ตอนที่แล้วตอนที่ 56 – มองหน้ากันไม่ติด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 58 – รอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 57 – ป้อมปราการมอนเตเนโก


ป้อมปราการที่ตั้งตระหง่านอยู่เงียบๆที่ปลายทางของหุบเขาที่ถูกหลงลืม ป้อมปราการนี้นั้นถูกสร้างจากหินดำซึ่งกำแพงนั้นสูงกว่า 40 เมตร และครอบคลุมยาวทั้งหุบเขาไว้

ทั้งป้อมปราการนั้นเหมือนกับกับกำแพงเหล็ก ซึ่งหากใครที่จะต้องการผ่านหบุเขาแห่งนี้แล้ว ก็ต้องผ่านป้อมปราการมอนเตเนโกเท่านั้น

แต่เมื่อคุณเขาไปใกล้ๆกับป้อมปราการแห่งนี้แล้ว คุณก้รู้ได้ว่ามันไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่คิดเพราะมันเป็นภาพของป้อมปราการที่ทรุดโทรมที่เต็มไปด้วยความเสียหายและไร้การดูแลเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน

ตระกูลเพอร์เซลล์นั้นได้สร้างป้อมปราการนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะปกป้องสัตว์อสูรที่จะบุกผ่านทางหุบเขาที่ถูกลืมไปยังเขตแดนของตระกูลเพอร์เซลล์เท่านั้น ซึ่งป้อมปราการนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมากว่าร้อยปีแล้ว แต่มันก็ไม่เคยมีการบุกของสัตว์อสูรที่อยู่ในแดนทมิฬออกมาเลย จึงทำให้ป้อมนี้ถูกทอดทิ้งไร้การดูแล ซึ่งแม้ว่าจะมีทหารมาประจำการแต่พวกเขาก็แค่มารักษาความสงบและจัดระเบียบสถานที่แห่งนี้

แม้ว่าป้อมปราการมอนเตเนโกแห่งนี้จะไม่ได้มีทหารประจำการอยู่มากมาย แต่ก็ไม่อาจที่จะดูถูกพลังการรบได้เลย เพราะที่นี้นั้นเต็มไปด้วยนักผจญภัยและทหารรับจำนวนมาก

แต่อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของคนเหล่านี้ก็ทำให้ป้อมปราการมอนเตเนโกนั้นอยู่ในความวุ่นวาย ซึ่งทำให้ทหารนั้นต้องคอยมาปราบปรามนักผจญภัยและทหารรับจ้าง ซึ่งเมื่อเกิดการเผชิญหน้ากันของทั้งสองฝ่าย กำลังของฝ่ายทหารก็เห็นว่าอ่อนแอได้อย่างชัดเจน

ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ป้อมปราการแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ตั้งของกลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่หลายกลุ่ม และยังมีพ่อค้าในป้อมแห่งนี้ ซึ่งตัดสินใจว่าจะไม่ก้าวก่ายกันและกัน ซึ่งทำให้พวกเขานั้นอยู่กันได้อย่างสงบสุข

ด้วยเหตุนี้เองทำให้ตระกูลเพอร์เซลล์นั้นไม่ได้รับภาษีจากป้อมปรากการแห่งนี้ ซึ่งทำให้ตระกูลเพอร์เซลล์นั้นไม่ให้เงินในการซ่อมแซมกำแพง และค่อยๆกลายเป็นสวรรค์ของทหารรับจ้าง นักผจญภัยและผู้ลึ้ภัย

นี้เองก็เป็นผลมาจากแดนทมิฬด้วยเช่นกัน เนื่องจากว่ามันติดกับดินแดนที่ว่างเปล่าจึงทำให้กลายเป็นเมืองที่ปลอดภัยเพราะว่ามันล้อมรอบด้วยภูเขาและไม่มีศัตรูใดๆ ที่นี้ควรจะเป็นเมืองชายแดนสำคัญแต่มันกลับการเป็นพื้นที่ของตระกูลเพอร์เซลล์ที่ไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้เลย มันจึงกลายเป็นสถานที่ที่ค่อยๆถูกลืมออกไป

สำหรับกรีนแล้ว มอนเตเนโกนั้นเป็นป้อมปราการที่ไร้การป้องกันใดๆ

แน่นอนว่าเขานั้นไม่จำเป็นต้องเดินผ่านทางเข้าหลัก แต่สามารถแอบข้ามกำแพงไปได้อย่างง่ายดาย

ป้อมปราการมอนเตเนโกมีการพัฒนาทางพาณิชย์ที่ผิดปกติอย่างมาก ไม่ว่าจะร้านค้าอาวุธ ร้านขายยา และร้านวิเคราะห์อุปกรณ์นั้นอยู่ทั่วทุกห่ง แต่โรงเตี๊ยม โรงแรม ร้านอาหาร และร้านสินค้าบริโภคนั้นหาได้ยากมาก จึงทำให้ทั้งป้อมนั้นเต็มไปด้วยนักผจญภัยและทหารรับจ้างซึ่งมีคนธรรมดาเพียงน้อยนิด

ซึ่งมันไม่ได้เป็นเรื่องที่กังวลสำหรับกรีนเลย ไม่นานเขาพบร้านขายอุปกรณ์และซื้อเสื้อคลุมมนต์ดำพร้อมกับหมวกและไม้เท้า และซื้อชุดเกราะที่สวยงามสำหรับเขา แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าไหร่ แต่มันก็มีส่วนที่สำคัญที่สุด คือมันมีหมวกที่ปกปิดใบหน้าทั้งหมดของกรีน

ซึ่งแน่นอนว่าเสื้อคลุมเวทย์นั้นสำหรับเจ่าไห่ ซึ่งใช้สำหรับการปลอมตัวเป็นนักเวทย์มนตร์ดำของเจ่าไห่ซึ่งมันไม่แปลกเลยที่นักเวทย์มนตร์ดำนั้นจะใส่เสื้อคลุมทั้งตัว

ซึ่งทุกคนรู้ว่าเสื้อคลุมเวทย์มนตร์นั้นได้รับการพัฒนาผ่านรุ่นต่อรุ่น จนทำให้มีความสบายในการสวมใส่ และยังมีความสวยงามโดยเฉพาะนักเวทย์หญิง จนทำให้เสื้อคลุมเหล่านั้นเหมือนกับชุดๆหนึ่ง เมื่อเทียบกับนักเวทย์คนอื่นๆแล้ว กรีนเลือกเสื้อคลุมนักเวทย์มนตร์ดำที่หนาพร้อมกับหมวกใบใหญ่ที่ใช้ปกปิดใบหน้า

ซึ่งกรีนนั้นสวมใช้ชุดเกราะทั้งตัวพร้อมกับปกปิดใบหน้า ซึ่งทำให้เขานั้นเหมือนกับผู้ติดตามของนักเวทย์ เพราะนักเวทย์นั้นมีสถานที่สูงและโดยปกติแล้วคนเหล่านี้นั้นจะมีเงินไม่น้อย แม้ว่านักเวทย์นั้นจะไม่กลัวการต่อสู้ระยะประชิด แต่พวกเขาก็ยังมีคนติดตามที่จะค่อยช่วยพวกเขาในการต่อสู้อยู่ด้วย

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีนักเวทย์ที่มาพร้อมกับกลุ่มผู้ติดตาม

ซึ่งกรีนเองก็แต่งตัวเป็นนักรบที่ติดตามนักเวทย์ ซึ่งทำให้เขานั้นสามารถเดินไปไหนต่อไหนกับเจ่าไห่ได้โดยไม่มีข้อสงสัย

หลังจากที่ซื้อเครื่องแต่งกายเรียบร้อยแล้ว กรีนจึงไปซื้ออุปกรณ์สำหรับทหารรับจ้างรวมถึงกระเป๋าเป้

เพราะกระเป๋าเป้นั้นเป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับทหารจ้างและนักผจญภัย เพราะพวกเขานั้นมักจะออกเดินทางอยู่บ่อยครั้ง จึงจำเป็นต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆเพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ต่างๆเช่นเก็บอาหารหรือวัตถุดิบต่างๆ ของสำหรับตั้งแคมป์ ซึ่งนี้เองจึงเป็นที่มาของกระเป๋าเป้นี้

ซึ่งจริงๆแล้วกรีนนั้นซื้อของเหล่านี้มาเพื่อปกปิดความสามารถมิติของเจ่าไห่ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้กังวลเรื่องที่จะเข้าออกป้อมปราการมอนเตเนโก เพราะที่แห่งนี้นั้นผู้คนจะสนใจแต่ตัวเอง และตระกูลเพอร์เซลล์เองก็ไม่อาจจะใช้อำนาจของตนที่นี้ได้ แต่ถ้าเป็นที่อื่นๆ มันคงไม่เรียบง่ายเช่นนี้ เพราะในพื้นที่อื่นๆนั้น ตระกูลเพอร์เซลล์นั้นมีการบริหารจัดการที่ดีอย่างมาก

กรีนนั้นอยากจะซื้อของบางอย่างเพิ่มแต่ว่าเขาก็ไม่มีเงินพอแล้ว แม้ว่าเขาจะมีคำสั่งซื้อหัวไชเท้าอยู่ แต่ก็อย่าลืมว่าเขานั้นยังไม่ได้ขายออกไป ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บไว้ยามจำเป็นบ้าง

เมื่อไม่ต้องสวมเกราะเงินที่แวบวาวที่ปกปิดใบหน้าของเขา กรีนก็เหมือนกับนักผจญภัยทั่วไปที่ดูกลมกลืนกันอย่างลงตัว มีผู้กล้าตายกว่าร้อยคนที่มาหาโอกาสในที่แห่งนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครที่สนใจเขาเป็นพิเศษ แต่กรีนเองก็ยังคงระวังตัวและค่อยๆเดินเข้าไปในภูเขาเขาเดินอ้อมไปมาจนแน่ใจว่าไม่มีใครตามเขา ก่อนจะไปยังตำแหน่งที่เขาทำสัญลักษณ์ไว้และทันใดนั้นประตูมิติก็เปิดขึ้นมา หลังจากนั้นกรีนก็เดินเข้าไป พร้อมกับประตูที่ปิดลงและทุกอย่างก็สงบนิ่ง

เจ่าไห่นั้นค่อยดูสถานการณ์ข้างนอกอยู่ ซึ่งอย่าลืมว่าเขานั้นสามารถเห็นพื้นที่ในบริเวณ 100 เมตรของเขาได้ ถึงทำให้เขานั้นรู้ว่ากรีนนั้นกลับมาแล้ว

เมื่อเห็นกรีนที่สะพายกระเป๋าขนาดใหญ่ เจ่าไห่ก็หยุดนิ่งและนึกถึงกระเป๋าสำหรับเดินเขาตอนอยู่บนโลก แม้ว่ามันจะไม่ได้ทำมาจากวัสดุเดียวกัน และไม่มีซิบแต่มันก็ยังมีรูปร่างคล้ายกับกระเป๋าเดินเขา

เจ่าไห่นั้นงงก่อนที่จะชี้ไปยังกระเป๋า “ปู่กรีน ทำไมคุณถึงซื้อสิ่งนี้มากันล่ะครับ?”

กรีนยิ้ม “ที่จริงพวกเรานั้นไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้ แต่มันใช้ในการปกปิดมิติเวลาเราเดินทางไปสถานที่ต่างๆ”

เจ่าไห่จึงเข้าใจความตั้งใจของกรีนในทันที “ใช่แล้ว ผมเกือบจะพลาดสินี้ไปเลย”

กรีนจึงหยิบไม้เท้าเวทย์มนตร์ออกมาให้เจ่าไห่ “นี้เป็นอาวุธสำหรับนักเวทย์ ผมเลือกจากความเบา เพราะนายน้อยนไม่มีแรงที่จะกวัดแกว่งมันมากนัก และในกระเป๋านี้ก็มีเสื้อคลุมสำหรับนายน้อยเพื่อปกปิดตัวตน”

เจ่าไห่นั้นรับไม้เท้าและกระเป๋ากลับมา เขาไม่รู้ว่าไม้เท้านี้ทำมาจากอะไร แต่มันเบาเหมือนกับไม้ไผ่ แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้สนใจไม้เท้าอะไรก็จะเก็บมันเข้าไปในกระท่อม

ในตอนแรกนั้น เจ่าไห่นั้นใส่ชุดสำหรับชนชั้นสูงที่เตรียมไว้ แต่เพราะว่ามันสวยงาม จึงทำให้เขานั้นใส่ไม่สะบาย ตัวอย่างเช่นครึ่งล่างที่เป็นเหมือนกับถุงน่องในยุกกลางตะวันตกซึ่งทำให้เขานั้นเคลื่อนไหวไม่สะดวก เมอร์รินนั้นรู้เรื่องนี้ดี เธอจึงไม่คัดค้านที่เจ่าไห่นั้นจะเริ่มใส่เสื้อผ้าเหมือนกับนักรบ ซึ่งมันสบายกว่าและง่ายต่อการเคลื่อนไหว

ตอนนี้ก็ถึงเวลาใส่เสื้อคลุมสีดำแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด