ตอนที่แล้วตอนที่ 51 – ความโกรธ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 53 – มันอาจะเป็นอย่างนี้ก็ได้

ตอนที่ 52 – คำตอบที่ถูกต้อง


กรีนหันไปมองเมอร์ริน และหลังจากที่ได้คำตอบของเธอแล้ว กรีนรู้สึกตื่นเต้น “นั้นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก ตราบใดที่เราสามารถฝ่าวิกฤตินี้ไปได้ เราสามารถที่จะขนส่งผักเวทย์มนตร์ไปยังตระกูลมาร์กี้ได้ทันที ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเราควรจะทำอย่างไรดีครับ นายน้อย?”

“ยายเมอร์ริน ปู่กรีน พวกคุณออกจากมิตินี้ไปก่อน ในขณะที่ผมนั้นจะคอยสังเกตุการณ์พวกอันเดตจากที่นี้ วันนี้พวกเราต้องจับมาพวกมันให้ได้มากที่สุด”

กรีนและเมอร์รินพยักหน้า ก่อนจะเดินออกไปในขณะที่เจ่าไห่นั้นกำลังให้ความสนใจกับพวกอันเดต

5 วันผ่านไป พวกทาสนั้นก็ยังคงฝึกการอ่านและการเขียนดังเช่นปกติ ส่วนเจ่าไห่นั้นก็วุ่นอยู่กับการจับอันเดตสัตว์อสูร

ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา เจ่าไห่ใช้วิธีการล่อพวกอันเดตมาที่ปราสาท ซึ่งทำให้พวกเขานั้นสามารถที่จะจับอันเดตได้กว่า 1,000 ตัว และเมื่ออันเดตนั้นเข้ามาในมิติ วิญญาณไฟสีเขียวที่ดวงตาของมันก็กลายเป็นสีแดงก่อนจะถูกส่งเข้าไปในโรงนา

นอกจากนี้แล้ว เขาก็ต้องขอบคุณพื้นใหม่ที่เพิ่มมา ซึ่งทำให้เขานั้นสามารถเก็บเกี่ยวข้าวโพดได้มากถึง 8 รอบและผลน้ำมันอีกมากมาย ตอนนี้เขานั้นมีข้าวโพดเก็บไว้หลายชุดแล้ว เจ่าไห่ก็คิดว่ามันถึงเวลาที่จะลองปลูกอะไรใหม่ๆ

แต่มันก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ เพราะยังมีสัตว์อสูรอยู่ข้างนอกนั้น เมื่อผ่านไปแล้ว 5 วัน อันเดตสัตว์อสูรนั้นก็เกือบจะหายไปหมดเพราะถูกจับเข้ามาในมิติ

ซึ่งมันทำให้กรีนนั้นรู้สึกสบายใจมากขึ้น เขานั้นเคยกังวลเรื่องที่จะมีอันเดตสัตว์อสูรนั้นบุกออมาจากบึงซากศพอีก แต่ตอนนี้อันเดตทั้งหลายก็หายไปจนหมด และไม่มีทีท่าว่ามันจะบุกออกมาจากบึง ซากศพอีก ซึ่งมันก็เป็นข่าวที่ดี

เมื่ออันเดตสัตว์อสูรนั้นหายไป เจ่าไห่และคนอื่นๆก็ทยอยออกมาจากมิติ แต่เมื่อออกมา พวกเขาก็ต้องทำหน้าเครียดเมื่อพบกับซากปรักหักพังของปราสาท ถึงแม้ว่าตัวอาหารนั้นจะไม่ได้รับความเสียหายมากนักแต่ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆก็เสียหายจนหมด

เมื่อเห็นปราสาทที่ทรุดโทรมก็ทำให้เจ่าไห่นั้นรู้สึกอึดอัด แม้ว่าปราสาทแห่งนี้จะธรรมดาแต่มันก็เป็นบ้านสำหรับเขา

ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอกผ่านหน้าจอ แต่ตอนนี้เขานั้นเห็นด้วยตาตัวเองก็รู้สึกว่ามันรุนแรงกว่าที่คิด บล๊อคนั้นไม่สามารถทดได้จนต่อยเขาที่กำแพงจนเลือดไหลออกมา

ตรงกันข้ามกับกรีนที่สงบนิ่ง ในช่วงที่ผ่านมานั้น เขาออกไปข้างนอกมิติค่อย ดังนั้นเขาจึงเข้าใจสถานการณ์ของปราสาทเป็นอย่างดี

เมอร์รินเองก็เห็นถึงซากปรักหักพังในปราสาท “เอาล่ะ พวกเราเก็บสิ่งของที่สัมผัสกับสัตว์อสูรออกไปกองไว้ข้างนอก ฉันกังวลว่ามันจะเป็นพิษ เมื่อเรานำทุกอย่างออกไปแล้ว เราจะใช้น้ำล้างทำความสะอาดมันข้างนอก”

กรีนขมวดคิ้ว “แต่ตอนนี้น้ำในคูเมืองนั้นกลายเป็นสีเขียวที่เป็นพิษ ถ้าเราใช้น้ำนั้น้าง ข้าเกรงว่ามันจะเป็นการกระจายสารพิษแทนนะสิ”

เมอร์รินนั้นขมวดคิ้วไปยังเจ่าไห่ “นายน้อย พวกเราควรไปที่คูเมืองหรือไม่?”

เจ่าไห่เองก็ต้องการเห็นมัน เขาต้องการจะลองดูว่าน้ำสเปเทียลนั้นสามารถที่จะสลายพิษน้ำในคูเมืองได้หรือไม่

เห็นได้ชัดเลยว่ากรีนเองก็คิดเช่นเดียวกัน “นายน้อยคิดว่าพวกเราจะสามารถที่จะล้างพิษน้ำในคูเมืองได้หรือไม่”

“พวกเราต้องลองไปดูก่อน เม็ก เจ้าช่วยจัดคนมาทิ้งของในปราสาทออกมาให้หมดด้วยพวกทาสทุกคนได้ดื่มน้ำสเปเทียลไปแล้ว เราคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรถ้าสัมผัสเข้ากับพิษพวกนั้น”

เม็กตกลง จากนั้นก็จัดพวกทาสออกมาทำความสะอาดสิ่งต่างๆ

เจ่าไห่จึงเดินไปยังคูเมืองพร้อมกับกรีนและเม็ก เมื่อทั้งสามมาถึงคูเมือง ก็เป็นจริงอย่างที่กรีนพูด คือน้ำในคูเมืองนั้นมีสีเขียว ซึ่งทำให้มันน่ากลัว และน่าสงสัย เพราะว่าน้ำมันก็ไหลอยู่เรื่อยๆ แต่สีเขียวนั้นก็ไม่จางลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว

เมอร์รินั้นขมวดคิ้วของเธอเมื่อเห็นน้ำในคูเมือง “น้ำมันกำลังไหล แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันมีสารพิษจำนวนมาก ฉันคิดว่าปัญหานั้นอาจจะมาจากทะเลสาบใต้ดิน”

เจ่าไห่พยักหน้า “ยายเมอร์ริน ช่วยดึงน้ำออกมาสักหน่อยครับ ผมต้องการใช้มิติวิเคราะห์มัน และดูว่าพิษในน้ำนี้นั้นรุนแรงแค่ไหน”

เมอร์รินนั้นสะบัดมือของเธอ ก่อนจะมีบอลน้ำลอยขึ้นมา เจ่าไห่จึงเก็บมันไว้ในมิติฟาร์มทันที

จากนั้นเสียงของมิติก็ดังในหัวของเจ่าไห่ [การกำจัดสารพิษในน้ำนั้นสามารถทำได้]

ตอนนี้เจ่าไห่ก็สามารถตอบได้อย่างมั่นใจ “ปู่กรีน ยายเมอร์ริน พวกเราไปที่ทะเลสาบใต้ดิน ถ้าเราต้องการจะใช้น้ำสเปเทียลในการกำจัดสารพิษเหล่านี้ เราต้องไปที่ต้นกำเนิดของน้ำจะดีกว่า”

เมอร์รินและกรีนรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ในใจของพวกเขานั้นกลัวว่าน้ำสเปเทียบนั้นจะไม่สามารถที่จะกำจัดสารพิษเหล่านี้ได้ ถึงแม้ว่าน้ำที่ไหลอยู่นี้มันจะค่อยๆทำให้พิษนั้นหายไปได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลานาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาตระกูลอย่างมาก

ในขณะที่พวกเขานั้นมุ่งหน้าไปยังภูเขา จู่เจ่าไห่ก็หยุดและจ้องมองไปยังบางสิ่ง

เมอร์รินและกรีนนั้นตกตะลึงก่อนที่จะเดิมไปยังทางที่เจ่าไห่จ้องมอง มันเป็นดินดำที่ไม่ต่างอะไรจากส่วนอื่นของแดนทมิฬ กรีนจึงสับสนและไม่รู้ว่าทำไมเจ่าไห่ถึงจ้องมองมันเช่นนั้น แต่สีหน้าของเมอร์รินนั้นกลับซีดลง เพราะเธอนั้นรู้ว่าทำไมเจ่าไห่ถึงจ้องมองมาที่นี้

พื้นที่ดินดำนั้นคือพื้นดินที่เจ่าไห่เคยปรับปรุงสภาพมันไว้ แต่ตอนนี้สีของพื้นดินนั้นกลับกลายเป็นเหมือนกับดินของแดนทมิฬดั่งเช่นก่อนหน้านี้

เมอร์รินพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “นายน้อยหรือว่า?”

เจ่าไห่พยักหน้า ก่อนที่หน้าของเขาจะซีดลง ซึ่งถ้าหากว่าดินที่ปรับปรุงแล้วกลับกลายเป็นดินดำอีกครั้ง ก็เท่ากับว่าการปรับปรุงพื้นที่นั้นล้มเหลว

กรีนนั้นไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อมองทั้งสองแล้ว เขาก็รู้ว่ามีบางอย่างที่เลวร้ายเกิดขึ้น

เมื่อเจ่าไห่ยืนอยู่ตรงหน้ามัน เขาก็ก้มลงและมองไปยังพื้นดินก่อนจะกำดินขึ้นมา ก่อนจะถอนหายใจออกไป

ดูเหมือนว่าดินแดนแห่งนี้นั้นจะไม่ได้กลับกลายเป็นเหมือนเดิมสักทีเดียว บางทีพวกอันเดตสัตว์อสูรอาจจะนำดินดำจากที่อื่นมากลบดินที่นี้เพื่อไม่ให้มีอะไรขึ้นมาก็เป็นได้ การปรับปรุงพื้นที่นั้นไม่ได้ล้มเหลว

เมอร์รินนั้นกำดินขึ้นมาพร้อมกับสังเกตุมันอย่างระมัดระวัง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป

กรีนนั้นมองทั้งสองด้วยความสงสัย ว่าทำไมพวกเขานั้นถึงจ้องมองไปยังดินดำ เขาจึงก้มลงแล้วกำดินขึ้นมา จากนั้นเขาก็ค้นพบว่าดินนั้นมีการปรับปรุงขึ้นมา ด้วยความตกใจเขาจึงมองไปยังเจ่าไห่ “เจ่าไห่ มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอครับ?”

เจ่าไห่สูดลมหายจก่อนจะอธิบายขึ้นมา “มันเป็นเพราะมิติของผม โดยใช้ดินสเปเทียลและน้ำสเปเทียล ในการปรับปรุงพื้นที่แห่งนี้ให้สามารถที่จะปลูกพืชพรรณต่างๆได้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างสัตว์อสูรนั้นนำดินดำนี้มาจากที่อื่นแล้วกลบพื้นดินที่ดีแห่งนี้”

ก่อนที่กรีนจะพูดอะไร เมอร์รินก็พูดขึ้นว่า “ไม่ค่ะนายน้อย ฉันไม่คิดว่าดินดำพวกนี้นั้นนำมาจากที่อื่น แต่พื้นผิวนี้นั้นถูกปนเปื้อนด้วยสารพิษจากตัวสัตว์อสูร ก่อนที่จะทำมันให้กลายเป็นดินดำเช่นนี้ ถ้าสัตว์อสูรนำดินดำมา มันไม่น่าจะเป็นสีดำทั้งพื้นเช่นนี้ แต่มองดูรอบสิค่ะ พื้นที่ทั้งหมดนั้นกลายเป็นสีดำเท่ากันหมดเลย”

จากนั้นเจ่าไห่ก็มองดูพื้นดินอย่างตั้งใจอีกครั้งและดูเหมือนว่ามันจะเป็นไปอย่างที่เมอร์รินพูด สีของดินนั้นเป็นสีดำเท่ากันทั้งหมด ซึ่งมันไม่สมเหตุสมผลเลยถ้านำดินจากที่อื่นมา มีเพียงคำอธิบายเดียวก็คือ ดินที่ปรับปรุงนั้นไม่ได้ถูกกลบ แต่มันถูกปนเปื้อนด้วยสารพิษ

ไม่มีใครในทวีปที่รู้ว่าทำไมแดนทมิฬถึงกลายเป็นแบบนี้ แต่เมื่อเจ่าไห่เห็นน้ำในคูเมืองและมองมาที่พื้นดินแห่งนี้ เขาก็รู้ว่าพวกมันนั้นปนเปื้อนสารพิษจากสัตว์อสูรเหล่านั้น แต่โชคดีที่พวกเขาสามารถรู้คำตอบนั้นได้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด