ตอนที่แล้วตอนที่ 53 – มันอาจะเป็นอย่างนี้ก็ได้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 55 – นักเวทย์มนตร์ดำ

ตอนที่ 54 – ต้นกล้า


แม้ว่าปราสาทจะสะอาดขึ้นอีกครั้งและไม่เปียกอีกด้วย ซึ่งก็ต้องขอบคุณเวทย์น้ำของเมอร์ริน เธอนั้นเป็นนักเวทย์ระดับแปด จึงทำให้เธอนั้นควบคุมน้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบ น้ำนั้นล้างเฉพาะสิ่งสกปรกออกไป จนปราสาทนั้นกลับมาแวบวาบอีกครั้งโดยที่ไม่มีอะไรเหลือเลยแม้แต่หยดน้ำซักหยด

หลังจากที่เมอร์รินทำความสะอาดปราสาทจนเสร็จสิ้นแล้ว เจ่าไห่ก็นำเสบียงและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่เก็บไว้ในมิติออกมา พร้อมกับข้าวโพดสำหรับทำอาหารพร้อมกับพวกทาสที่เหลือ เพราะอย่างไรก็ตามพวกเขานั้นต้องการของพวกนี้เพื่อดำรงชีวิต ซึ่งเมื่อนำสิ่งของออกมาแล้ว เจ่าไห่ก็ให้เม็กนั้นเป็นคอยจัดการสิ่งของที่เขานั้นนำออกมา เพื่อที่เจ่าไห่นั้นจะพาเมอร์รินนั้นไปยังหุบเขา เพื่อดูว่าในหุบเขานั้นกลายเป็นเหมือนกับพื้นที่อื่นๆในแดนทมิฬหรือไม่

ส่วนกรีนเองก็ต้องการที่จะไปหุบเขากับเจ่าไห่ด้วย ซึ่งถ้าหากหุบเขานั้นไม่ถูกสารพิษปนเปื้อนด้วย มันก็จะเป็นแหล่งเพราะปลูกชั้นยอดเลยล่ะ

จากนั้นเธอก็ใช้เวทย์น้ำนั้นพาพวกเขาไปยังหุบเขาผ่านทางทะเลสาบ ซึ่งเจ่าไห่เองก็ไม่สบายใจนัก เขานั้นกลัวว่าหุบเขานั้นจะกลายเป็นแบบพื้นที่ข้านอกที่กลายเป็นดินดำจนหมดไม่ต่างจากแดนทมิฬ

แต่เมื่อพวกเขานั้นไปถึงหุบเขาแล้ว เจ่าไห่ก็ถอนหายใจ มันเป็นไปตามที่เขานั้นคาดคิดไว้ ว่าพื้นดินในหุบเขาเองที่เดิมปรับปรุงแล้วก็กลับกลายเป็นเหมือนเดิม แต่เมื่อมองที่หุบเขาแล้ว เขาก็เห็นบางอย่างที่ผิดปกติ

นั้นคือ มันไม่มีรอยเท้าของสัตว์อสูร

ซึ่งมันเป็นข้อบ่งชี้ว่าสัตว์อสูรนั้นไม่ได้มาที่แห่งนี้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมหุบเขาถึงยังกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?

ในหัวของเจ่าไห่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย กรีนที่อยู่ข้างๆก็ถอนหายใจออกมา “ถ้าหากว่ามันไม่มีรอยเท้าแล้ว ก็อาจเป็นเพราะพวกสัตว์อสูรที่บินได้นั้นมาปล่อยพิษของมันที่นี้”

เมื่อได้ยินกรีนพูดเช่นนั้น เจ่าไห่ก็มองไปที่กำแพงของหุบเขาก็พบจุดดำกระจายกันไป ซึ่งดูเหมือนว่ากรีนนั้นจะพูดถูกแล้วว่าพื้นดินเหล่านี้นั้นถูกพิษสัตว์อสูรที่บินได้นั้นปนเปื้อนพื้นดินเหล่านี้

เจ่าไห่นั้นรู้สึกหดหู่ เนื่องจากว่าเขานั้นไม่ได้เผชิยปัญหาแค่เฉพาะสัตว์อสูรบนดิน แต่ยังต้องจัดการกับปัญหาของสัตว์อสูรที่บินได้ด้วย?

ในขณะที่มองไปรอบๆ เมอร์รินก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้นขึ้นมา “นายน้อย มองดูนั้นสิค่ะ!”

เจ่าไห่และกรีนนั้นไม่รู้ว่าเมอร์รินสั้นตื่นเต้นเรื่องอะะไร ก่อนที่จะเดินไปยังจุดที่เธออยู่ซึ่งพวกเขาก็ต้องตกใจกับมัน

เพราะตรงหน้าของพวกเขานั้นมีต้นกล้า ต้นกล้าของข้าวโพดที่เพิ่งปลูกไป

ในสายตาของคนอื่นมันอาจจะเป็นเพียงแค่ต้นกล้าเล็กๆ แต่อย่าลืมที่นี้คือแดนทมิฬซึ่งไม่สามารถที่จะปลูกอะไรได้ แล้วต้นกล้าที่เติบโตขึ้นมาได้ขนาดนี้มันไม่แปลกอย่างนั้นหรือ?

เมื่อมองไปที่ต้นกล้าแล้ว เจ่าไห่ก็สงสัย “มันเติบโตมาเป็นต้นกล้าได้ยังไง ในเมื่อพื้นดินมันกลายเป็นเช่นนี้แล้ว?”

เมอร์รินและกรีนเองนั้นก็ไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร เพราะพวกเขาก็ไม่รู้เช่นกัน เจ่าไห่จึงเริ่มขุดดินรอบๆต้นกล้าก็พบว่า พื้นผิวของมันเป็นดินดำก็จริง แต่ข้างใต้นั้นก็เป็นพื้นดินที่อุดสมบูรณ์ ซึ่งรากของมันก็หยั่งลึกลงไปอย่างแข็งแรง ทำให้มันสามารถอยู่รอดและเติบโตขึ้นมาได้

ทำให้เจ่าไห่นั้นนึกย้อนไปในอดีตตอนที่เขานั้นเห็นเมล็ดข้าวโพดในพื้นที่ชนบท ในตอนนั้นเขาตกใจเมื่อพบว่าเมล็ดข้าวโพดนั้นมีสีชมพูดไม่ได้มีสีทองอย่างที่คาดไว้ เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงถามคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ คนอื่นก็หัวเราะออกมา ซึ่งแน่นอนว่าเมล็ดข้าวโพดนั้นไม่ได้มีสีชมพู แต่ที่มันเป็นสีอย่างนั้นก็เพราะว่าพวกเขานั้นต้องการที่จะรักษาเมล็ดพันธุ์ไว้

ทางตอนเหนือของจีนนั้นยากที่จะปลูกข้าวโพดเพราะสภาพอากาศและพวกตัวหนอน ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ด้วยยาฆ่าแมลงและช่วยให้มันนั้นสามารถที่จะรอดจนกว่าพวกมันจะเติบโตเป็นต้นกล้าได้

ซึ่งการเติบโตนั้นสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากนั้นทำให้เจ่าไห่นั้นนึกถึงสถานการณ์ในตอนนั้น แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการจะใช้ยาฆ่าแมลง เขาคิดว่าจะใช้น้ำสเปเทียลรดน้ำต้นกล้าเหล่านี้เพื่อให้มันเติบโตขึ้นมา เขาต้องการดูว่าถ้าข้าวโพดพวกนี้นั้นสามารถที่จะเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้หรือไม่ เพราะตัวน้ำสเปเทียลนั้นก็มีความสามารถในการล้างพิษอยู่แล้ว

กรีนและเมอร์รินนั้นยืนนิ่งจ้องไปที่ต้นกล้า พวกเขานั้นประหลาดใจมาแล้วคิดว่าข้าวโพดที่เคยปลูกไว้จะถูกทำลายทั้งหมด แต่กลับกลายเป็นว่าเมล็ดข้าวโพดนั้นกลับมีชีวิตรอดกลายเป็นต้นกล้าขึ้นมา

จากนั้นเจ่าไห่ก็ลุกขึ้น “ปู่กรีน ยายเมอร์ริน พวกเราน่าจะใช้น้ำสเปเทียลกับต้นกล้าพวกนี้ได้ หลังจากนั้นพวกเราจะกลับไปทำเช่นเดียวกันกับพื้นที่บริเวณปราสาท ในเมื่อน้ำสเปเทียลนั้นสามารถที่จะกำจัดสารพิษในน้ำได้ มันก็น่ากำจัดในดินได้เช่นกัน แม้ว่าอัตราความสำเร็จจะนอน แต่ถ้ามันสำเร็จแล้วล่ะก็ มันจะช่วยพวกเราได้มากเลย”

เมอร์รินรู้สึกประหลาดใจ “นายน้อย ไม่ใช่ว่าคุณเคยบอกว่าสามารถปรับปรุงพื้นที่ได้แค่ 1 มู่ต่อวันไม่ใช่เหรอค่ะ?”

“แน่นอนว่ามิตินั้นปรับปรุงพื้นดินได้ไม่มากต่อวัน แต่มันก็ไม่เคยบอกว่าถ้าใช้น้ำสเปเทียลอย่างเดียวจะทำไม่ได้ แต่เราต้องการพื้นที่ในการทดสอบ และพวกเราก็มีขข้าวโพดจำนวนมากในโรงนา เพื่อลองดูว่ามันสามารถที่จะทำได้จริงๆหรือป่าว”

ก่อนที่เมอร์รินจะพูดอะไร กรีนก็พูดขึ้นว่า “นายน้อย นั้นเป็นความคิดที่ดี แต่ถ้าน้ำสเปเทียลของพวกเราหมดล่ะจะทำอย่างไรล่ะครับ?”

เจ่าไห่หัวเราะ “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น ตอนที่พวกเราอยู่ในมิติ พวกเราใช้ดื่มกันทุกวัน ซึ่งก็ดื่นกันไปในน้อยเลยในแต่ล่ะวัน แต่พวกคุณเป็นว่าน้ำสเปเทียลนั้นลดลงบ้างไหมล่ะ?”

จากนั้นกรีนก็นึกขึ้นมาได้ “ใช่จริงๆด้วย มันไม่ลดลงเลย มันช่างโชคดีจริงเลยครับ นายน้อย แต่ผมคิดว่าพวกเราควรจะขนส่งหัวไชเท้าไปยังตระกูลมาร์กี้ก่อนหรือไม่ จากนั้นพวกเราค่อยปลูกผลน้ำมันกับต้นอัลฟาฟ่าบนภูเขา เมื่อเรารดพวกมันด้วยน้ำสเปเทียล ซึ่งจะทำให้พื้นดินบนภูเขานั้นเปลี่ยนไปและยังลดเวลาในการเติบโตของต้นผลน้ำมันด้วย เมื่อพวกเราเก็บเกี่ยวได้แล้ว มันจะช่วยให้เรามีรายได้อย่างแน่นอนด้วย”

เจ่าไห่พยักหน้า “ใช่ พวกเราควรจะทำอย่างนั้น แต่ผมนั้นกังวลตอนที่พวกเรานั้นลำเลียงหัวไชเท้าพวกนี้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนในปราสาทถ้าพวกเรานั้นไม่อยู่ที่นี้? ถ้าสัตว์อสูรเกิดโจมตีขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะต่อกรกับพวกมันได้เลย”

กรีนหัวเราะ “นายน้อย คุณจะกัววลเรื่องพวกนั้นไปทำไม? พวกเราก็แค่ให้ทุกคนนั้นเข้าไปอยู่ในมิติยังไงล่ะครับ”

เจ่าไห่จึงยิ้มขึ้นมา ว่าเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร สำหรับมิติในตอนนี้นั้นง่ายดายมากที่จะบรรจุคนเข้าไปเพราะอย่างไรก็ตาม การปกป้องทุกคนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

“ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย” เมอร์รินพยักหน้า “นอกจากนี้แล้วพวกเราก็ไม่ต้องปิดบังความเสียหายของปราสาทด้วย เพราะคนในทวีปคงจะรู้แล้ว่ามีสัตว์อสูรนั้นบุกในแดนทมิฬ ดังนั้นพวกขุนนางคงจะส่งใครบางคนมาสังเกตุการณ์แล้วพวกเราก็สามารถเล่นบทแกล้งตายได้ ไม่แน่ว่าในอนาคต พวกขุนนางอาจจะไม่สนใจพวกเราอีกเลยก็ได้”

“ข้ากลัวว่ามันจะไม่ง่ายอย่างงั้นนะสิ เพราะพวกเรานั้นทำความสะอาดปราสาทไปแล้ว” กรีนพูดกลับไป “ถ้ามีคนสังเกตุเห็นถึงความผิด ข้าเกรงว่ามันจะปกบังไว้ได้ไม่นาน และเมื่อเราออกไปจากดินแดนแห่งนี้แล้ว พวกเราก็คงจะอยู่ข้างนอกไม่นานก่อนจะกลับมาที่นี้”

เมอร์รินยิ้มด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนัก เพราะเธอไม่เคยคิดเลยว่าการทำความสะอาดปราสาทนั้นจะเป็นเรื่องที่ผิดพลาดเช่นนี้

“เอาล่ะ ช่างมันเถอะเรื่องผ่านไปแล้ว พวกเราต้องออกเดินทางในไม่ช่าง และต้องไม่ให้พวกขุนนางนั้นพบเรื่องนี้ด้วย” เจ่าไห่พูดกับทั้งสอง

“ถ้าเช่นนั้นแล้ว นายน้อยครับ พวกเราควรจะกับไปแล้วเริ่มเตรียมการทุกอย่าง เพราะมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการก่อนออกเดินทาง”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด