ตอนที่แล้วบทที่ 80 การเปลี่ยนแปลงบนป้ายหินสุสาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 82 ไม่เสี่ยงก็ไม่รวย!  

บทที่ 81 พรรคอัจฉริยะปราณ


 

เมื่อจั่วม่อรีบรุดไปถึงประตูใหญ่ของสำนักที่เชิงเขา มันพบว่าสถานการณ์ยังร้ายแรงกว่าที่มันคาดคิด

ประตูใหญ่ถูกล้อมรอบด้วยผู้คนมากมาย แบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน จั่วม่อกวาดตามองกลุ่มคนที่มาก่อกวน ที่สะดุดตามากที่สุด เป็นหนึ่งสตรีกับอีกสองบุรุษ ทั้งอาภรณ์ เครื่องแต่งกาย ทั้งท่วงท่าสภาวะของพวกมันทั้งสาม ล้วนแตกต่างจากผู้คนที่อยู่ด้านหลังพวกมันอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเมื่อจั่วม่อพบเห็นเหล่าเฮยที่ได้รับบาดเจ็บ โทสะในใจก็พลุ่งพล่านทะยานฟ้า

จั่วม่อสืบเท้าออกไปหนึ่งก้าว ร่างหายวับ จากนั้นปรากฏตัวขึ้นข้างกายเหล่าเฮย

เหล่าเฮยมีเลือดไหลปรี่ออกจากมุมปาก สีหน้าซีดเซียว แต่เมื่อมันพบเห็นจั่วม่อ ใบหน้าก็ทอแววปิติยินดี

“เกิดเรื่องอันใด?” จั่วม่อถามเสียงหนัก

เห็นจั่วม่อปรากฎกาย จิตวิญญาณของเหล่าศิษย์สำนักกระบี่สุญตาก็ลุกโชนขึ้นมาในทันใด

“โหย๋ สุดท้ายก็มีคนเต็มใจออกหน้าแล้ว” หนึ่งในสองบุรุษ ในหมู่คนทั้งสาม ซึ่งสวมเกราะปราณสีน้ำเงินอันโอ่อ่าหรูหรา กล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “ข้ายังหลงคิดว่าศิษย์สำนักสุญตาเป็นเต่าฝูงหนึ่งเสียอีก เฮ้ เจ้าหนู แจ้งนามของเจ้ามา เหวยเสิ้งอยู่ที่ใด? ไฉนไม่กล้าออกมา?

จั่วม่อไม่แยแสสนใจมัน เพียงจ้องมองเหล่าเฮย

เหล่าเฮยสีหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น “พวกมันกล่าวว่าต้องการหาศิษย์พี่เหวยเสิ้งเพื่อขอคำชี้แนะ แต่เหวยเสิ้งจะออกมาได้อย่างไรเล่า? ดังนั้นพวกมันเริ่มก่อกวน พวกมันบอกว่าหากศิษย์พี่เหวยเสิ้งไม่ออกมา จะทำลายทุ่งนาปราณที่นี่ทั้งหมด เจ้าคิดดู ข้าจะปล่อยให้พวกมันทำลายทุ่งนาปราณของข้าได้อย่างไร?”

จั่วม่อล้วงเม็ดยาออกจากอกเสื้อยัดใส่มือเหล่าเฮย มันเป็นศิษย์ของสือฟ่งหรง อย่างน้อยที่สุดก็ไม่เคยขาดแคลนเม็ดยา เหล่าศิษย์รอบข้างล้วนมีสีหน้าอิจฉาเลื่อมใส ส่งเหล่าเฮยให้ศิษย์ฝ่ายนอกที่ยืนอยู่ด้านหลังรับไปดูแล จั่วม่อหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับผู้รุกราน

“หน้าผีดิบนั่น ฮะ เจ้าคือจั่วม่อหรอกหรือ” บุรุษชุดเกราะปราณน้ำเงินกล่าว พลางส่ายนิ้วไปมาอย่างเย่อหยิ่ง “ฟังว่าเจ้ามีฝีมือทางหลอมกลั่นโอสถ เจ้าไม่ใช่คู่มือเรา ไปพาเหวยเสิ้งออกมาเถอะ อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งตงฝูไฉนหดหัวหรุบหาง? หากมันไม่กล้าจริงๆ ไม่ใช่ว่ายังอีกคนหรือ ที่เรียกว่าหลัวหลีอะไรนั่น?

“เจ้ามาจากสำนักใด?” จั่วม่อถามอย่างเยือกเย็น

“ฮิฮิ พวกเรามาจากพรรคอัจฉริยะปราณ” ผู้ตอบวาจาเป็นสตรีหนึ่งเดียวในสามคน นางสวมเกราะปราณดอกท้อสีชมพู เรือนร่างอ่อนหวานแช่มช้อย รัดรึงใจ สะพรั่งด้วยวัยสาว แววตาเป็นประกายสุกใส เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักสุญตาแทบไม่มีผู้ใดไม่จ้องมองนางอย่างหื่นกระหาย แต่นางไม่มีท่าทีเอียงอายแม้แต่น้อย กลับยิ้มแย้มแจ่มใสและภาคภูมิ

จั่วม่อย่อมเคยได้ยินชื่อพรรคอัจฉริยะปราณมาก่อน พวกมันเป็นค่ายสำนักที่ทรงพลังที่สุดและมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในตงฝู มีธุรกิจการค้ามากมายอยู่ภายใต้อำนาจของพรรค ศิษย์ที่รับเข้าพรรคส่วนใหญ่มาจากตระกูลร่ำรวย แตกต่างจากสำนักกระบี่สุญตาอย่างสิ้นเชิง พวกมันยังมีจำนวนศิษย์ที่น่าแตกตื่น เฉพาะศิษย์ด่านจู้จีในพรรคอัจฉริยะปราณก็มากกว่าแปดสิบคนแล้ว จำนวนนี้ทิ้งห่างสำนักกระบี่สุญตาไว้ข้างหลังชนิดไม่เห็นฝุ่น แม้พวกมันจัดอยู่ลำดับแรกในตงฝู แต่ศิษย์ด่านจู้จีของพรรคอัจฉริยะปราณเหล่านี้กลับมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดในตงฝู สิ่งที่พวกมันชื่นชอบและถนัดมากที่สุดคือการสร้างปัญหา หลายคนมีพื้นฐานตระกูลเข้มแข็ง ชมชอบก่อเรื่องให้สำนักอื่นที่สุด ทว่าสำนักเหล่านั้นล้วนได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน

พวกมันจับกลุ่มก่อเรื่องไปทุกแห่งหน เนื่องเพราะพวกมันรับประทานโอสถปราณตั้งแต่เด็ก พลังบำเพ็ญเพียรย่อมรุดหน้าก้าวไกลกว่าศิษย์ทั่วไป และเนื่องจากตลอดทั้งร่างพวกมันเพียบพร้อมไปด้วยยุทธภัณฑ์เวทนานาชนิด เมื่อประมือกันก็แค่โยนยุทธภัณฑ์เวทถมๆ ลงไป ศิษย์สามัญที่ไหนจะเอาชนะพวกมันได้? และหากฝ่ายตรงข้ามเข้มแข็งกว่าพวกมัน พวกมันจะรีบเร่งใช้งานยุทธภันฑ์เวทป้องกันทั้งมวล ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ซิวเจ่อผู้เข้มแข็งแต่ยากจนก็ได้แต่เดินวนรอบๆ พวกมัน โดยไม่รู้จะโจมตีอย่างไรแล้ว

แต่พวกมันก็เฉลียวดฉลาดนกรู้เป็นที่สุด จึงไม่เคยตอแยบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงดังเช่นหวีป๋ายหรือจงหมิงเอี้ยน

ต่อมา พวกมันได้ยินว่ามีคนที่ทรงพลังมากปรากฏขึ้นในสำนักกระบี่สุญตา เรียกว่าเหวยเสิ้ง ซึ่งได้รับการขนานนามเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปี พวกมันปกติไม่กล้าก่อเรื่องที่สำนักใหญ่เช่นหอตงฝูหรือสำนักกระบี่ตงฉี แต่สำหรับสำนักกระบี่สุญตาแห่งนี้ พวกมันไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน กับสำนักเล็กๆ เช่นนี้พวกมันหาได้หวาดเกรงอันใดไม่ เนื่องจากช่วงนี้ตงฝูครึกครื้นมาก เหล่าผู้อาวุโสของแต่ละค่ายสำนักล้วนออกไปด้านนอกแทบทั้งหมด ช่วงเวลาดีๆ เยี่ยงนี้ พวกมันจะปล่อยผ่านไปโดยไม่ออกมาสนุกสนานได้อย่างไร?

อย่าได้เห็นว่าพวกมันเย่อหยิ่งโอหัง แต่แท้ที่จริงไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา ก่อนที่จะมาที่นี่ พวกมันยังได้สืบหาข้อมูลมาเป็นอย่างดี ในบรรดาศิษย์รุ่นนี้ของสำนักกระบี่สุญตา ที่มีชื่อเสียงที่สุดมีอยู่สองคน คนแรกคือเหวยเสิ้ง อีกคนเป็นจั่วม่อผู้มีฝีมือในการหลอมกลั่นโอสถ แต่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นว่าเหวยเสิ้งพลังฝีมือร้ายกาจถึงขั้นไหน สิ่งนี้ยิ่งทำให้พวกมันมั่นใจว่าเหวยเสิ้งมีเพียงชื่อเสียงเกินจริงเท่านั้น ส่วนจั่วม่อ นักหลอมกลั่นโอสถผู้หนึ่ง ยังจะสามารถก่อให้เกิดระลอกอันใดได้? นอกจากนี้แล้ว เหมือนจะยังมีอีกคนที่เรียกว่าหลัวหลี แต่ในสายตาพวกมันคาดว่าน่าจะธรรมดาทั่วไปเท่านั้น

ในผู้คนทั้งสาม ผู้ที่ใส่เกราะปราณสีน้ำเงินเรียกว่าเอี้ยนหมิงจื่อ(นางแอ่นโอ่อ่า) คนที่สวมเกราะปราณสีแดงสดใสสะดุดตาเรียกว่าหูซาน(ภูผาแซ่หู) ส่วนสตรีที่สวมเกราะปราณดอกท้อสีชมพูเรียกว่าเถาซูเอ๋อร์(นางงามน้อยแซ่เถา)

“อ้อ” จั่วม่อส่งเสียงรับรู้อย่างไร้อารมณ์ จากนั้นหันไปถามเหล่าเฮย “ผู้ใดเป็นคนทำร้ายเจ้า?”

“ฮ่าฮ่า เจ้าจะถามไปไย ฝีมือต้าเหยีย*ผู้นี้เอง” เอี้ยนหมิงจื่อกล่าวอย่างเหยียดหยาม “เจ้าควรไปตามเหวยเสิ้งออกมา แล้วกลับไปหลอมกลั่นโอสถของเจ้าเถอะ ต้าแหยอับอายที่จะลงมือกับเจ้า...”

(ต้าเหยีย – เจ้าใหญ่นายโต)

แต่แล้วสุ้มเสียงพลันชะงักขาดหาย

เอี้ยนหมิงจื่อจ้องมองจั่วม่ออย่างตกใจอยู่บ้าง ในสายตามัน ผีดิบตัวน้อยนี้คล้ายจู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกนี้...มันราวกับกระบี่ที่เพิ่งหลุดออกจากฝักเล่มหนึ่ง!

เอี้ยนหมิงจื่อไม่ได้เพิ่งต่อสู้และก่อเรื่องมาเพียงครั้งสองครั้ง มันมีประสบการณ์โชกโชน

พริบตานั้นมันละทิ้งสีหน้าล้อเลียนขบขัน เปลี่ยนเป็นกล่าวอย่างจริงจังอยู่บ้างว่า “คิดไม่ถึงว่าข้าจะสายตาฝ้าฟางถึงเพียงนี้ ที่แท้เจ้าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง!”

อีกสองคนก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน พลังสภาวะของจั่วม่อที่แผ่ซ่านออกมา แน่นอนว่าไม่คลับคล้ายอาจารย์โอสถซึ่งหมกมุ่นอยู่กับการหลอมกลั่นโอสถแม้แต่น้อย แต่ประหลาดใจก็แค่ประหลาดใจ พวกมันไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใด ที่ผ่านมาพวกมันคว่ำหวอดอยู่บนวิถีทางสายนี้มานาน จำนวนกระดูกขัดมันที่พวกมันเคยเผชิญมาเกรงว่านับจำนวนไม่ถ้วนแล้ว หลายต่อหลายคนยังเข้มแข็งกว่าพวกมัน แต่มีผู้ใดไม่ถูกพวกมันคว่ำลงในท้ายที่สุด? อย่าว่าแต่เจ้าผีดิบน้อยตัวนี้ยังมีพลังบำเพ็ญเพียรต่ำกว่าคนเหล่านั้นเสียอีก

จั่วม่อไม่สิ้นเปลืองวาจาไร้สาระ เพียงเผยกระบี่ผลึกน้ำแข็งออกมา

“ฮ่า! นั่นเรียกว่ากระบี่บินหรือ เจ้าช่างน่าสงสารเสียจริง!” เอี้ยนหมิงจื่อคำรามปนหัวร่อ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ดูกระบี่บินของข้าผู้เป็นต้าเหยียบ้าง!”

กระบี่ยาวสามฉื่อ รูปร่างคล้ายหยดน้ำที่ยืดจนเรียวยาว ผิวโลหะบนใบกระบี่เฉกเช่นผิวน้ำในสระ เข้มขลังและลึกสุดหยั่งถึง บางครั้งเห็นแสงประกายส่องวาววับ สำแดงความหรูหราสูงสง่าออกมา

“นามของมันเรียกว่ากระบี่หยดน้ำ ระดับสาม คุณภาพดีที่สุดในบรรดากระบี่บินธาตุน้ำ” เอี้ยนหมิงจื่อมองประเมินจั่วม่อจากหัวจรดเท้า แล้วส่ายศีรษะ “ทุกอย่างในร่างกายเจ้ารวมกันยังมีค่าไม่ถึงส่วนเสี้ยวของกระบี่บินเล่มนี้”

จั่วม่อไม่มีอารมณ์สนทนากับผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง มันไม่กล่าววาจา เพียงสะบัดมือ บังคับกระบี่ เปิดฉากโจมตีอย่างดุดัน

เพลงกระบี่เพลิงธารา ... ธาราหลั่งไหล!

ระลอกที่มองไม่เห็นกวาดวาบจากเบื้องหน้าของจั่วม่อ กระบี่ผลึกน้ำแข็งหายวับไป ทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุด้านหน้าเอี้ยนหมิงจื่อ

เอี้ยนหมิงจื่อเพียงเห็นอย่างเลือนรางชั่วแวบเดียว จู่ๆ กระบี่ของอีกฝ่ายก็โผล่ขึ้นตรงหน้ามันอย่างกะทันหัน เจตจำนงกระบี่ผนึกแน่นที่ปลายกระบี่ แหลมคมถึงที่สุด จนมันแทบไม่อาจลืมตาขึ้นมามอง มันแตกตื่นตระหนก รีบบังคับใช้กระบี่บินเข้าต้านทาน แต่กระบี่บินของอีกฝ่ายดุจลื่นไหลผิดปกติ ทั้งยังบิดพลิ้วไปตามเส้นโค้งอันพิสดารวงหนึ่ง หลบเลี่ยงกระบี่บินของมันอย่างปราดเปรียว ยังคงแทงตรงเข้าใส่มันอย่างแยบคาย

เอี้ยนหมิงจื่อแม้แตกตื่นแต่ไม่ลนลาน ประสบการณ์ต่อสู้ของมันโชกโชนยิ่ง มันทราบดีว่ากระบี่บินของอีกฝ่ายไม่ดีเท่าของมัน จึงตัดสินใจกระแทกใส่ซึ่งหน้าอย่างหักโหม

จั่วม่อแค่นเสียงอย่างเย็นชา อาจเป็นไปได้ว่ามันอยู่กับผูเยามานาน กระทั่งเสียงแค่นยังคล้ายเหมือนยิ่ง มันล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดหวังอันใด จะอย่างไรกระบี่ผลึกน้ำแข็งของมันก็คุณภาพด้อยกว่าอีกฝ่าย หากทั้งคู่ปะทะกันจริงๆ ฝ่ายที่เสียเปรียบย่อมเป็นตัวมันเอง มันมีกระบี่บินแค่เล่มเดียวเท่านั้น หากกระบี่สุดรักสุดหวงต้องมาพินาศเสียที่นี่ แน่นอนว่าสำนักจะไม่ยอมให้กระบี่เล่มใหม่แก่มันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

แต่ความสำเร็จในเคล็ดกระบี่เพลิงธาราของจั่วม่อก็ก้าวล้ำไปไกลกว่าเดิม คำชี้แนะของอาจารย์ลุงซินหยานช่วยแก้ไขข้อบกพร่องมากมาย เพลงกระบี่เพลิงธาราของมันในวันนี้ ราบรื่นกลมกลืนจนแทบจะไร้ร่องรอย

เคล็ดวิชากระบี่ที่อีกฝ่ายใช้ก็พิเศษอย่างยิ่ง แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ค่อยสนใจฝึกปรือ ทั้งเคล็ดความหลักและรายละเอียดยิบย่อยหลายอย่าง มันไม่ได้หยั่งถึงแม้แต่น้อย ว่ากันตามรายละเอียดและความประณีต เคล็ดวิชากระบี่ของอีกฝ่ายเหนือล้ำกว่าเคล็ดกระบี่เพลิงธาราอยู่บ้าง จั่วม่ออดส่ายศีรษะไม่ได้ มีเพลงกระบี่ที่ดีเยี่ยงนี้ แต่ไม่รู้จักหวงแหนทนุถนอม กระบี่บินของอีกฝ่ายยังดึงดูดใจจั่วม่ออย่างรุนแรง เมื่อเทียบกันแล้วกระบี่ผลึกน้ำแข็งของมันก็ดูราคาถูกมาก อันที่จริง สิ่งที่ทำให้จั่วม่อสนอกสนใจมากที่สุดก็คือ กระบี่หยดน้ำของอีกฝ่ายช่างเหมาะเจาะพอดีกับเคล็ดกระบี่เพลิงธาราของมันเสียจริง

กระบี่ผลึกน้ำแข็งของมันเหมาะสมกับเจตจำนงกระบี่ของอาจารย์ลุงซินหยาน แต่ไม่เหมาะกับเพลงกระบี่เพลิงธารา จั่วม่อเคยคิดไว้นานแล้ว ว่าจะต้องหากระบี่บินที่เหมาะสมกับเคล็ดกระบี่เพลิงธาราสักเล่ม

จั่วม่อหัวใจสะท้านหวั่นไหว อดบังเกิดความคิดชั่วร้ายไม่ได้

กระบี่ผลึกน้ำแข็งกลายเป็นคล่องแคล่วว่องไว ยากที่จะไล่ติดตาม เคล็ดกระบี่เพลิงธารายังคงเดินไปในแนวทางละเอียดอ่อนอ้อยอิ่ง เพียงแต่ในการเคลื่อนไหวทั้งหมด มักแฝงไว้ด้วยร่องรอยระเบิดอย่างรุนแรงชั่วแวบหนึ่ง เปี่ยมล้นด้วยรังสีสังหาร การระเบิดอย่างรุนแรงในชั่วพริบตานี้เองเป็นเหตุให้เอี้ยนหมิงจื่อรู้สึกกดดันมากขึ้นทุกขณะ บางครั้งเสมือนน้ำ บางคราวเสมือนไฟ ความรู้สึกที่ตรงกันข้าม ซ้ำยังสลับไปมาโดยไร้ร่องรอยนี้  ทำให้มันอึดอัดคับข้องแทบตายแล้ว!

หูซานกับเถาซูเอ๋อร์ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เอี้ยนหมิงจื่อถึงกับตกเป็นรองจริงๆ!

พวกมันต้องลอบประเมินจั่วม่อใหม่อีกรอบ

“จั่วม่อผู้นี้ฝีมือร้ายกาจมาก” เถาซูเอ๋อร์น้ำเสียงแปลกใจ “แตกต่างจากที่ได้ยินมาอย่างสิ้นเชิง พวกมันไม่ใช่เล่ากันว่ามันมีฝีมือทางหลอมกลั่นโอสถหรอกหรือ?”

“ข้อมูลเกี่ยวกับสำนักกระบี่สุญตามีน้อยนิดจนน่าเวทนา เราจะสืบเสาะจนชัดเจนได้อย่างไร?” หูซานแย้งอย่างเฉื่อยชา มันแม้รู้สึกไม่คาดฝันอยู่บ้าง แต่ก็แค่ประหลาดใจ หาได้หวาดวิตกแต่อย่างใด

“หากแค่จั่วม่อยังร้ายกาจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเหวยเสิ้งจะเข้มแข็งถึงระดับใด?” เถาซูเอ๋อร์อัศจรรย์ใจไม่น้อย

หูซานยิ้มหยัน “ไม่สำคัญหรอกว่าพวกมันร้ายกาจเพียงใด นี่ต้องตำหนิที่พวกมันทะยานขึ้นมาเร็วเกินไป จนเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว เหล่าศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงหลายคนเริ่มจับตามองพวกมันแล้ว ว่ากันว่าอาจารย์อาหลายท่านก็ไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อสำนักกระบี่สุญตา”

เถาซูเอ๋อร์แย้มยิ้มหยาดเยิ้ม “ใช่แล้ว ตงฝูก็ใหญ่โตเพียงเท่านี้เอง มีคนใหม่หมายเข้ามาแบ่งปันน้ำแกง เหล่าอาจารย์อาจอมตระหนี่ของพรรคเราจะยินดีได้อย่างไร?”

หูซานกล่าวอย่างไม่เห็นสำคัญ “จะอย่างไรนี่ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเรา แต่ข้าฟังมาว่าผู้อาวุโสบางคนของพวกมันก็ร้ายกาจมาก”

“พวกมันร้ายกาจ แต่ยังจะร้ายกาจกว่าจิงสืออีกหรือ?” เถาซูเอ๋อร์หัวร่อเบาๆ

“ฮ่าฮ่า นั่นก็ใช่แล้ว!” หูซานหัวร่อตาม

ระหว่างที่พวกมันสนทนา สถานการณ์สู้รบก็เปลี่ยนไป

เอี้ยนหมิงจื่อไม่หลบอีกแล้ว กระบี่ผลึกน้ำแข็งทะลวงใส่เกราะปราณของมันอย่างถนัดถนี่ เสียงดังสดใสกังวานไปรอบข้าง แต่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้บนเกราะปราณแม้แต่รอยขีดข่วน จั่วม่ออดชะงักไปวูบหนึ่งไม่ได้ ฉวยโอกาสที่จั่วม่อเสียขบวนรวนเร กระบี่หยดน้ำของเอี้ยนหมิงจื่อลงมือตอบโต้ในฉับพลัน

กระบี่เช่นสระน้ำเย็นเยียบ จั่วม่อรีบเอี้ยวตัวหลบ รู้สึกเหมือนลมหนาวจัดกระโชกเฉียดผ่านข้างแขน!

“ฮ่าฮ่า! เพียงแค่กระบี่บินระดับสอง จะมาเจาะผ่านเกราะวารีลี้ลับของข้าได้อย่างไร?” เอี้ยนหมิงจื่อหัวร่ออย่างภาคภูมิใจ พลังสภาวะของกระบี่ของมันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นอีก!

เถาซูเอ๋อร์ดูเหมือนไม่แปลกใจกับสถานการณ์ที่พลิกกลับของเอี้ยนหมิงจื่อ ทั้งยังรู้สึกเบื่อหน่าย นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “รู้จักแต่ใช้สถานะของตัวเองรังแกคนยากจน น่าเบื่อจริงๆ” ขณะบ่นว่า นางก็จัดกลีบดอกไม้บนเกราะปราณดอกท้อของนางเล่น

ใบหน้าหูซานเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ทอดตามองกระบี่ผลึกน้ำแข็งแทงใส่เกราะปราณของเอี้ยนหมิงจื่ออีกหนึ่งกระบี่

นี่มันไร้ประโยชน์ เจ้าไม่เข้าใจหรือ? หากจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าเกิดมายากจนข้นแค้น มันมองจั่วม่ออย่างเห็นอกเห็นใจ

เอี้ยนหมิงจื่อถึงตอนนี้ไม่หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย มันมั่นใจในเกราะปราณที่มันสวมใส่เป็นอย่างยิ่ง

แต่แล้ว ทันทีที่กระบี่ผลึกน้ำแข็งซึ่งเห็นว่านุ่มนิ่มอ่อนแอ แทงใส่เกราะปราณวารีลี้ลับเป็นคำรบสอง เหตุการณ์กลับแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน!

 

กลุ่มถึงตอนที่ 153 แล้ว คลิก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด