ตอนที่แล้วตอนที่ 32 – ปลูกพืช
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 34 – นักปราชญ์

ตอนที่ 33 – ระดมสมอง


ทาสผู้หญิงที่กำลังทำงนอยู่นั้นบนใบหน้าของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความหวังนั้นทำให้ชีวิตในแต่ละวันของพวกเขาเดินไปข้างหน้าในทุกๆวัน

ใบหน้าของเจ่าไห่นั้นอดที่ยิ้มกับภาพตรงหน้าไม่ได้

ซึ่งทาสบางส่วนก็ช่วยกันขนต้นข้าวโพดกันอยู่ เจ่าไห่นั้นไม่ได้คิดจะซ่อนตัวต่อพวกทาสเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่ายังไงพวกเขานั้นก็ถูกตีตราตระกูลบูดาแล้ว ชะตาชีวิตของพวกเขาทุกคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลบูดาเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซ่อนตัวจากพวกเขา

ตอนนี้ทาสหลายๆคนเริ่มที่จะคุ้นเคยกับความสามารถของเจ่าไห่แล้ว ทำให้พวกเขานั้นไม่ได้ตกอกตกใจมากกับการที่เขานั้นมีต้นข้าวโพดจำนวนมากเช่นนี้

เมื่อเห็นทาสหญิงแบกต้นข้าวโพด เจ่าไห่ก็บอกพวกเขาว่า “เจ้าสามารถใช้เหล่านี้เป็นเตียงนอนเมื่อเจ้านอนอยู่บนพื้นได้ นอกจากนี้เจ้ายังสามารถใช้มันเป็นฝืนได้อีกด้วย แต่ต้นข้าวโพดนี้นั้นยังมีความชื้นอยู่บางดังนั้น พวกเจ้าต้องตากให้มันแห้งก่อนถึงจะติดไฟได้ดีที่สุด”

ครั้งนี้เมื่อได้ยินคำพูดของเจ่าไห่ ทาสหญิงเหล่านั้นไม่ได้คุกเข่าอย่างเช่นทุกที เจ่าไห่คิดว่าว่าเม็กนั้นบอกวิธีการปฎิบัติตัวกับพวกเขาไว้แล้ว

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เม็กไม่ได้บอก แม้ว่าเม็กนั้นจะเป็นเพียงแค่คนรับใช้ แต่อย่าลืมว่าฐานะของเธอนั้นก็สูงกว่าสามัญชนทั่วไปถึงแม้ว่าตระกูลบูดาจะตกต่ำลงมาขนาดนี้แล้วก็ตาม มีทาสเพียงแค่ไม่กี่คนที่กล้าจะสู้หน้าเธอ จึงเป็นการยากที่พวกเขาจะสนิทกับเม็กได้

แต่เหตุผลจริงๆนั้นเกิดจากเดซี่ แม้ว่าเดซี่นั้นจะเป็นสามัญชนซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณเจ่าไห่ แต่เธอนั้นก็กลายเป็นทาสถึงสองปี ในสายตาของพวกทาสแล้ว พวกเขานั้นสนิทกับเดซี่มากกว่า

สิ่งที่สำคัญคือแม้ว่าเธอนั้นจะคืนฐานะเช่นเดิมของเธอและมีห้องส่วนตัวแล้วก็ตาม เธอก็ยังมาทำงานและยอกเล่นกับพวกทาสเหล่านี้อยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อฟังคำพูดของเดซี่มากกว่า

ฐานะของทาสนั้นจัดอยู่ต่ำสุดในทวีปแห่งนี้ ซึ่งทาสเหล่านี้นั้นเจ้านายบางคนยังให้ค่าที่ด้อยกว่าสุนัขด้วยซ้ำไป พวกเขานั้นเคยได้ยินว่าขุนนางบางตระกูลนั้นสนใจเรื่องการตายของสุนัขพวกเขามากกว่าชีวิตของทาสกว่าร้อยคน นั้นแสดงให้เห็นว่าทาสนั้นมีฐานะเช่นไรในทวีปแห่งนี้

นั้นก็เพราะว่าทาสพวกนี้นั้นไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับพวกขุนางหรือชนชั้นสูงใดๆ จึงเป็นการยากที่พวกเขานั้นจะเชื่อคำพูดของพวกขุนนางหรือชนชั้นสูง

แต่ตัวตนของเดซี่นั้นพิเศษมาก เธอนั้นเคยเป็นทาสและการรับการคืนฐานะของเธอ ด้วยความที่ว่าเดซี่นั้นเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ดังนั้นพวกทาสจึงเชื่อถือคำพูดของเดซี่มากกว่า

แม้ว่าพวกเขาจะเป็นทาส แต่ทาสหญิงเหล่านี้นั้นก็เคยพูดคุยกับเดซี่มาก่อน ในขณะที่ทำงานกับเดซี่ พวกเขานั้นก็ตามถึงสิ่งๆต่างเกี่ยวกับเจ่าไห่ ซึ่งเดซี่เองก็ไม่ได้ปิดบังอะไรกับพวกเขา ซึ่งเมื่อพกวทาสได้ยินแล้ว พวกเธอนั้นรู้สึกตกใจและไม่เคยคิดเลยว่าเจ่าไห่จะเป็นคนดีขนาดนั้น

เธอบอกว่าเจ่าไห่นั้นไม่ชอบที่มีคนคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขา นั้นทำให้พวกทาสนั้นรู้สึกว่าเจ่าไห่นั้นมีเมตตากับพวกเขามากในยุคสมัยนี้จึงทำให้พวกทาสนั้นระวังตัวกับเขาน้อยลง

เจ่าไห่นั้นไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มา เนื่องจากว่าเขานั้นมาจากคนยุคสมัยใหม่แม้ว่าจะมีความทรงจำของอดัมอยู่บางแต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ชอบที่จะให้มีใครมาคุกเข่าให้เขาอยู่ดี ซึ่งมันทำให้เขานั้นรู้สึกสบายใจมากว่าที่เห็นพวกเขานั้นไม่ทำความเคารพเขาด้วยการคุกเข่า

เมอร์รินและเจ่าไห่นั้นเดินไปยังลานกว้างเพื่อทักทายเม็ก หลังจากนั้นเขาเดินไปยังพื้นที่โล่งในลานเพื่อนำกองหินออกมาจากมิติ

จากนั้นเจ่าไห่ก็หันไปมองพวกทาสที่ยังทอเสื่อกันอยู่ เป็นได้ชัดว่าพวกเขานั้นมีทักษะที่ดีพอในการทำงานนี้ มือของพวกเขานั้นยืดหยุ่นและพวกเขานั้นสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย

พวกเขานั้นนั่งบนพื้นรอบๆกองหญ้านั้นซึ่งสูงแทบจะบัดบังตัวพวกเขาจนหมด

เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ่าไห่ก็อดคิดถึงเรื่องเล่าชื่อ เรือฟางยืมเกาทัณฑ์ [TL : ตอนฉบับใช้Cao Chuan Jie Jianซึ่งเป็นเรื่องการศึกในสามก๊ก ผมก็ไม่เคยอ่านแต่ก็พอได้ยินมาบ้างก็เลยหาดูว่ามันใช้ชื่อนี้เรียกกันเลยใช้ทับศัพท์ของคนอื่นแทนเลยนะครับ]

มันเป็นเรื่องที่จูกัดเลี่ยงใช้เรื่องฟางและหุ่นไล่กานั้นขโมยลูกศรจากโจโฉ

เรือฟาง? ใช่แล้วในที่สุดเจ่าไห่ก็จำเรื่องราวบางอย่างในชีวิตอดีตของเขาได้ ว่าเลยมีใครบางคนนั้นเรือที่ทำจากหญ้าเพื่อเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก แม้ว่าเขาจะจำไม่ได้ว่าชายคนนั้นจะทำได้สำเร็จหรือไม่ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเขานั้นสามารถสร้างเรือได้จากหญ้าพวกนี้

เจ่าไห่จึงวิ่งไปรอบด้วยความตื่นเต้น ถ้าเขาสามารถใช้หญ้าพวกนี้ได้จริงๆ ดังนั้นปัญหาการสร้างเรือก็จะหมดไป เขานั้นจะสามารถไปยังหุบเขานั้นได้ด้วยตัวของเขาเอง

ซึ่งยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้เจ่าไห่นั้นรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น แต่เมอร์รินที่ยืนอยู่ข้างๆนั้น เธอรู้สึกตกใจที่เจ่าไห่นั้นวิ่งไปมาเพราะเธอนั้นรู้ว่านายน้อยนั้นเป็นอะไร “นายน้อย เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ?”

จากนั้นเจ่าไห่ก็รู้สึกตัวก่อนที่จะมองไปยังเมอร์ริน เมื่อเขาหันไป ทุกคนก็จ้องไปที่เจ่าไห่เช่นกัน เขานั้นรู้สึกอายก็จะปัดไปว่า “ยายเมอร์รินช่วยตามเม็กและเดซี่ช่วยตามผมมาที่ห้องนั่งเล่นด้วย ผมคิดอะไรบางอย่างออก!”

เมอร์รินนั้นไม่รู้ว่าเจ่าไห่นั้นต้องการจะทำอะไร แต่เธอเชื่อว่ามันต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่ๆ เธอจึงรีบเรียกเดซี่และเม็กนั้นมายังห้องนั่งเล่นกับเธอ

เจ่าไห่นั้นเดินไปมาในห้องนั่งเล่นขณะที่จับหน้าผากของเขาตามนิสัยที่ติดตัวมา ก่อนที่จะหยุดเมื่อทั้งสามเดินมาถึง

“นั่งลงก่อน ผมมีบางอย่างจะคุยด้วย” แต่ทั้งสามนั้นก็ยังคงยืนอยู่ไม่กล้าที่จะนั่งลง

เจ่าไห่ยิ้มก่อนที่จะพาตัวเองนั่งลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นั่งลงก่อน” จากนั้นทั้งสามก็นั่งลงโดยที่พวกเขานั้นนั่งหลังตรงแม้ว่าเดซี่นั้นก็ก้มหัวลงเล็กน้อยไปกล้าที่จะมองไปยังเจ่าไห่ตรงๆ

เมื่อเจ่าไห่นั้นมองไปที่ทั้งสามคนเขาก็พูดขึ้นว่า “ยายเมอร์ริน ผมพึ่งคิดเรื่องที่จะทำอย่างไรให้พวกเรานั้นสามารถสร้างเรือเพื่อไปยังหุบเขานั้นได้ เนื่องจากว่าเรานั้นมีวัสดุไม่มากพอที่จะสร้างเรือแต่เมื่อผมเห็นกองหญ้านั้นผมก็คิดขึ้นได้ว่าทำไมเราไม่สร้างเรือจากหญ้าพวกนี้ล่ะ?”

พวกเขาทุกคนจ้องไปที่เจ่าไห่แม้กระทั่งเดซี่เองก็ตาม นี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขานั้นเคยได้ยินเรือการสร้างเรือจากหญ้า

เมอร์รินนั้นเองก็ไม่แน่ใจ “นายน้อย มันจะสามารถสร้างได้จริงงั้นหรือ”

เจ่าไห่ยิ้ม “สร้างได้แน่นอน เพียงแค่เรานั้นจำเป็นต้องใช้หญ้าจำนวนมากและมัดมันรวมเข้าด้วยกันซึ่งอาจจะต้องใช้เชือกด้วย หญ้าบนภูเขานั้นค่อยข้างจะแข็งแรงดังนั้นการสร้างเรือจึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเม็กและเดซี่ก็ลองให้พวกทาสสร้างมันขึ้นมา ไม่ต้องกลัวที่จะสร้างมันผิดพลาดแต่จงทดลองจนกว่าจะได้”

เมอร์รินเห็นท่าทางของเจ่าไห่ที่มั่นใจ เธอจึงไม่พูดอะไรซึ่งในใจของเธอก็คิดว่าถึงแม้ว่ามันจะไม่สำเร็จอย่างมากพวกเขาก็แค่เสียหญ้าและก็เชือกพวกนี้แค่นั้นเอง

เจ่าไห่พูดต่อไปว่า “เม็ก ผมจะให้แผนการและแบบสำหรับเรือหญ้าอันนี้ตามผมไปที่ห้องเรียนด้วย” จากนั้นเจ่าไห่ก็เดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับเม็กที่เดินตามไปติดๆ

เมื่อถึงห้องเรียน เจ่าไห่ก็วาดรูปเรือหญ้าจากความทรงจำของเขา ซึ่งรูปแบบนั้นไม่ได้ซับซ้อนมาก ซึ่งมันดูเหมือนรองเท้าอาหรับ กับปลายด้านหน้าที่เอียงสูงและปลายด้านหลังที่ค่อนข้างแบนราบ ซึ่งโดยรวมแล้วก็จะมีส่วนด้านล่างที่หนาและมัดด้วยเชือกบริเวณตรงกลางเพื่อให้แข็งแรง ซึ่งภาพที่วาดนี้จะเป็นแบบให้แก่เม็ก

เมื่อเจ่าไห่วาดเสร็จแล้วเขาก็มอบมันให้แก่เม็ก “นี้จะเป็นแบบเรือที่ผมคิดไว้ ลองสร้างดูตามแบบนี้ ลองพยายามดูสำเร็จหรือไม่นั้นไม่สำคัญ”

จากนั้นเม็กก็เดินจากไปพร้อมกับแบบภาพ

เมื่ออยู่ตัวคนเดียวเจ่าไห่นั้นไม่รู้ว่าจำทำอะไรดี แต่เขาก็เห็นหนังสือบนชั้นนั้นทำให้ตาของเขานั้นประกายขึ้นมา

โชคดีแม้ว่าอดัมนั้นจะเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องแต่เพราะเขานั้นเป็นลูกของขุนนางทำให้เขานั้นถูกสอนให้อ่านหนังสือ ไม่เช่นนั้นแล้วเจ่าไห่ก็คงไม่สามารถรู้เรื่องภาษาของโลกแห่งนี้ได้

เมื่อเจ่าไห่นั้นมองไปที่ชั้นหนังสือ มันมีหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือไม่ก็หนังสือพิชัยสงครามซึ่งมีบางอย่างที่กล่าวถึงเวทย์มนตร์ไม่ก็ศิลปะการต่อสู้ไว้

หนังสือเล่มแรกที่เจ่าไห่หยิบนั้นคือหนังสือประวัติศาสตร์ ซึ่งเมื่อเปิดอ่านแล้วก็ทำให้เขานั้นถึงกับมึนหัวเลยทีเดียว เพราะเรื่องราวบางส่วนที่เขียนไปนั้นเหมือนกับการบันทึกของพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในขณะที่บางส่วนนั้นก็เหมือนกับเรื่องเล่าของเทพนิยาย ซึ่งมันยากต่อการเข้าใจ

ซึ่งหลังจากอ่านไปสองหน้าเจ่าไห่ก็โยนมันทิ้งก่อนที่จะหยิบหน้งสือเล่มอื่นขึ้นมา ซึ่งหนังสือที่เขาหยิบนั้นเป็นเรื่องราวของการเดินทางซึ่งเป็นการบันทึกเกี่ยวกับประเพณีและตำนานต่างๆในทวีป ซึ่งเจ่าไห่นั้นชอบหนังสือประเภทนี้จึงทำให้เขานั้นอ่านอย่างตั้งใจ

เนื่องจากเจ่าไห่นั้นหมกตัวอยู่ในห้องเรียนอยู่นานทำให้เมอร์รินและเม็กนั้นเป็นกังวลก่อนที่จะมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อมองเข้าไปในห้องแล้วพบเจ่าไห่นั้นกำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด