ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 002 – โคตรซวย

ตอนที่ 001 – การกลับชาติมาเกิด


“นายน้อย นายน้อย คุณตื่นออกมารับประทานอาหารเช้าได้แล้วครับ”

เสียงของชายแก่สะท้อนไปมาในหูของ เจ่าไห่ แต่เจ่าไห่ไม่ได้สนใจกับเสียงเหล่านั้น เพราะตอนนี้เขารู้สึกปวดหัวอย่างมากเขาคิดว่าเขาคงจะลืมปิดคอมพิวเตอร์ และเสียงที่ได้ยินก็คงเป็นเพียงบทสนทนาส่วนหนึ่งในละคร

แต่เสียงเหล่านั้นก็คงยังดังต่อไป: “นายน้อย คุณควรลุกออกจากเตียงได้แล้วครับ ในฐานะที่เป็นขุนนางการตื่นเช้าเป็นนิสัยที่ดีนะครับ”

เจ่าไห่รู้สึกมึนงง เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นให้ความรู้สึกว่าไม่ได้มาจากคอมพิวเตอร์ที่เปิดทิ้งไว้ และน้ำเสียงดูสมจริงเกินไปจากลำโพงที่เสียของเขา

แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกปวดหัว แต่เจ่าไห่จำเป็นต้องลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่เพดานสีขาวในบ้านของเขา แต่หลังคาที่ผู้ติดกับผ้ามัสลิน <ผู้แปล : นึกถึงเตียงนอนแบบหรูหรานะครับ ที่จะมีผ้าม่าน>

เจ่าไห่รู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเขาหันศีรษะ เขาก็พบว่าตัวเขานั้นนอนอยู่บนเตียงไม้ขนาดใหญ่ และถัดจากเตียงของเขามีชายแก่วัย 50ปี ผมหงอกที่มีใบหน้าเคร่งขรึม มองมาที่เขาอย่างเป็นมิตร

เจ่าไห่มองไปที่ชายแก่ที่ใบหน้าเคร่งขรึมอย่างสงสัย และกวาดสายตามองไปยังรอบๆ นี้เป็นบ้านหินที่สร้างออกมาด้วยความเรียบง่าย นอกจากเตียงขนาดใหญ่ที่เขานอนอยู่ ก็มีโต๊ะและเก้าอี้เป็นที่เป็นเฟอร์นิเจอร์เท่านั้น พื้นและผนังนั้นดูเหมือนว่าพึ่งจะถูกทำความสะอาดไปไม่นาน ส่วนหน้าต่างนั้นก็ทำมาจากไม้ และหินเหนือหัวเขาเป็นสิ่งที่คอยให้แสงสว่าง และนอกจากนั้นไม่ก็มีสิ่งของใดๆอีกแล้วในห้องนี้

ตอนนี้ชายแก่พูดขึ้นมาว่า: “นายน้อย ตอนนี้คุณไม่เป็นไรแล้ว ลุกออกมาจากเตียงเถอะครับ การเป็นขุนนางนั้นควรมีระเบียบวินัย ตอนนี้ก็ถึงเวลาอาหารเช้า นายน้อยควรตื่นไปรับประทานอาหารได้แล้วครับ”

เจ่าไห่หันไปมามองที่ชายแก่ ทันใดนั้นเองก็เหมือนกับมีประกายความคิดวิ่งผ่านเข้ามา!  สิ่งที่เขารู้สึกได้คือหัวของเขาเหมือนกับจะระเบิดออกมา และเขาไม่สามารถที่จะทนความเจ็บนี้ได้อีกแล้ว ทำให้เขาสลบไป

กรีน บูดามองไปที่เจ่าไห่ที่หมดสติ เขาตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและรีบวิ่งไปข้างนอก ข้างนอกบ้านนั้นมีคนอยู่สี่คน ชาย 2 คน และผู้หญิง 2 คน ชายทั้งสองคนนั้นยังเป็นวัยรุ่นอยู่ แต่แต่ส่วนสูงของเขานั้นกลับสูงมากกว่า 2 เมตรพร้อมกับมัดกล้ามเนื้อที่ใหญ่โต สีผิวของพวกเขานั้นออกจะคล้ำๆ และผมสั้น ทั้งสองนั้นเป็นฝาแฝดกัน ซึ่งหน้าตาของพวกเขานั้นดูเหมือนพวกไม่ค่อยมีสมองซักเท่าไหร่

ส่วนผู้หญิงสองคน มีคนหนึ่งที่ดูแก่กว่า อายุราว 40 ปีพร้อมกับรูปร่างที่อวบเล็กน้อย พร้อมกับผมสีน้ำเงิน พร้อมด้วยทางท่าที่ดูเป็นกังวล

ส่วนหญิงสาวอีกคนเป็นวัยรุ่นอายุราว 16 – 17 ปี ผมยาวสีฟ้า มีใบหน้ารูปไข่ห่านดูน่ารัก เธอมีรูปร่างที่ดูดีและมีผิวพรรณสุขภาพดี จัดได้ว่าความงามของเธอนั้นหาได้ยาก สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความตกตะลึง

เมื่อหญิงสูงอายุเห็นกรีนบอกมาจากห้องจึงถามว่า “กรีนเกิดอะไรขึ้น? นายน้อยตื่นขึ้นหรือยัง?”

กรีนพยักหน้าแล้วส่ายหัว:

“เขาตื่นขึ้นมา แต่ตอนนี้เขาสลบไปอีกแล้ว เมอร์ลิน, เวทมนตร์เธอไม่ได้ผลงั้นหรือ? หรือปัญหาอยู่ที่ยาพวกนั้น? มีใครทำอะไรบางอย่างกับยาหรือป่าว?”

เมอร์ลินแสดงสายตาที่เย็นชาออกมา: “ถ้ามันเป็นแบบนั้นละก็ ฉันจะไปฉีกเจ้าพวกนั้นเป็นชิ้นๆเลยค่อยดูสิ ถึงแม้ว่านายน้อยจะทำตัวไม่ดีไปบ้าง แต่เขาก็ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลบูดา เจ้าพวกราชวงศ์บ้านั้น อย่าบอกนะว่าลืมสิ่งที่ตระกูลเราเคยทำให้กับราชวงศ์ไปหมดแล้ว? ไอ้พวกเนรคุณ”

กรีนกล่าวว่าเคร่งขรึม: “เธอรีบเข้าไปดูจะดีกว่า ถ้านายน้อยอาการไม่ดีขึ้น ก็รักษาด้วยเวทย์น้ำซะ ไม่ว่ายังไงเราจะต้องรักษาทายาทคนสุดท้ายของตระกูลบูดาไว้ให้ได้”

เมอร์ลิน พยักหน้าแล้วมองที่กรีน: “ถ้านายน้อยอาการดีขึ้นแล้ว เจ้าไม่ต้องทำตามคำเรียกร้องอะไรจากพวกขุนนางอีก แค่พวกเรามาอยู่ที่นี้ ก็แทบเรียกว่ามาอยู่ในนรกแล้ว เวลามองไปที่ขุนนางพวกนั้น แค่นี้ฉันก็อยากจะอาเจียนออกมาแล้ว”

กรีนมองไปที่เมอร์ลินพร้อมสีหน้าที่ช่วยไม่ได้ แต่ยังคงเคร่งขรึมและกล่าวว่า “ไม่ต้องถามแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไง นายน้อยตอนนี้ก็มียศท่านเคาน์ เขาก็เป็นขุนนางเหมือนกัน ฉันจะเป็นคนสอนนายน้อยเองว่าขุนนางที่แท้จริงเป็นอย่างไร ฉันจะไม่มีว่าหันหลังให้ตระกูลบูดา ที่เคยช่วยเหลือพวกเรามา”

เมอร์ลินจ้องมองที่กรีน: “ถ้าเจ้ากล้าหันหลังให้นายน้อยละก็ ฉันจะไม่ทำอาหารให้ ปล่อยให้เจ้าอดตายไปเลยค่อยดูสิ ที่เราอยู่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทนอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน และพวกคนในเมืองหลวงอีก คิดเหรอว่านายน้อยจะมีโอกาสที่จะกลับไปอีก? ฝันไปเถอะ!!”

กรีนฝืนยิ้มออกไป และไม่พูดอะไรอีก เขารู้ว่าเมอร์ลินกำลังบอกความจริงที่ไม่อาจปฎิเสธได้ เหตุผลที่พวกเขาถูกขับไล่ออกมายังดินแดนที่แห้งแล้งนี้ก็เพราะ องค์จักรพรรดิ และพวกขุนนางทั้งหลาย ถ้าหากกำลังพลของตระกูลบูดาในอดีตนั้นเคยรุ่งโรจน์ และทำคุณประโยชน์กับจักรวรรดิไว้มากมาย ไม่แน่พวกเขาอาจถูกสั่งประหารทั้งตระกูลแล้วก็ได้

แม้ว่าตระกูลบูดานั้นยังคงอยู่แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะกลับไปเป็นขุนนางในเมืองหลวงของจักรวรรดิอีกครั้ง ผู้คนส่วนใหญ่พยายามที่จะลืมว่าเคยมีตระกูลนี้อยู่

แต่สิ่งที่ทำให้กรีนนั้นรู้สึกท้อแท้มาก และกลัวมากที่สุดก็คือการที่ตระกูลบูดาจะสูญสิ้น เพราะคำสั่งขององค์จักรพรรดิที่ให้นายน้อยทายาทคนสุดท้ายของตะกูลบูดา และความหวังเดียวที่จะทำให้ตระกูลยืดหยัดได้นั้นต้องดื่มน้ำแห่งความว่างเปล่า

น้ำแห่งความว่างเปล่าเป็นสมบัติเวทย์ขั้นสูง ที่แต่ละหยดนั้นไม่สามารถประเมินค่าได้ เพราะสิ่งที่มันทำได้ก็คือ การเปลี่ยนพลังทั้งหลายให้กลับคืนสู่ความว่างเปล่า

เพียงหยดเดียวสามารถเปลี่ยนนักเวทย์ที่มีพลังเวทย์ระดับศักดิ์สิทธิ์ หรือนักรบที่มีพลังต่อสู้ระดับศักดิ์สิทธิ์ หรืออัศวินขั้นสูง ให้กลายเป็นคนธรรมดาได้และไม่สามารถใช้พลังเวทย์ หรือพลังฉีได้ นอกจากนี้ยังไม่มีทางจะนำพลังกลับคืนมาได้

ถึงแม้ว่ายานี้จะแค่ทำให้คนไม่สามารถใช้พลังเวทย์ หรือพลังฉีได้ แต่มันจะไม่มีผลต่อร่างกายใดๆเลย

ถ้าใช้กับคนธรรมดามันก็เป็นเพียงแค่น้ำเปล่า แต่กับพวกขุนนางที่มีพลัง มันจะเปลี่ยนคุณให้กลายเป็นคนพิการทางพลังเวทย์ และพลังฉี เหมือนคนที่ตกจากสวรรค์ ส่งลงไปยังก้นหุบเหวเลยก็ว่าได้

และอดัม บูดาได้รับคำสั่งจากองค์จักพรรดิให้ดื่มยาที่ว่า ต่อไปนี้เขาจะเป็นได้เพียงแค่คนธรรมดา ไม่สามารถเรียนเวทมนตร์ หรือพลังฉีได้ตลอดชีวิต

ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตระกูลขุนนางอื่นๆ มันก็คงจะไม่เป็นไรกับการที่เป็นคนธรรมดา ใช้ชีวิต กิน และรอความตาย

แต่กับอดัมนั้นมันหมายถึงชีวิตของเขา เขาเป็นทายาทคนสุดท้ายของตระกูลบูดา เขาต้องการพลังที่จะกอบกู้ศักศรีของตระกูล ให้ถูกจารึกลงไปในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิอาร์ซู ตอนนี้เขาดื่นน้ำแห่งความว่างเปล่าไปแล้ว ไม่สามารถเรียนเวทย์มนต์ หรือพลังฉีได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฟื้นฟูตระกูล ความหวังสุดท้ายนั้นดับสิ้นแล้ว

ถึงแม้ว่าจะขาดพลัง แต่กรีนก็ยังไม่ละทิ้งความหวัง เขายังเป็นนักรบขั้นที่ 8 และภรรยาเขาเมอร์ลินยังเป็นนักเวทย์น้ำขั้นที่ 8 และหลานสาวของเขา เมกยังเป็นนักเวทย์ลมขั้นที่ 6  การมีอยู่ของพวกเขา ทำให้ตระกูลบูดายังมีพลังหากมีพวกเขา การจะกอบกู้ตระกูลบูดา ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ถึงแม้ว่ามันจะยากก็ตาม เพราะเดิมตระกูลบูดานั้นมีที่ดินในทางตอนใต้ของจักรวรรดิที่ครอบครองเมืองขนาดใหญ่ 1 เมือง และเมืองขนาดกลาง 4 เมืองที่มีประชากรจำนวนมาก และแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ตามเท่าที่เขาเก็บตัวเงียบและพยายามสร้างตัวไม่กี่ปี ก็พอจะกอบกู้ตระกูลได้บ้าง

แต่พวกเขาไม่เคยคาดหวังว่าจักรพรรดิจะเปลี่ยนทรัพสินของพวกเขาจากทางทิศใต้จักรวรรดิไปเป็นดินแดนทมิฬทางตอนเหนือ

ดินแดนทมิฬนั้นก็เหมือนกับดินแดนแห่งความตายของทวีป แม้ว่ามันจะเป็นกว้างใหญ่ครอบคลุมมากกว่าหนึ่งในสามของพื้นที่ของจักรวรรดิอาร์ซู แต่มันเป็นสถานที่ที่แห้งแล้ง ไม่มีอะไรที่สามารถเพาะปลูกอะไรได้ แม้แต่พืชที่สามารถโตในทะเลทรายได้ก็ไม่สามารถปลูกได้

ในตำนานเคยกล่าวไว้ว่าดินแดนทมิฬในอดีตนั้นเลยอุดดมสมบูรณ์ จนกระทั้งเกิดสงความระหว่าง นักเวทย์ระดับศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กัน และใช้เวลาต้องห้ามขนาดใหญ่จนทำให้ดินแดนทั้งหมดกลายเป็นดินแดนแห่งความตาม ไม่มีอะไรที่เติบโตขึ้นมาได้

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นดินแดนแห่งความตาย แต่กรีนก็ยังไม่กังวล ตราบใดที่พวกเขามีเส้นสายให้ติดต่อ พวกเขายังพอที่จะทำธุรกิจได้บ้าง แต่ดินแดนทมิฬนั้นล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่เป็นเคยเหมืองเหล็ก และอีกฟากฝั่งก็ยังเป็นแดนต้องห้ามซึ่งก็คือ บึงซากศพ บึงซากศพ ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในที่ดินของตระกูลบูดา ถ้าคำนวณที่ดินในครอบครองของตระกูลบูดาใหม่ก็ทำให้ ตระกูลมีพื้นที่ครอบครองใหญ่ที่ในในขจักรวรรดิอาร์ซู

นอกจากนี้ชายแดนเดียวที่ติดต่อกันได้คือ ดินแดนของตระกูลฟรานเซอร์ ถึงแม้ว่าตระกูลฟรานเซอร์ จะเคยหมั้นกับตระกูลบูดา แต่ด้วยสถานการณ์ของตระกูลบูดา จะมีสิทธิพูดเรื่องแต่งงานกับตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลฟรานเซอร์อย่างงั้นเหรอ? ที่แห่งนี้ไม่ใช่เพียงแดนแห่งความตายที่ไม่ได้มีแค่ชื่อเท่านั้น

แต่ก็ยังโชคดีที่ดินแดนแห่งนี้ในอดีตอยู่ในการควบคุมของจักรวรรดิทำให้ยังมีปราสาทขนาดเล็กถูกสร้างทิ้งไว้อยู่ในหุบเขานี้ ส่วนตัวภูเขานั้นไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเวทย์ต้องห้ามมากเท่าไหร่ จึงทำให้ยังพื้นที่บางส่วนพอจะเพราะปลูกทำให้พวกเขาไม่อดตาย

หลังจากที่กรีนรู้ว่าที่ดินของตระกูลนั้นถูกเปลี่ยนกับดินแดนแห่งนี้ เขาจึงนำทรัพย์สินของตระกูลบูดานั้นไปแลกกับ ทาส และสิ่งต่างๆ ที่จะทำให้พวกเขาอยู่รอดได้ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพืชหรืออุปกรณ์ต่างๆ ทันทีที่เขาได้ตัวอดัมที่หมดสติไปหลังจากดื่มน้ำแห่งความว่างเปล่าไปแล้ว เขาก็ตรงดิ่งมายังที่นี้ทันที พวกเขาถูกทอดทิ้งจากจักรวรรดิไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมีชีวิตอยู่

ต่อไปนี้จะมีแค่กรีน รวมถึงภรรยาของเขาเมอร์ลิน หลานสาวของเขาเมก และฝาแฝดที่ถูกอุปการะโดยท่านพ่อของอดัม บล็อค และร็อค บวกกับทาสอีก 100 ชีวิต

อดัมนั้นหมดสติตลอดการเดินทางจากจักรวรรดิจนมาถึงดินแดนทมิฬนี้ โชคดีที่เมอร์ลินนั้นเป็นนักเวทย์ ยังพอที่จะดูแลอดัมได้โดยใช้เวทย์มนต์ จนทำให้อดัมนั้นยังอยู่รอดมาได้ นอกจากนี้เมื่อวานเธอได้ดูอาการของอดัมแล้ว คาดว่าอดัมจะตื่นขึ้นมาในวันนี้ นั้นทำให้กรีนบอกให้อดัมนั้นลุกออกจากเตียง แต่พวกเขาคงจะไม่ได้คาดคิดไว้ว่าอดัมที่นอนอยู่นั้นตอนนี้ไม่ใช่อดัมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเด็กเนิร์ดจากโลกที่สวมร่างของอดัม เจ่าไห่

จบบทแล้วนะครับ ขอบคุณที่ติดตามนะครับ บ๊าย...บาย

https://www.facebook.com/ไปสร้างฟาร์มที่ต่างโลกกันเถอะ-589977038117446

ฝากเพจด้วยนะครับ กดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจด้วยนะครับ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด