ตอนที่แล้วตอนที่ 47 – การคำนวณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 49 – การเปลี่ยนแปลงของวิญญาณอันเดต

ตอนที่ 48 – ความใฝ่ฝันและวิกฤติ


หัวไชเท้านั้นสามารถที่จะทำเงินได้มากกว่าผลน้ำมัน ซึ่งมันไม่สามารถเทียบกันได้ เพราะการปลูกหัวไชเท้าเพียงชุดเดียวก็สามารถขายได้ถึง 8,000 เหรียญทอง แต่ผลน้ำมันในหนึ่งเดือนถึงจะขายได้ 2,700 เหรียญทอง

แม้ว่าตระกูลมาร์กี้นั้นจะเป็นตระกูลการค้าที่ใหญ่ในทวีป แต่พวกเขาสามารถขายหัวไชเท้าได้เพียงแค่ 200 ตันต่อเดือนเท่านั้น และหัวไชเท้าที่ราคา 2 เหรียญเงินต่อหนึ่งกก. ก็มีหลายคนที่ไม่สามารถจ่ายเงินได้ในราคานี้

ตราบใดที่เจ่าไห่นั้นปลูกหัวไชเท้า 5 ชุดต่อเดือน เขาก็สามารถขายได้เพียงพอต่อจำนวนที่ ตระกูลมาร์กี้ต้องการ นอกจากนี้แล้ว มันยังใช้เวลาทั้งหมดเพียงแค่ 40 ชั่วโมง หรือก็คือ 2 วัน

แล้วช่วงเวลาที่เหลือ เขาจะทำอะไรล่ะ? จะปลูกพืชทั่วไปในทวีปอย่างงั้นหรือ? เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นหลายไปทันทีเมื่อมันเข้ามาในมิติฟาร์ม

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะปลูกผลน้ำมัน เพราะน้ำมันนั้นเป็นที่ต้องการของท้องตลาดเนื่องจากเป็นสิ่งทีใช้ในการประกอบอาหาร นอกจากนี้แล้ว สามัญชนทั่วไปที่ใช้แรงงานก็มักจะทานน้ำมันเป็นอาหาร เพราะพวกเขานั้นไม่สามารถที่จะซื้อเนื้อมาทานได้ ดังนั้นปริมาณการใช้น้ำมันในตลาดจึงมากมายมหาศาล แม้ว่าหัวไชเท้านั้นจะสร้างผลกำไรได้มาก แต่มันก็อาจเป็นจุดสนใจแก่บรรดาขุนนางได้

และอย่างลืมว่าจำนวนเงิน 2,700 เหรียญทองนั้นก็ไม่ใช่น้อยๆ แม้แต่ภาษีของอาณาเขตเล็กๆก็ไม่สามารถที่จะเก็บได้มากเท่านี้

1 เหรียญทองนั้นสามารถเปลี่ยนเป็น 10 เหรียญเงินได้ และ 1 เหรียญเงินสามารถเปลี่ยนเป็น 100 เหรียญทองแดงได้ ซึ่ง 2 เหรียญทองแดงนั้นสามารถซื้อผลไม้ได้ 1 กก. หรือน้ำมันครึ่งกก.

ข้าวและน้ำมันในทวีปนั้นมีราคาไม่แพง เพราะน้ำมันเป็นผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้จำนวนมาก และข้าวเองก็เป็นอาหารสำหรับพวกทาส และสามัญชนบางกลุ่ม

เจ่าไห่นั้นมีคนจำนวน 100 คนอาศัยอยู่กับเขา จึงทำให้เขานั้นไม่ต้องเตรียมอาหารไว้มากนัก เพราะเพียงแค่ 100 เหรียญทองก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน ดังนั้นเขาจึงจะมีเงินเหลือถึง 2,600 เหรียญทองต่อเดือน

และถ้าหากมันไม่พอ พวกเขาก็สามารถขายหัวไชเท้าได้ถึง 5 ชุด และแม้ว่าพวกเขานั้นไม่สามารถที่จะขายได้ที่ราคา 8,000 เหรียญทอง เขาก็ยังสามารถที่จะขายได้ที่ราคา 6,000 เหรียญทอง

หลังจากที่เจ่าไห่อธิบายเรื่องฟาร์มแล้ว กรีนก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเจ่าไห่นั้นต้องการที่จะปลูกพืชอื่นๆเพื่อที่จะใช้ในการเลี้ยงปลา ,กระต่ายและสัตว์ชนิดอื่นๆ

พวกเขานั้นมีแต่ใบหัวไชเท้าเพื่อใช้ในการเลี้ยงบูลอายแรบบิท แต่การกินใบหัวไชเท้าอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เพราะจำเป็นต้อให้สารอาหารอย่างอื่นด้วย ซึ่งผลน้ำมันที่สกัดน้ำมันไปแล้วก็เป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่ว่าพวกเขาจะสามารถเลี้ยงบูลอายแรบบิทได้เพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถเลี้ยงสัตว์อสูรได้ด้วย ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเลี้ยงสัตว์อสูรประเภทม้าหรือวัว

อย่างเช่น การให้น้ำมันแก่ม้าก็จะทำให้พวกมันนั้นแข็งแกร่งขึ้น และถ้าเราให้มันได้ทานตลอดๆ ก็จะได้ม้าที่ดีมีคุณภาพ

นอกจากนี้แล้ว มันยังสามารถเป็นอาหารให้แก่สัตว์อสูรประเภทน้ำและสัตว์อสูรที่ชอบน้ำมัน ซึ่งอาจทำเป็นฟาร์มปลาได้ นี้คือผลประโยชน์อีกอย่างที่ได้จากผลน้ำมัน

ด้วยความคิดเหล่านี้เอง ทำให้กรีนนั้นรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ก่อนจะหัวเราะออกมา

เหตุผลที่เขานั้นหัวเราะออกมาก็เพราะแรงกดดันที่เขาแบกไว้ ก่อนที่เจ่าไห่จะตื่นขึ้นมานั้น กรีนรู้สึกได้ถึงการล่มสลายของตระกูล เขาคิดแล้วว่าตระกูลจะค่อยๆตายอย่างช้า จึงทำให้เขานั้นหมดหวังและกักตุนเสบียงเพื่อให้มีชีวิตรอดเพียงอย่างเดียว แม้ว่าเจ่าไห่นั้นจะเปลี่ยนไป แต่กรีนก็ไม่ได้ดีใจเพราะตระกูลยังขาดรายได้ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของพวกเขา

แต่หลังจากที่เข้าใจมิติฟาร์มแล้ว ความกังวลของกรีนก็หายไปจนหมด เหมือนกับแสงแดดที่ส่องผ่านหมอกควันที่ที่ปกคลุมจิตใจของเขาไว้

เจ่าไห่ก็ไม่พูดอะไรต่อ เพราะเขารู้ว่ากรีนนั้นต้องการจะระบายความกังวลในตัวเขาออกมา

ในที่สุดกรีนก็สงบสติของตัวเองได้ “นายน้อยครับ พวกเราสามารถที่จะใช้เงินที่ได้จากการขายหัวไชเท้าเวทย์มนตร์ เพื่อซื้อสิ่งของที่พวกเราต้องการได้ แม้ว่าเรานั้นสามารถที่จะเก็บเกี่ยวผลน้ำมันได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีเครื่องสกัดน้ำมันอยู่เลย”

เจ่าไห่พยักหน้า “ผมรู้ครับ ปู่กรีน แต่พวกนั้นเรายังมีปัญหาใหญ่ที่ต้องแก้รออยู่ ข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูร แม้ว่าเราจะมีแผนการที่ดีอย่างไร แต่พวกเราก็ไม่สามารถที่จะซ่อนตัวอยู่ในมิติไปได้ตลอดการพวกเรานั้นต้องออกไปเพื่อพัฒนาพื้นดินของเรา แล้วพวกเราจะจัดการกับสัตว์อสูรด้านนอกอย่างไรดี”

กรีนขมวดคิ้ว เขารู้ดีกว่าเจ่าไห่นั้นพูดถูกต้อง แผนของเขานั้นเป็นเพียงได้แค่อากาศถ้าพวกเขานั้นไม่มีแผนรับมือกับสัตว์อสรูที่บุกมา

เพราะคำถามนั้นคือจะแก้ปัญหานี้อย่างไร มันไม่มีวิธีในการแก้ปัญหาอย่าง่ายๆ แม้ว่ากรีนนั้นจะมั่นใจในทักษะของตัวเอง แต่ก็ไม่อาจสามารถพิชิตบึงซากศพได้ นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มันได้ชื่อว่าแดนต้องห้ามทั้งห้า และแม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน

เมื่อเวลาผ่านไป กรีนก็ยังไม่สามารถคิดวิธีการใดๆได้ เขาก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับความใฝ่ฝันในตอนแรกของเขาก็หายวับไปกับตา

เจ่าไห่นั้นก็ยังไม่มีการแก้ปัญหาในสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนี้พวกเขานั้นอ่อนแอและไม่สามารถต้านทานการบุกของสัตว์อสูรได้เลย

เมื่อไปมองไปยังปู่กรีนที่เคร่งเครียด เจ่าไห่จึงแนะนำว่า “ปู่กรีน พวกเรามาดูสถานการณ์ข้างนอกกันก่อน” ก่อนที่เขาจะเรียกขึ้นหน้าจอขึ้นมา แต่ทันใดนั้นตาของเจ่าไห่ก็เบิกกว้างขึ้นมาเพราะจุดสีเขียวบนแผนที่สามมิติ

เจ่าไห่จึงลุกขึ้นยืน กรีนสังเกตุเห็นท่าทางของเขาก่อนจะมองไปยังบนจุดสีเขียวที่ปรากฎขึ้นมา แม้ว่ามันจะไม่มีมากนัก แต่มันก็ไม่เหมือนกับที่เขาตรวจสอบไปก่อนหน้านี้

เมอร์รินั้นจ้องไปบนจอ และเม็กก็ถามขึ้นมาว่า “ทำไมสัตว์อสูรถึงกลับมาอีกล่ะ?”

กรีนจึงพูดขึ้นมา “ตอนที่ฉันกลับมา มันยังไม่มีซอมบี้สัตว์อสูรตัวไหนเลย มีเพียงสัตว์อสูรอยู่รอบๆแดนทมิฬเท่านั้น บางทีพวกมันอาจะไล่ตามฉันมา”

เจ่าไห่พยักหน้าพร้อมกับกดจุดเขียวขึ้นมา ก่อนที่หน้าจอจะเปลี่ยนเป็นภาพในลานกว้างซึ่งมีสัตว์อสูรอยู๋จำนวนหนึ่ง

“นี้มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกค่ะ นายน้อย” เมอร์รินพูดขึ้นมา “ซอมบี้สัตว์อสูรนั้นจะมีประสาทสัมผัสไว้กับสิ่งมีชีวิต เพราะมันต้องการเนื้อสดๆ ซึ่งเมื่อกรีนเข้ามาในปราสาท พวกซอมบี้เหล่านี้ก็ตามมาด้วย”

เจ่าไห่รู้ว่าเธอนั้นพูดถูกต้อง ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนหน้าจอไปยังห้องนั่งเล่น ที่ซึ่งมีซอมบี้เดินวนไปรอบๆ ซอมบี้สัตว์อสูรนี้นั้นมีรูปร่างเป็นจระเข้ แต่ตัวมันนั้นมีแต่โครงกระดูกสีเขียวเรืองแสง

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด