ตอนที่แล้วตอนที่ 25 – ฉลาดขึ้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 27 – 2ตันครึ่งต่อวัน

ตอนที่ 26 – วิกฤตใหม่


เมื่อเจ่าไห่และบล๊อคนั้นยืนอยู่ริมทะลสาบ เมอร์รินก็ร่ายเวทย์มนตร์จากนั้นน้ำในทะเลสาบก็ลอยตัวขึ้นมาห่อหุ้มพวกเขา

และน้ำที่ห่อหุ้มพวกเขานั้นเคลื่อนที่เป็นคลื่นน้ำตามทรงกลมรอบตัวเขา

เจ่าไห่พบว่าพวกเขานั้นยืนอยู่ในลูกบอลฟ้าใส และมีบางอย่างคล้ายกับน้ำพุร้อนดันตัวพวกเขาให้อยู่เหลือน้ำ

นี้เป็นครั้งที่สองที่เจ่าไห่นั้นได้เห็นเวทย์มนต์ ครั้งแรกนั้นเป็นช่วงที่เมอร์รินนั้นใช้เวทย์บอลแสงกับควบคุมน้ำให้กลายเป็นก้อนน้ำ และตอนนี้พวกเขานั้นใช้เวทย์มนตร์เพื่อเป็นยานพาหนะเพื่อเดินทางกลับปราสาท

ขณะที่พวกเขานั้นเคลื่อนที่ไปบนทะเลสาบ เจ่าไห่นั้นก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เขารู้ว่าที่โลกแห่งนี้นั้นมีเวทย์มนตร์และเมอร์รินเองก็เป็นนักเวทย์น้ำระดับแปดซึ่งทำให้เขารู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มาก

เมอร์รินนั้นทำตัวตามสบายเพราะความมั่นใจในเรื่องเวทย์น้ำของเธอเป็นอย่างมาก ราวกับว่าไม่มีใครที่จะสามารถต่อกรกับเธอได้ เมื่อเธอพูดถึงเรื่องสัตว์อสูร เธอนั้นไม่มีความกังวลกับเรื่องนี้แม้แต่น้อยเพราะเธอเชื่อว่าจะสามารถจัดการมันอย่างง่ายดาย

เวทย์น้ำที่ใช้เป็นพาหนะนี้นั้นทำให้พวกเขาเดินทางได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่จะมาถึงหุบเขาแห่งนี้เพราะพวกเขานั้นต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง แต่ตอนนี้พวกเขาใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ออกมายังอีกฝั่งของภูเขาเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่พวกเขาเป็นถ้ำที่เป็นทางเข้าไปยังเหมืองบริเวณปราสาทซึ่งนั้นทำให้พวกเขารู้ว่าทะเลสาบแห่งนี้เชื่อมต่อกันนั้นหมายความว่าพวกเขานั้นสามารถเดินทางผ่านทางทะเลสาบนี้ได้และยังทำให้พวกเขาสามารถเดินทางมาได้อย่างลับๆอีกด้วย

เมื่อพวกเขามาถึงอีกด้าน เมอร์รินก็ยกเลิกเวทย์มนตร์ของเธอ และเจ่าไห่ก็กระโดดลงพื้นเมื่อเจ่าไห่ได้แตะพื้นดินมันทำให้เขาโล่งใจขึ้นมา เพราะในตอนนี้เจ่าไห่นั้นยืนอยู่บนพื้นน้ำนั้น เขารู้สึกกังวลที่จะตกลงไปในน้ำเป็นอย่างมาก

หลังจากนั้นทั้งสามก็เดินไปในถ้ำนั้นและเป็นพวกทาสกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นเนื่องจากมันยังไม่ถึงเวลาเที่ยงพวกทาสเหล่านี้จึงยังทำงานอยู่ซึ่งบางคนนั้นกำลังเก็บกวาดเหมืองอยู่และบางส่วนนั้นทำงานไม้อยู่

เพื่อที่จะเลี้ยงบูลอายแรบบิท พวกเขานั้นต้องสร้างรั้วเป็นจำนวนมาก เนื่องจากพวกเขานั้นไม่มีเหล็กจึงทำให้เหลือเพียงทางเลือกเดียวคือไม้

ตอนที่พวกเขาถูกเนรเทศของจากปราสาทนั้น กรีนได้ซื้อไม้ไว้จำนวนหนึ่งแม้ว่าจะไม่มากนัก เขานั้นเลือกซื้อไม้สำเร็จรูป เพราะแม้ว่าจะมีทาสบางคนเป็นช่างไม้ แต่พวกเขานั้นก็ไม่สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เนื่องจากว่าทาสเหล่านั้นจะมีค่าตัวราคาแพง

เมื่อทั้งสามมาถึง พวกทาสก็ตกใจผงะก็ที่จะก้มลงคำนับพวกเขาสามที ทั้งสามนั้นพยักหน้าให้พวกเขาก่อนที่จะเดินออกไปจากเหมือง

เม็กและร๊อคที่ยืนอยู่นอกเหมืองนั้นตกใจมาเมื่อเห็นทั้งสามคนเดินออกมา เม็กรีบทักทายและถามด้วยความสงสัย “นายน้อย คุณยาย พวกคุณออกมาจากเหมืองได้ยังไงกัน?”

เมอร์รินยิ้ม “พวกเรานั้นออกมาจากทะเลสาบ อีกด้านหนึ่งนั้นเป็นหุบเขาซึ่งพวกเราเลือกที่จะใช้มันเป็นฟาร์มแห่งใหม่ นายน้อยได้ทำการปรับปรุงพื้นดินบางส่วนแล้ว พวกเราจึงกลับมา”

ดวงตากของเม็กก็เปล่งประกายขึ้นมา “จริงหรือป่าวค่ะ? ยอดไปเลย! ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพวกคุณยายจะทำได้สำเร็จ”

พวกเขาได้พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับทะเลสาบและหุบเขาที่พวกเขาเจอจนกระทั่งเมอร์รินนั้นหันไปหาเจ่าไห่และกล่าวว่า “นายน้อยกลับปราสาทไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ ฉันมีบางอย่างที่จะต้องบอกคุณ”

ตอนนี้เจ่าไห่รู้สึกประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าเมอร์รินนั้นต้องการที่จะพูดเรื่องอะไรกับเขา แต่เมื่อดูจากสีหน้าของเธอแล้วเขาจึงพยักหน้าตอบทันที “งั้นก็ได้ครับ ผมกลับก่อนแล้วกันนะครับ บล๊อคอยู่ช่วยเม็กและร๊อค” บล๊อคจึงตอบตกลงที่จะอยู่ช่วยกันที ในขณะที่เม็กนั้นบอกว่าจะดูแลทาสต่อ

เมอร์รินและเจ่าไห่นั้นเดินกลับมายังห้องนั่งเล่นในปราสาท เจ่าไห่มองด้วยความสงสัย“ยายเมอร์ริน มีอะไรที่ต้องการจะบอกผมแต่ไม่สามารถพูดก่อนหน้านี้ได้อย่างงั้นเหรอครับ?”

“นายน้อย ตอนที่พวกเรากลับมานั้น ตลอดทางดินฉันนั้นพยายามที่สำรวจโดยใช้พลังเวทย์ใต้น้ำแต่ก็ไม่พบสิ่งใดเลย ซึ่งนั้นหมายความว่ามีคำอธิบายได้สองอย่าง หนึ่งคือสัตว์อสูรน้ำนั้นแข็งแกร่งกว่าฉันและสามารถที่จะปกปิดพลังของตัวเองได้อย่างแนบเนียน แต่นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยเพราะฉันเป็นถึงนักเวทย์ระดับ 8 ดังนั้นฉันจึงมั่นใจว่าไม่น่าจะมีสิ่งไหนที่จะสามารถหลบเลี่ยงการตรวจของฉันได้ ดังนั้นจึงเรื่องคำอธิบายอีกอย่างคือไม่มีสัตว์อสูรในน้ำเลย แต่มีเหตุผลบางอย่างทำให้ไม่มีพวกปลาอาศัยอยู่ในน้ำเลยแม้แต่น้อย”

เจ่าไห่ตระหนักได้ถึงปัญหาที่ยิ่งใหญ่นี้ ทะเลสาบใต้ดินนั้นเป็นแผนส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่จะใช้ในการฟื้นฟูตระกูล ซึ่งถ้าหากพวกเขานั้นไม่สามารถเลี้ยงปลาได้ พวกเขาจะขาดแหล่งรายได้สำคัญอีกทางหนึ่ง เพราะการที่มีทะเลสาบที่ใหญ่เช่นนี้แต่ไม่สามารถใช้งานได้นั้นมันช่างสูญเปล่าจริงๆ ซึ่งมันทำให้อารมณ์ของเจ่าไห่บูด “ยายพอจะหาสาเหตุของเรื่องนี้ได้ไหม?”

เมอร์รินแสดงสีหน้าหนักใจ “เธอนั้นเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวับบึงซากศพแต่เธอนั้นไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกันหรือป่าว” เธอชะงักเล็กน้อย “พวกเขานั้นบอกว่ามันมีสาเหตุว่าทำไมแดนทมิฬนั้นจึงอยู่ใกล้กับบึงซากศพ นั้นก็เพราะว่าบางครั้งในแดนทมิฬนั้นจะถูกบุกรุกโดยกองทัพซอมบี้สัตว์อสูรพิษซึ่งมันจะฆ่าทุกชีวิตในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งมันทำให้พื้นดินแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยพิษที่ติดตัวสัตว์อสูรมา แต่เนื่องจากว่าไม่ใครนั้นเคยเดินทางมาที่นี้หรืออยู่ที่นี้ ทำให้ไม่เคยมีใครพิสูจน์ว่าข่าวลืมนี้เป็นจริงหรือไม่ ซึ่งถ้าหากมันเป็นจริงละก็ นั้นก็คงเป็นสาเหตุว่าทำไมจึงไม่มีปลาในทะเลสาบแห่งนี้”

สีหน้าของเจ่าไห่เปลี่ยนไป ตอนนี้เขารู้สึกหนักใจกว่าเมอร์ริน ถึงแม้ว่าเมอร์ริน กรีน บล๊อค และร๊อคจะสามารถจัดการสัตว์อสูรเหล่านี้ได้ แต่พวกทาสนั้นไม่สามารถที่จะสู้ได้เลยแม้แต่น้อย ถ้าเรื่องซอมบี้สัตว์อสูรนั้นที่วิ่งออกมาจากบึงซากศพเป็นจริงละก็ ถ้าพวกมันโจมตีพวกเราละก็ จะต้องมีคนตายหลายคนอย่างแน่นอน

เจ่าไห่นั้นลูบหน้าผากซึ่งเป็นนิสัยที่ติดตัวมาจากอดีต

เมอร์รินนั้นก็กังวลเองเช่นกัน ถ้าหากเรื่องนี้เป็นจริงละก็ พวกเขาอาจจะต้องหยุดแผนการต่างๆ และมันยากมากที่พวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในที่แห่งนี้

“ถ้าเรื่องที่คุณเล่าเป็นจริงล่ะก็ พวกเราเจอปัญหาใหญ่แน่” เจ่าไห่กล่าวว่า “ยายเมอร์ริน พวกเราจะรอให้ปู่กรีนนั้นกลับมาก่อนที่จะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก่อนอื่นเลยพรุ่งนี้คุณให้พวกทาสนั้นหยุดเรื่องการปรับปรุงเหมืองก่อน แต่ให้พวกเขานั้นหาวัสดุไปสร้างอาวุธอย่างง่ายๆก่อน แล้วให้พวกทาสฝึกป้องกันตัวพร้อมกับซ่อมปราสาทบางจุดไว้ด้วย เพราะถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นพวกเรายังใช้ปราสาทแห่งนี้เป็นที่ตั้งได้ และถ้ามันไม่สำเร็จ ผมจะพาทุกคนนั้นเข้าไปในมิติของผมเพื่อหลบเลี่ยงซอมบี้สัตว์อสูรพวกนี้”

เมอร์รินขมวดคิ้ว “แต่พวกเราก็มาที่แดนทมิฬแห่งนี้หลายวันแล้วแต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันคิดว่ามันไม่น่าจะเป็นปัญหา และหวังว่าเรื่องที่พวกเรากังวลจะไม่เป็นจริง”

เจ่าไห่ส่ายหัว “ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่แต่พวกเราก็ควรมีมาตรการป้องกันไว้ ตอนนี้ตระกูลบูดามีโอกาสที่จะสามารถอยู่ในที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ถ้าพวกเราสูญเสียมันไปอีกละก็พวกเราจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว”

“ได้ค่ะ นายน้อย ฉันจะไปจัดการเรื่องเหล่านี้ให้ แต่คุณควรรู้ว่าสิ่งของที่พวกเรานำมานั้นส่วนใหญ่ พวกเราไว้ใช้สำหรับการดำรงชีวิต พวกเรานั้นไม่ได้นำอาวุธมาเลยแม้แต่น้อย แล้วพวกเราจะสร้างมันได้อย่างไร?”

เจ่าไห่ไม่มีไอเดียวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ถ้ามิติฟาร์มของเขานั้นมี Lv ที่มากกว่านี้ เขายังพอที่จะสามารถปลูกต้นไม้เพื่อสร้างเป็นอาวุธได้ แต่ตอนนี้ฟาร์มเขามี Lv ที่น้อยเกินไปและเขานั้นเองก็ไม่สามารถที่จะให้พวกทาสนั้นใช้ต้นข้าวโพดเอาไปสู้กับซอมบี้สัตว์อสูรได้

เจ่าไห่นั้นลูกหน้าผากของเขาจนแดงไปหมดแต่เขานั้นก็ยังคิดอะไรไม่ออกจนกระทั่งเขามองไปบนพื้น จากนั้นเขาก็ปี๊งไอเดีย “ยายเมอร์ริน พรุ่งนี้ให้พวกทาสนำหินกลับมาด้วย พวกเราใช้หินไปสร้างอาวุธได้อย่ แม้ว่ามันจะมีประสิทธิภาพได้ไม่มาก แต่มันยังพอที่จะใช้ป้องกันตัวได้”

เมอร์รินเมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงตอบตกลง “เจ้าจักรพรรดิบ้านั้นไม่ให้พวกเรานำอาวุธติดตัวมาด้วย ดังนั้นมันเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ในตอนนี้ แต่ถ้าหากว่ากรีนนั้นกลับมา พวกเราต้องให้เขาออกไปซื้ออาวุธเตรียมไว้บ้าง”

เจ่าไห่พยักหน้าตอบ เขานั้นไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่พวกเขานั้นต้องกลับไปใช้ชีวิตในยุคหิน

ดูเหมือนว่าพวกชนชั้นสูงในจักรวรรดินั้นจะไม่ให้ทางเลือกแก่พวกเขาเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาก็คงจะให้ตระกูลบูดานั้นนำอาวุธมายังแดนทมิฬแห่งนี้ได้บาง เขานั้นไม่เชื่อว่า พวกคนเหล่านั้นจะไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับแดนทมิฬแห่งนี้

มันไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับความอดยากในที่แห่งนี้ แต่พวกเขานั้นยังต้องเผชิญกับซอมบี้สัตว์อสูรซึ่งเป็นวิกฤตใหม่นี้อีกด้วย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด