาจะต้องถูกหยุดยั้งหรือถูกโจมตีทันที อย่างไรก็ตามเมื่อเขากลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสาม สถานการณ์จึงแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลเรียบร้อยแล้ว

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวผู้อาวุโสคนอื่นๆใช้กลยุทธ์ รอและเฝ้ามอง เท่านั้น

สำหรับชนชั้นสูง แม้บางคนจะไม่ฉลาดมากนัก แต่ด้วยประสบการณ์ทางการเมือง พวกเขาจึงเข้าใจว่าควรรับมือกับสถานการณ์ต่างๆอย่างไร

ผู้อาวุโสเหล่านี้ยังไม่รู้จักฟางหยวนมากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้โอกาสนี้ในการสังเกตและรวบรวมข้อมูล

"สารเลว! เจ้ากล้าให้ร้ายข้างั้นหรือ?" เหยาจี้โกรธจัดเมื่อได้รับความอัปยศที่ฟางหยวนมอบให้ แม้มันจะเป็นเรื่องจริง แต่เธอจะสามารถยอมรับต่อหน้าทุกคนได้อย่างไร?

ผู้อาวุโสทั้งหมดติดตามสถานการณ์อยู่อย่างเงียบๆ แม้หลายคนจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามในทางการเมือง ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร มันมีเพียงเรื่องของผลประโยชน์เท่านั้น

เมื่อได้ยินเสียงของเหยาจี้ ฟางหยวนหัวเราะเสียงเย็นแต่เลือกที่จะไม่ตอบ

เสียงของหญิงชราดังกังวานอยู่ในห้องโถง แต่ความเงียบงันที่ตอบกลับมาทำให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านเมื่อเธอรู้สึกราวกับยื่นอยู่เพียงลำพัง

มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป!

สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม!

หากฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งหรือสอง เหล่าผู้อาวุโสจะกระโจนไปยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเหยาจี้และลงโทษฟางหยวนทันที เพราะอำนาจของชนชั้นสูงไม่สามารถถูกท้าทายโดยตัวตนระดับล่าง

อย่างไรก็ตามเมื่อฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสาม แม้ผู้นำตระกูลยังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ตำแหน่งของเขาในฐานะผู้อาวุโสก็ถูกจัดตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างเขากับเหยาจี้จึงถือเป็นข้อพิพาทระหว่างผู้อาวุโส

ฟางหยวนกลายเป็นผู้อาวุโสรุ่นใหม่และยังไม่มีเบื้องหลังใดๆ แต่นี่กลับเป็นข้อได้เปรียบของเขาเพราะเขาไม่มีสิ่งใดให้เสีย ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิ่งใดต้องกลัว

ในทางตรงข้าม เหยาจี้เป็นผู้อาวุโสห้องโถงพยาบาลและมีสถานะสูงส่ง สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นจุดอ่อนของเธอ

เธออายุมากแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถสูญเสีย ทายาทสืบทอดของเธอพึ่งหายสาบสูญ ทรัพย์สินจำนวนมากของเธอยังเป็นสิ่งดึงดูดความโลภของผู้คน

มันอาจไม่เลวร้ายนักหากเป็นช่วงเวลาปกติ แต่ตอนนี้ตระกูลตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต กระทั่งผู้อาวุโสยังสามารถตกตายได้อย่างง่ายดาย

มันเป็นช่วงเวลาที่คนรุ่นใหม่จะปีกป่ายขึ้นไปขณะที่คนเก่าแก่จะถูกดึงลงมา

นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่าน มีผู้อาวุโสไม่มากนักที่สามารถอยู่รอดปลอดภัย กระทั่งผู้นำตระกูลยังสามารถร่วงหล่น

ในประวัติศาสตร์ของตระกูลแสงจันทร์ มีผู้นำตระกูลตายเพราะภัยพิบัติคลื่นหมาป่าไม่น้อย

สำหรับผู้อาวุโส ไม่มีสิ่งใดสามารถรับประกันความปลอดภัยของพวกเขา ดังนั้นหากไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ขนาดใหญ่ พวกเขาจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับการต่อสู้ของผู้อื่น

เหยาจี้รู้สึกถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้นเรื่อยๆ

ภายในห้องโถงกลายเป็นเงียบสนิท

เนื่องจากเรื่องการหายตัวไปของเหยาลี่ เธอจึงไม่ได้นอนมาหลายวัน ขณะนี้เมื่อเธอยืนอยู่ที่นี่ เธอรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นกดทับหัวใจของเธอเอาไว้และมันก็เป็นเหตุให้เหงื่ออันเย็นเยียบไหลลงมาจากหน้าผากของเธออย่างช่วยไม่ได้

เธอรู้สึกราวกับหมาป่าแก่ๆที่พิการกำลังยืนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางฝูงหมาป่าที่แข็งแรง

ไม่เว้นแม้แต่ฟางหยวนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ เขาไม่ต่างจากหมาป่าหนุ่มที่เต็มไปด้วยพลังงานและความทะเยอทะยาน

ดังคำกล่าวที่ว่า คลื่นลูกเก่าผ่านไป คลื่นลูกใหม่ย่อมผ่านเข้ามาแทนที่!

ขณะนี้เหยาจี้รู้สึกได้ว่า เธอแก่แล้วจริงๆ แก่มากๆ

เปลือกตาของเธอค่อยๆหย่อนคล้อยลงมาพร้อมกับกลิ่นอายที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ

แต่ในจังหวะนี้ภาพของเหยาลี่กลับปรากฏขึ้นในใจของเธออย่างกะทันหัน

เธอเบิกตาขึ้นอีกครั้งก่อนกล่าว "ฟางหยวน เหตุใดเจ้าจึงได้หายตัวไปในช่วงสามวันที่ผ่านมา เพราะเจ้าไม่แสดงตัว ชื่อของเจ้าจึงถูกเขียนไว้ในรายนามผู้ใช้วิญญาณที่เสียชีวิต เจ้าหายตัวไปในสนามรบ แต่สามวันต่อมาเจ้ากลับกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสาม มันเกิดสิ่งใดขึ้นในช่วงเวลานี้ ข้าเชื่อว่าทุกคนต้องการคำอธิบายจากเจ้า"

เมื่อรู้ว่าตนเองไม่สามารถสร้างปัญหาให้แก่ฟางหยวน น้ำเสียงของเหยาจึ้จึงเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามคำกล่าวของเธอยังแสดงให้เห็นถึงความเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน

หลังจากทั้งหมด เธอเป็นนักการเมืองที่เจนจัดผู้หนึ่ง

ดวงตาของเหล่าผู้อาวุโสส่องประกายขึ้นเมื่อได้ยินคำถามนี้ ชัดเจนว่าทุกคนสนใจ เพราะไม่มีผู้ใดไร้เดียงสา พวกเขาต่างรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่ฟางหยวนสามารถก้าวเข้าสู่ระดับสามได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

ดังนั้นด้วยประโยคเหล่านี้ของเหยาจี้ มันจึงทำให้เหล่าผู้อาวุโสกลับมายืนอยู่ข้างเธออีกครั้ง

อย่างไรก็ตามเมื่อฟางหยวนกล้ามายืนอยู่ตรงนี้ เป็นธรรมชาติที่เขาย่อมต้องเตรียมตัวมาอย่างดี

ภายใต้การจ้องมองของทุกคน ฟางหยวนเงยหน้าขึ้นและหัวเราะออกมา "ยายแก่ สิ่งที่เจ้าอยากรู้ ข้าต้องตอบงั้นหรือ? อย่างไรก็ตาม...ได้ยินข่าวเกี่ยวกับการตายที่น่าเศร้าของหลานสาวสุดที่รักของเจ้า ข้าจะบอกความจริงบางอย่างเป็นการปลอบใจเจ้าเล็กน้อย ระหว่างไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าปิดประตูฝึกตนอยู่ในคฤหาสน์ของผู้อาวุโสซื่อเหลียงและพยายามทะลวงเข้าสู่ระดับสาม เรื่องนี้ผู้อาวุโสซื่อเหลียงสามารถรับรองให้ข้าได้"

"กระไรนะ?" เหยาจี้สะดุ้งตกใจอย่างที่สุด

ผู้อาวุโสคนอื่นๆก็ตกใจไม่ต่างกัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนก่อนจะเร่งหันหน้ามองไปยังผู้อาวุโสซื่อเหลียงที่นั่งอยู่ด้วยใบหน้ามืดครึ้ม

สกุลซื่อเป็นหนึ่งในสองกองกำลังที่มีอิทธิพลมากที่สุดของตระกูลแสงจันทร์ แต่เวลานี้ซื่อเหลียงกลับถูกบังคับให้อธิบายเรื่องราวด้วยความไม่เต็มใจ "เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข้าสามารถยืนยันได้ว่าฟางหยวนปิดประตูฝึกตนอยู่ในคฤหาสน์ของข้าในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา"

เมื่อคำพูดเหล่านี้หลุดออกมาจากปากของซื่อเหลียง ห้องโถงแห่งนี้จึงเกิดความโกลาหลขึ้นทันที

"ซื่อเหลียงมีความสัมพันธ์กับฟางหยวนจริงๆ"

"ความก้าวหน้าของฟางหยวนแท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับซื่อเหลียงงั้นหรือ?"

"มันมีความเป็นไปได้สูงมาก ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงตัวตนที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังฟางหยวน แต่แท้จริงแล้วมันคือฝ่ายสกุลซื่อ!"

"บางทีเหตุผลที่การบ่มเพาะของฟางหยวนก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วก็เป็นเพราะเขาได้รับทรัพยากรจากสกุลซื่อ ฟางหยวนเป็นพี่ชายของฟางเจิ้ง การกระทำของผู้อาวุโสซื่อเหลียงมีความหมายลึกซึ้งนัก"

ผู้อาวุโสบางคนซุบซิบ ขณะที่ความคิดของบางคนถูกพลิกคว่ำ

"ปรากฏว่าฟางหยวนไม่ใช่เด็กที่แยกตัวลำพัง แต่กลับได้รับความช่วยเหลือจากสกุลซื่อ เราจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมากในอนาคต"

"โชคดีที่เราไม่เข้าไปยุ่งกับการต่อสู้ระหว่างฟางหยวนกับเหยาจี้"

"เหยาจี้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจริงๆ เดิมทีเธอต้องการจัดการผู้อาวุโสที่ไร้สังกัด แต่เธอย่อมไม่คาดคิดว่าเบื้องหลังของเขาจะเป็นฝ่ายสกุลซื่อ"

ใบหน้าของเหยาจี้กลายเป็นซีดเผือดเมื่อเธอได้ยินคำยืนยันจากซื่อเหลียงและมันก็ช่วยไม่ได้ที่ร่างกายของเธอจะสั่นเทาอย่างไม่หยุดหย่อน

การต่อสู้กับผู้อาวุโสที่ไร้สังกัดจะเปรียบเทียบผู้อาวุโสที่ได้รับการสนับสนุนจากสกุลซื่อได้อย่างไร? นี่เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง