ตอนที่ 53 – มันอาจะเป็นอย่างนี้ก็ได้


เจ่าไห่กำหมัดแน่นก่อนจะทุบพื้น “ทำไมความพยายามของพวกเราต้องมาสูญเปล่าแบบนี้?”

กรีนตบไหล่ของเจ่าไห่ “ไม่เป็นไรครับ นายน้อย ในไม่ช้าพวกเราจะต้องหาวิธีแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างแน่นอนครับ”

แต่สีหน้าของเจ่าไห่ก็ยังไม่สู้ดีนัก เจ่าเอามือสัมผัสกับพื้นพร้อมกับพูดว่า “ปู่ไม่เข้าใจ เรามีพื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ ผมนั้นคิดไว้ว่าจะค่อยพัฒนามันเพื่อทำฟาร์มขึ้นมา แต่ตอนนี้แผนการนั้นก็พังไม่เป็นท่า”

เจ่าไห่ยืนขึ้นด้วยความโมโห เพราะเรื่องนี้มันทำให้แผนของเขานั้นพังทลาย เขานั้นไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างแดนทมิฬได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งถ้าหากพวกสัตว์อสูรนั้นโผล่มาก่อนที่จะปรับปรุงพื้นที่ก็ตาม แต่หากพวกมันปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง มันก็ทำให้ความพยายามทั้งหลายที่เคยทำนั้นสูญหายไปจนหมดสิ้นอยู่ดี

กรีนนั้นไม่รู้ว่าจะปลอบเจ่าไห่อย่างไร ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้นั้นสร้างความยากลำบากให้กับทุกคนอย่างมาก

เจ่าไห่มองไปยังแดนทมิฬก่อนจะถอนหายใจ ก่อนที่จะมองไปรอบๆและตรงไปยังภูเขา จากนั้นเขาก็หยุดเดินพร้อมกับบ่นว่า “มีบางอย่างแปลกๆ”

กรีนและเมอร์รินที่ตามเจ่าไห่นั้น ก็หยุดลงและมองไปที่เจ่าไห่ด้วยความสงสัย “นายน้อยมีอะไรอย่างนั้นเหรอครับ?”

เจ่าไห่ชี้ไปยังภูเขา “ปู่กรีน ดูที่ภูเขานั้นสิ คุณเห็นอะไร?”

กรีนนั้นเพ่งมองไปบนภูเขา “ผมเห็นแต่วัชพืช อ๊า เดี๋ยว ทำไมถึงมีวัชพืชบนภูเขาล่ะ ไม่ใช่ว่าสัตวอสูรนั้นทำให้ดินดำนั้นปนเปื้อนสารพิษของมันจนหมดไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมดินบนภูเขาถึงไม่เป็นอะไรล่ะ?”

เมอร์รินก็ตริตรองกับคำถามนี้เช่นกัน เธอนั้นสงสัยว่าพวกสัตว์อสูรนั้นเหยียบย่ำวัชพืชพวกนี้แล้ว แต่ไม่กี่วัน พวกมันก็ฟื้นคืนกลับมาเหมือนเดิม หรือเป็นเพราะพลังชีวิตในตัววัชพืชเหล่านี้

เมื่อเห็นวัชพืชนั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เจ่าไห่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง ถ้าแดนทมิฬแห่งนี้นั้นถูกสัตว์อสูรทำให้ถูกสารผิดปนเปื้อนแล้วล่ะก็ มันก็น่าจะทำให้ไม่สามารถที่จะปลูกอะไรได้เลยแม้แต่บนภูเขา

จากนั้นเขาก็มองไปยังพื้นดินของแดนทมิฬก่อนจะบ่นพึมพำ “ไม่สิ ถ้าพื้นที่เหล่านี้ไม่ได้ถูกพิษจากสัมผัสของสัตว์อสูรล่ะ แล้วมันเกิดจากอะไรกัแน่?”

กรีนและเมอร์รินนั้นมองไปยังแดนทมิฬก่อนจะเห็นว่ามันไกลสุดลูกหูลูกตา เดิมทีนั้นเมอร์รินคิดว่า สัตว์อสูรนั้นเป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้ว แต่เมื่อเห็นวัชพืชบนภูขาแล้ว เธอก็รู้ว่ามันเป็นคำตอบที่ผิด

เจ่าไห่นั้นเดินไปรอบๆก่อนจะคิดว่าทำไมดินถึงกลายเป็นเช่นนี้ ก่อนที่เขาจะเดินไปยังเรื่อยจนถึงคูเมือง ก่อนจะหยุดลงและมองไปยังคูเมืองที่มีน้ำสีเขียวเต็มไปหมดด้วยความงุนงง

เมอร์รินและกรีนเห็นเจ่าไห่ที่ยืนหยุดนิ่งอยู่ที่คูเมืองก็รู้สึกกังวเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ่าไห่

เจ่าไห่ก็ปรบมือขึ้นมา “ผมคิดว่าผมรู้แล้วว่าทำไม”

“นายน้อยครับ คุณคิดมันมันคืออะไรอย่างงั้นเหรอครับ” กรีนรู้สึกประหลาดใจ

เจ่าไห่ชี้ไปยังคูเมือง “น้ำนี้เป็นน้ำที่ไหลอยู่ตลอดเวลา แต่มันก็ยังคงมีสีเขียวอยู่ หรือก็คือ ทะเลสาบใต้ดินซึ่งเป็นต้นกำเนิดของน้ำนั้นน่าจะถูกสัตวอสูรทำให้ปนเปื้อน แต่ว่า ทำไมพวกมันถึงไปที่นั้น? ทะเลสาบใต้ดินนั้นไม่มีอะไรให้พวกมันกิน ดังนั้นผมคิดว่าจุดประสงค์ของสัตวอสูรนั้นคือ พวกมันไปอาบน้ำที่นั้นแน่ๆ”

“อาบน้ำอย่างงั้นเหรอครับ? ” กรีนและเมอร์รินนั้นถึงกับพูดอะไรไม่ออกกับคำตอบของเจ่าไห่ พวกเขานั้นมองเจ่าไห่แปลกๆเพราะคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เช่นนั้น

“นายน้อย ดิฉันคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้นะค่ะ” เมรินอย่างรวดเร็วกล่าวว่า

เจ่าไห่มองไปรอบๆและจ้องไปที่เมอร์ริน “ยายเมอร์รินไม่เชื่อสิ่งที่ผมพูดอย่างนั้นเหรอ?”

“นายน้อย สัตว์อสูรเหล่านั้นมาจากบึงซากศพ มันจะมีบึงไหนบางที่ไม่มีน้ำใช้ ทำไมพวกมันจะต้องมาอาบน้ำที่นี้ด้วยละค่ะ?”

เจ่าไห่ก็ดีดนิ้ว “นั้นแหละคือปัญหา แม้ว่าบึงซากศพนั้นจะมีน้ำ แต่น้ำนั้นเป็นน้ำที่มีพิษอย่างที่คุณเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า ที่บึงซากศพนั้นขนาดอากาศยังเป็นพิษ แล้วน้ำที่นั้นจะไม่เป็นพิษอย่างงั้นเหรอ? แน่นอนว่าคงไม่มีใครใช้น้ำสกปรกอาบน้ำจริงไหม? ดังนั้นผมจึงคิดว่า พวกมันน่าจะมาหาน้ำสะอาดอาบที่นี้”

เมื่อได้ยินเจ่าไห่อธิบาย กรีนและเมอร์รินก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย

เจ่าไห่มองไปที่ทั้งสอง “ส่วนเหตุผลที่ดินเหล่านี้กลายเป็นสีดำนั้นก็ยังเกี่ยวกับสัตว์อสูรอยู่ดี พวกมันมาจากบึงซากศพที่ทุกอย่างนั้นเป็นสารพิษไม่ว่าจะอากาศหรือน้ำ มันจึงคิดได้พิษเหล่านั้นมันเกินกว่าสัตว์อสูรจะทนได้ ดังนั้นเมื่อพวกมันมาอาบน้ำจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันก็สะบัดตัวซึ่งมีสารพิษที่ติดตัวนั้นออกมา ซึ่งทำให้ดินของที่นี้นั้นกลายเป็นเช่นนี้จนถึงปัจจุบัน

ยิ่งเจ่าไห่พูด ก็ยิ่งทำให้กรีนและเมอร์รินเข้าใจมากขึ้น

แต่กรีนก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ต่อให้เรานั้นล้างพิษในทะเลสาบใต้ดินได้ แต่เมื่อสัตว์อสูรออกมาจากบึงซากศพอีก พวกเราก็ยังมีปัญหาอยู่อย่างนี้งั้นเหรอครับ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความตื่นเต้นของเจ่าไห่ก็หายไป เขานั้นหาความจริงของมันออกมาได้ แต่มันก็ยังไม่ได้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เจ่าไห่สูดลมหายใจเข้าก่อนจะมองไปยังแดนทมิฬ “ยังไงซะเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ถ้าหากมีวิธีในการแก้ล่ะก็ พวกเราคงจะหาทางได้อย่างแน่นอน”

เมื่อพูดจบเขาก็เดินไปยังภูเขาต่อ กรีนและเมอร์รินนั้นมองไปที่แดนทมิฬด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะตามเจ่าไห่ไป พวกเขานั้นกลัวว่าจะมีสัตว์อสูรนั้นยังอยู่ใกล้ๆกับทะเลสาบใต้ดิน ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเจ่าไห่

เมื่อทั้งสามเดินมาถึงเหมือง ก่อนที่เจ่าไห่จะเดินเข้าไป เมอร์รินก็หยุดเขาไว้ “นายน้อย ให้กรีนเข้าไปก่อนนะค่ะ”

แม้ว่าเจ่าไห่จะไม่เต็มใจก็ตาม แต่เมื่อได้ยินเสียงกรีนตะโกนออกมา “เมอร์ริน ให้นายน้อยเข้ามาได้ ไม่มีสัตว์อสูรอยู่ที่นี้”

เจ่าไห่และเมอร์รินก็เดินไปยังเหมืองและไปยังทะเลสาบใต้ดิน ซึ่งกรีนนั้นยืนมองทะเลสาบอยู่ จากนั้นเมอร์รินก็ใช้คาถาบอลแสง เพื่อที่จะเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้อย่างชัดเจนมากขึ้น

ทะเลสาบนั้นกลายเป็นสีเขียว ซึ่งเข้มกว่าในคูเมืองด้วยซ้ำ

เจ่าไห่ถอนหายใจ “ทะเลสาบที่สวยงาม ต้องกลายเป็นเช่นนี้เพราะพวกสัตว์อสูรแท้ๆ” จากนั้นเขาก็เปิดประตูมิติก่อนจะปล่อยน้ำสเปเทียลลงในทะเลสาบ

แต่เจ่าไห่ก็ไม่ได้คิดว่าน้ำสเปเทียลนั้น เมื่อเทลงไปในทะเลสาบแล้ว มันจะทำปฏิกิริยาเหมือนกับสารเคมี เพราะมันค่อยๆที่จะล้างสารพิษนั้ไกลออกไปเรื่อยจนสุดสายตาของเจ่าไห่

เจ่าไห่นั้นตกตะลึง แม้ว่าเขานั้นรู้ว่ามิตินั้นสามารถทำการกำจัดสารพิษในน้ำได้ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วขนาดนี้ จากจุดที่เทน้ำลงไป

แต่เจ่าไห่ก็ยังไม่แน่ใจ “ยายเมอร์รินครับ ผมยังไม่แน่ใจว่าน้ำเหล่านี้จะยังมีพิษอยู่หรือป่าวคุณช่วยตรวจสอบดูอีกทีได้ไหมครับ?” เพราะเมอร์รินนั้นเป็นนักเวทย์น้ำ ดังนั้นการจำแนกน้ำจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ

เมอร์รินพยักหน้า เธอเอื้อมมือไปทางทะเลสาบก่อนจะร่ายคาถา ก่อนจะมีแสงสีฟ้านั้นเปล่งออกมาจากมือเธอเหมือนกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวก่อนจะหายไปในทะเลสาบ

จากนั้นแสงก็ค่อยกลับมาที่มือของเมอร์รินแล้วก็หายไป ก่อนที่เมอร์รินจะลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ “มันช่างน่าทึ่งอย่างมาก! สารพิษทั้งหมดนั้นหายไปแล้ว ไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว”

จากนั้นเจ่าไห่ก็พูดว่า “ถ้าอย่างงั้น เราต้องกลับไปที่ปราสาทดูน้ำในคูเมืองแล้วล่ะ”

จากนั้นทั้งสามก็เดินออกจากเหมือง และเมื่อมาถึงทางเขา พวกเขาก็เห็นควันนั้นลอยออกมาจากปราสาท ซึ่งแน่นอนว่า เม็กนั้นกำลังทำงานของเธอยู่

ซึ่งเมื่อพวกเขานั้นไปถึงปราสาท ก็เห็นเม็กนั้นกำลังรวมขยะทั้งหลายก่อนจะโยนมันลงไปในกองไฟ ซึ่งหลังจากนั้น เจ่าไห่ก็เดินไปยังคูเมืองเพื่อดูว่าน้ำเป็นอย่างไร ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่คาดว่าน้ำนั้นกลับมาใสเป็นปกติ และสีเขียวทั้งหมดนั้นหายไป

แต่เจ่าไห่นั้นก็ยังไม่แน่ใจ และบอกให้เมอร์รินนั้นดึงน้ำออกมาก่อนจะนำเข้าไปในมิติ ก่อนจะมีเสียงแจ้งเตือนบอกว่าน้ำนั้นไม่มีพิษหลงเหลืออยู่แล้ว

หลังจากที่รอให้เม็กนั้นกำจัดขยะในปราสาทจนหมดแล้ว เมอร์รินก็ใช้เวทย์น้ำทำความสะอาดปราสาทั้งหมด เมื่อทำเสร็จแล้ว ปราสาทก็ดูกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

4.2 5 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด