ตอนที่แล้วบทที่ 77 หลุมพราง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 79 การตัดสินใจของจั่วม่อ (เริ่มเล่ม2)

บทที่ 78 ลงมือ (จบเล่ม 1)


 

ตั๊กแตนจับจักจั่น นกกระจิบตามอยู่ด้านหลัง (หมายถึงคนที่รอชุปมือเปิบ)

เหวินเถี่ยซ่านเหรินส่งศิษย์ของตนมารับซื้อไข่มุกหยินอย่างเปิดเผย ในขณะที่ตัวมันแอบซ่อนอยู่ในเงามืด

คราวนั้น เมื่อมันเห็นนางเซียนอวิ๋นเสียถือครองมุกหยินอสนีบาต มันไม่ต่างอันใดจากถูกฟ้าผ่าใส่ร่าง

เรื่องราวเกี่ยวกับประโยชน์ใช้งานอันหลากหลายของไข่มุกหยิน แพร่กระจายไปทุกวิถีทาง เกือบทุกสำนักล้วนล่วงรู้ หลายคนก็ล่วงรู้ แต่มีคนไม่มากนักที่ล่วงรู้มากกว่าเหวินเถี่ยซ่านเหริน ในสายตาของผู้คนทั่วไป ชาติกำเนิดของเหวินเถี่ยซ่านเหรินนั้นลึกลับมาก ทุกคนทราบว่ามันมาจากสำนักเล็กๆ ที่เรียกว่าสำนักภูตสวรรค์ แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าสำนักเล็กๆ ที่ไม่มีผู้ใดรู้จักนี้ ที่แท้เป็นสำนักย่อยของสำนักภูตหยินที่เหลือรอดมาจากการล่มสลายในคราวนั้น

สามพันปีก่อน สำนักภูตหยินเป็นสำนักใหญ่อันทรงเกียรติแห่งหนึ่ง มีศิษย์จำนวนมากและมีสำนักย่อยมากมาย สำนักภูตหยินนั้นประสบชะตากรรมผู้คนล้มตาย และสำนักล่มสลายไปในมหาสงครามกับอสูรปิศาจเมื่อสามพันปีที่แล้ว แต่สำนักย่อยหลายแห่งโชคดีรอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เมื่อปราศจากไข่มุกหยิน เวทวิชามากมายที่เรียนรู้จากสำนักภูตหยินก็กลับกลายเป็นไร้ประโยชน์ เป็นเหตุให้บางสำนักย่อยเสื่อมทรุดลงและสูญสิ้นไป อย่างไรก็ตาม แม้บางส่วนสูญสิ้น แต่ก็มีบางสำนักย่อยรู้จักปรับตัวและมีความคิดริเริ่ม พวกมันศึกษาเรียนรู้เวทวิชาจากสำนักอื่น และอยู่รอดมาได้ในที่สุด

สำนักภูตสวรรค์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเหวินเถี่ยซ่านเหริน ก็เป็นหนึ่งในสำนักย่อยที่เหลือรอดมาเหล่านั้นเอง

สำนักภูตสวรรค์เป็นสำนักที่เล็กมาก เมื่อผ่านลงมาถึงรุ่นของมันก็เหลือแค่มันเพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตามเหวินเถี่ยซ่านเหรินเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันเด่นล้ำผู้หนึ่ง แม้ว่าเคล็ดวิชาของสำนักภูตสวรรค์ไม่มีอันใดพิเศษ แต่มันกลับทะลวงเข้าสู่ด่านจินตันสำเร็จ แต่กระนั้นมันก็มาถึงจุดจบในมรรคาบำเพ็ญเพียรของมันแล้ว และยากจะมีความรุดหน้าได้ด้วยเคล็ดวิชาสามัญเหล่านี้

ดังนั้นยามที่เห็นมุกหยินอสนีบาตในมือนางเซียนอวิ๋นเสีย ความปลาบปลื้มยินดีของมันก็เป็นที่เข้าใจได้ มันทราบดีว่าต้นกำเนิดของสำนักมาจากที่ใด ในหอคัมภีร์ของสำนักมีเวทวิชามากมายที่เกี่ยวข้องกับไข่มุกหยิน เคล็ดวิชาและเวทวิชาแปลกๆ เหล่านั้น ทรงอานุภาพกว่าเคล็ดวิชาที่มันกำลังใช้อยู่นับร้อยเท่าพันทวี หากมันสามารถครอบครองเวทวิชาสร้างไข่มุกหยิน มันก็ยังมีความหวังที่จะสามารถทะลวงผ่านไปยังด่านหยวนอิง

สำหรับซิวเจ่อแล้ว ความเข้มแข็งของพลังบำเพ็ญเพียรกำหนดช่วงอายุขัยของพวกมันโดยตรง ด่านจินตันเป็นเส้นแบ่งแรก ก่อนที่จะเข้าสู่ด่านจินตัน อายุขัยของพวกมันจะไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบปี แต่เมื่อสำเร็จด่านจินตันพวกมันสามารถมีชีวิตอยู่ได้สามร้อยปี ต่อมาเป็นซิวเจ่อด่านหยวนอิง มีช่วงอายุขัยห้าร้อยปี ส่วนอายุขัยของซิวเจ่อด่านฝ่านซู สามารถยืนยาวถึงเจ็ดร้อยปี และสุดท้ายซิวเจ่อด่านต้าเฉิง ช่วงอายุขัยยาวนานนับพันปี

มองผิวเผินเหวินเถี่ยซ่านเหรินดูไม่ต่างอันใดกับบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง แต่ที่จริงมันอายุได้สองร้อยสามสิบสองปีแล้ว เวลาของมันเหลือไม่มาก ดังนั้นเมื่อทราบว่ามีคนผู้หนึ่งทราบวิธีควบกลั่นไข่มุกหยิน จะไม่ให้มันตื่นเต้นได้อย่างไร?

มันสืบเสาะพบประวัติของมุกหยินอสนีบาตในมืออวิ๋นเสียเซียนจื่ออย่างรวดเร็ว จึงส่งเซวียอวิ๋นไปยังตลาดเสรีเพื่อเสาะหาไข่มุกหยินอย่างโจ่งแจ้ง ในขณะเดียวกันมันก็หลบซ่อนตัวรอคอยโอกาสอยู่ในเงามืด

สำหรับแรงจูงใจของไข่มุกหยิน อย่าว่าแต่ให้ตัดสัมพันธ์กับกลุ่มของนางเซียนอวิ๋นเสีย ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตมันก็ต้องคว้าเอามาให้ได้

เมื่อจั่วม่อปรากฎตัว แม้ว่าหัวใจของมันจะตื่นเต้น แต่เหวินเถี่ยซ่านเหรินยังคงความสงบเยือกเย็นเอาไว้ มันทราบกระจ่างว่าข่าวคราวของไข่มุกหยินแพร่กระจายออกไปนานแล้ว มีผู้คนมากมายต้องการไข่มุกหยิน มันราวกับนายพรานผู้เชี่ยวชาญ เฝ้ารออย่างอดทน มันเมื่อสามารถใช้เคล็ดวิชาสามัญทะลวงผ่านไปยังด่านจินตัน เหวินเถี่ยซ่านเหรินย่อมมิใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปอยู่แล้ว

สถานการณ์ดำเนินไปตามแผนของมันอย่างรวดเร็ว ทุกผู้คนต่อสู้กันถึงขั้นตะลุมบอนระยะประชิด

ชั่วพริบตาที่การต่อสู้ร้อนระอุถึงขีดสุด เหวินเถี่ยซ่านเหรินก็พลันลงมือ!

อาศัยทักษะที่มันเชี่ยวชาญที่สุดปกปิดร่องรอย ลอบเร้นเข้าไปปรากฏกายประชิดแผ่นหลังจั่วม่ออย่างเงียบเชียบ พริบตาที่มือมันตะปบคว้าไหล่ของจั่วม่อ แม้ว่าจะเป็นนักล่าผู้โชกโชนที่สุด เหวินเถี่ยซ่านเหรินยังอดตื่นเต้นไม่ได้!

เหวินเถี่ยซ่านเหรินเคยประสบโชควาสนาโดยบังเอิญมาก่อน เมื่อครั้งที่มันยังอยู่ในด่านหนิงม่าย ได้ค้นพบเคล็ดวิชาชำแรกพสุธาที่พิเศษเฉพาะเป็นอย่างยิ่งวิชาหนึ่ง อาศัยวิชานี้ มันรอดพ้นจากภัยคุกคามถึงชีวิตมาได้หลายต่อหลายครั้ง

เมื่อเข้าถึงตัวเป้าหมายได้สำเร็จ มันก็เท่ากับชนะแล้ว!

“แส่หาที่ตาย!” นักพรตชุดเหลืองตวาดเสียงแหลมอย่างฉับพลัน มันเป็นคนแรกที่ค้นพบเหวินเถี่ยซ่านเหริน โดยไม่คำนึงถึงการต่อสู้กับคู่มือคนเดิม มันซัดกระสวยทองแหลมคมออกมาหนึ่งอัน กระสวยทองพอหลุดจากมือ ก็กลับกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งวาบข้ามฟ้าไป พร้อมเสียงคำรามกระหึ่มสะเทือนเลื่อนลั่น

บุรุษชุดเงินแค่นเสียงคำหนึ่ง ตวัดมือซัดทรายสีเงินกำหนึ่งออกมา ภายใต้แสงระยิบระยับดั่งหมู่ดารา ดาวทรายสีเงินครอบคลุมลงหาเหวินเถี่ยซ่านเหริน

เชือกแดงเคลื่อนไหวดุจมีชีวิต พลันหักหัวกลับอย่างปราดเปรียว แล้วเลื้อยปราดตรงเข้าหาเหวินเถี่ยซ่านเหริน ดีดพุ่งดุจลูกธนูแหลมคมแหวกฝ่าอากาศ!

บุรุษคนแรกก็เห็นได้ชัดว่าร้อนใจ ต่อให้นักพรตชุดเหลืองไม่ละเลยมัน มันก็จะเป็นฝ่ายหย่าศึกชั่วคราวเสียเอง กระบี่บินสีเขียวอ่อนของมันพลันเปล่งแสงเจิดจ้า พุ่งทะลวงเข้าหาเหวินเถี่ยซ่านเหรินด้วยสุ้มเสียงอันสดใส!

สี่ปรมาจารย์จินตันลงมือจู่โจมโดยพร้อมเพรียง พลังสภาวะอันน่าแตกตื่นสะท้านใจ เพียงพอจะบดบังฟ้าดินจนมืดมัว

แต่เหวินเถี่ยซ่านเหรินกลับไม่แตกตื่นลนลาน รอยยิ้มถือดีปรากฏขึ้นที่มุมปาก กระชากไหล่จั่วม่อ ผนึกปราณร่ายเวทวิชาหลบหนีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมัน เคล็ดชำแรกพสุธา แต่แล้วทันใดนั้น ใบหน้ามันพลันแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง ภายใต้เสียงกรีดร้องเจ็บปวด มันดีดร่างถอยหลังอย่างฉับพลัน!

เห็นบนฝ่ามือของมัน ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ ปรากฏเปลวเพลิวสีแดงเข้มลุกโชน

เปลวเพลิงไม่ได้ใหญ่โต และเผาไหม้อย่างเงียบเชียบ แต่เพียงชั่วกะพริบตาเดียว มือขวาของเหวินเถี่ยซ่านเหรินก็กลายเป็นกระดูกขาว

อ๊า อ๊า อ๊าก!

เสียงกู่ร้องโหยหวนดังสะท้านไปทั่วทั้งตงฝู เหวินเถี่ยซ่านเหรินตาเบิกถลน ใบหน้าบิดเบี้ยวน่าสะพรึงกลัว ขดตัวเป็นก้อนกลม เกลือกกลิ้งไปมาตามพื้นไม่หยุดยั้ง

การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ ทำให้ทุกผู้คนตะลึงพรึงเพริด

จั่วม่อเงยหน้าขึ้น ยื่นมือขวาออกมา จี้ดรรชนีใส่อากาศธาตุอย่างนุ่มนวล พลันปรากฏเส้นใยเพลิงสีแดงฉาน ล่องลอยอยู่เบื้องหน้ามันอย่างเงียบงัน

กระสวยทองของนักพรตชุดเหลือง ทรายสีเงินของบุรุษชุดเงิน เชือกแดง และกระบี่บินสีเขียวอ่อน ทั้งหมดล้วนพุ่งตรงเข้าไปยังเปลิวเพลิงแดงฉาน ไม่ผิดอันใดกับหมู่แมลงเม่ากำลังบินเข้ากองไฟ

พวกมันทั้งสี่ล้วนสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด!

ยามนี้ พวกมันรู้สึกว่ายุทธภัณฑ์เวทและกระบี่บินของพวกมัน ทันใดนั้นก็ถูกดึงด้วยพลังดูดที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดขุมหนึ่ง ล้วนทะยานเข้าหากองเพลิงสีแดงที่แผดเผาอย่างเงียบๆ

สภาพน่าอนาถของเหวินเถี่ยซ่านเหรินที่เกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น กับเสียงกรีดร้องคร่ำครวญอย่างน่าสังเวชของมัน ล้วนทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญผวา นักพรตชุดเหลืองสีหน้าขาวซีด สะบัดมือร่ายเวทวิชาอย่างรวดเร็ว ต้องการดึงกระสวยทองกลับคืนมา แต่กระสวยทองเพียงส่ายเบาๆ เล็กน้อย ยังคงบินตรงเข้าหาเปลวเพลิง บุรุษชุดเงินกลับชาญฉลาดกว่ามาก มันไม่สนใจทรายสีเงิน ไม่กล่าวคำใด ก็ล่าถอยออกจากสนามรบทันที ส่วนยอดฝีมือลึกลับที่ใช้เชือกแดงมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วยิ่ง เชือกแดงซึ่งกำลังพุ่งดุจลูกธนู จู่ๆ ก็ชะลอช้าลง

มีเพียงกระบี่บินเปล่งประกายแสงสีเขียวเจิดจ้า เร่งเร้าพลังของมันขึ้นมากกว่าเดิม แทนที่จะชะลอลง กลับทวีความเร็วขึ้นในพริบตา เจตจำนงกระบี่หนาแน่นทรงพลานุภาพ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่คิดหวนกลับ

กระสวยทองกับทรายเงินพอสัมผัสเปลวเพลิง พวกมันราวกับโคลนสาดลงมหาสมุทร อันตรธานไปในเปลวไฟโดยไร้สุ้มเสียง

ซิวเจ่อที่ควบคุมเชือกแดงก็ทุ่มเทเรี่ยวแรงสุดตัว ในที่สุดหยุดสภาวะพุ่งไปข้างหน้าของเชือกแดงได้สำเร็จ อย่างไรก็ตามปลายเชือกยังคงสัมผัสเปลวไฟพอดิบพอดี

พรึบ ซู่!

ประกายไฟลุกพรึบด้วยความเร็วอันชวนสะท้านใจ แล่นวาบไปตามเส้นเชือก พุ่งตรงไปยังปลายเชือกอีกด้านในพริบตา!

ยอดฝีมือที่หลบเร้นอยู่ในเงามืดพลันตื่นตัว หักใจละทิ้งยุทธภัณฑ์เวทเชือกแดง สะบัดมือขว้างไปอีกทาง ร่างมันถอยหลังกรูด จากนั้นมันเปลี่ยนเป็นลำแสง รีบหนีหายไป!

เมื่อประกายไฟไหม้ลามไปจรดปลายเชือกอีกด้าน ปัง เชือกแดงเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน ปลิวกระจายไปตามสายลม

เวลาเดียวกัน กระบี่บินสีเขียวประจุแน่นไปด้วยเจตจำนงกระบี่สังหาร แทงใส่เปลวเพลิงที่ด้านหน้าทรวงอกของจั่วม่ออย่างถนัดถนี่ กระบี่บินผ่าเปลวเพลิงออกเป็นสองส่วนโดยไร้แรงต้านทานใดๆ! แต่ในชั่วพริบตาเดียวกัน ซิวเจ่อเจ้าของกระบี่ผู้ซึ่งจ้องเขม็งอย่างขุ่นแค้นบนท้องฟ้า พลันกระอักเลือดออกมาคำโต จากนั้นหมุนตัวหลบหนีไปอย่างแตกตื่นลนลาน!

เจตจำนงกระบี่ในกระบี่บินสูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง กระบี่บินแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และสลายกลายเป็นเศษฝุ่นเหลือคณานับ!

นักพรตชุดเหลืองในที่สุดไม่อาจรักษาสภาวะอันเยือกเย็น ไม่หลงเหลือความสามารถใส่ใจสิ่งอื่นใด หลบหนีไปอย่างขวัญหนีดีฝ่อ

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดรวดเร็วเกินไป กะทันหันเกินไป เป็นเหตุให้ซิวเจ่อทั้งหมดในตลาดเสรี ไม่ว่าเปิดเผยหรือซ่อนเร้น ล้วนตะลึงพรึงเพริดกันไปหมด เหวินเถี่ยซ่านเหรินผู้กลิ้งเกลือกอย่างน่าเวทนาอยู่บนพื้น กลับกลายเป็นฝุ่นเถ้า ไม่มีอะไรหลงเหลือ ในการประมือเพียงไม่กี่กระบวนท่า ยอดฝีมือด่านจินตันทั้งห้า หนึ่งตายอนาถ หนึ่งบาดเจ็บ อีกสามหนีหายไร้ร่องรอย ...คนผู้นี้...ที่แท้เก่งกาจถึงระดับใด?

ทุกสายตาที่มองไปยังจั่วม่อแปรเปลี่ยนกลับกลาย ผู้ที่ถูกไข่มุกหยินดึงดูดมาทั้งหมดล้วนสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ รู้สึกโชคดีที่พวกมันยังไม่ทันลงมือ

ตลาดเสรีอันใหญ่โตมโหฬารเงียบกริบดุจป่าช้า มีเพียงเสียงเปลวไฟสีแดงเข้มตรงทรวงอกจั่วม่อเผาไหม้เบาๆ

จั่วม่อยื่นนิ้วออกมา เปลวเพลิงกลายเป็นเส้นใย มุดหายเข้าไปทางปลายนิ้วของมัน

เสี่ยวหวนหน้าซีดเสมือนตาย ยืนเหม่อมองอย่างเลื่อนลอย สมองขาวว่างเปล่า กระทั่งจั่วม่อจากไปนางยังไม่ล่วงรู้ ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด เมื่อนางเริ่มได้สติกลับคืนมา ก็เห็นใบหน้าซีดเผือดของคุณหนูของนาง เท่านั้นเอง นางไม่อาจทนทานได้อีกต่อไป โถมเข้าไปในอ้อมกอดของคุณหนู ระเบิดเสียงร่ำไห้อันสะท้านใจผู้คนออกมา

เวลานี้เอง ไข่มุกหยินสองเม็ดร่วงหล่นลงสู่พื้น

หนึ่งเจ้านาย หนึ่งสาวใช้ อดจ้องมองอย่างตะลึงลานมิได้

 

จั่วม่อเหินบินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ดวงตาหม่นแสง รอยยิ้มประหนึ่งคมมีดบนใบหน้ายังดูอ่อนแอลง เมื่อมันเหินขึ้นและบินจากมา ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางมัน ไม่มีผู้ใดกล้าติดตามไล่ล่า...หืมม์ ไม่ถูกต้อง...

มันหยุดกึก ทิ้งร่างลงอย่างฉับพลัน

บุรุษชุดขาวหลินเชียน ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังจั่วม่อ ในเวลานี้หลินเชียนไม่ได้ดูไม่อินังขังขอบและไม่มีพิษภัยเหมือนเมื่อตอนที่จั่วม่อแรกพบพานมัน แต่พลังปราณทั่วร่างมันโคจรเร็วรี่ คนคล้ายกระบี่ที่หลุดจากฝักเล่มหนึ่ง เจตจำนงกระบี่กระจายออกมาจากร่างอย่างรุนแรง! สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง มันไม่กล้าคลายความระแวดระวังแม้แต่น้อย จ้องเขม็งไปยังร่างที่มันไม่อาจหยั่งวัดได้อย่างแท้จริง

จั่วม่อหัวร่อแผ่วเบา “ฮ่าฮ่า เจ้ากล้าหาญจริงๆ คนทั้งเมืองมีแต่เจ้าที่กล้าแส่ติดตามมา”

น้ำเสียงเย็นยะเยือก แม้จะหัวร่อ แต่ไม่มีร่องรอยของอารมณ์ความรู้สึก หากจั่วม่อยังมีสติอยู่ มันสามารถระบุได้ทันทีว่านี่คือเสียงของผูเยา จั่วม่อผู้น่าสงสาร ในสถานการณ์เมื่อสักครู่นับว่าเฉียดตายเพียงองคุลีเดียว ผูเยาในที่สุดอดยื่นมือเข้าช่วยเหลือไม่ได้

ท่วงท่าของหลินเชียนไม่สั่นไหว คล้ายระวังป้องกัน คล้ายรักษาระยะที่เหมาะสม ด้วยพลังสภาวะเช่นนี้มันสามารถปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงที่สุดได้ตลอดเวลา มันเอ่ยถามด้วยเสียงลึก “พลังฝีมือของผู้อาวุโสช่างน่าแตกตื่นสะท้านใจ แต่ไยไม่กล้าเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ผู้คนได้เห็น?”

ผูเยาจ้องมองหลินเชียน รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งมายิ่งเข้มข้นมากขึ้น “สหายน้อย วันนี้ข้าไม่มีเวลาเล่นเป็นเพื่อนเจ้า แต่ไม่ต้องกังวล เราจะพบกันอีกถ้ามีโอกาสในอนาคต” ที่กล่าวออกมาล้วนเป็นวาจาเหลวไหลไร้สาระ “ข้าชอบคนน่าสนใจ เจ้าน่าสนใจจริงๆ! ฮ่าฮ่า!”

วาจายังไม่ทันจะกล่าวจบ เปลวไฟก็ลุกโชนจากเท้า

หลินเชียนแวบแรกรีบถอยไปด้านหลัง จากนั้นตะโกนเรียก “ผู้อาวุโส รอประเดี๋ยว!”

ผูเยาดวงตาสาดประกายดูแคลน พริบตาดุจประกายไฟ มันหายวับไปในอากาศ

หลินเชียนราวกับยกภูเขาออกจากอก ยืนอยู่ที่เดิม ถึงตอนนี้มันเพิ่งตระหนักว่าแผ่นหลังของมันเปียกชุ่มโดยไม่ทันรู้ตัว ...นี่มันไม่ได้รู้สึกตึงเครียดถึงเพียงนี้มานานแค่ไหนแล้ว?

ทันใดนั้น ดวงตามันส่องประกายวาบ แล้วมันก็หายวับไปในสายลม

หลังจากที่หลินเชียนอันตรธานไป คนกลุ่มหนึ่งติดตามมาถึงที่แห่งนั้น นี่เป็นกลุ่มคนชุดดำที่สวมหน้ากาก ผู้ที่นำหน้าพลันเดินมายังจุดที่ผูเยาเคยยืน ทาบมือลงบนพื้น พื้นดินตรงนั้นหาได้มีอันใดแตกต่างจากจุดอื่นไม่ แต่มันกลับกล่าวว่า “ไม่ผิดแล้ว!”

ประโยคสั้นๆ นั้นเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี แต่จากนั้นก็สบถอย่างขุ่นเคือง “น่าเสียดายที่เรายังคงมาช้าเกินไป!”

กลุ่มคนชุดดำสะท้านขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีผู้ใดกล่าววาจา

“ข้ากระหายใคร่รู้มาโดยตลอด พวกเจ้าที่แท้กำลังตามหาอะไรกันแน่?”

เสียงเบาๆ ดังขึ้นในหูของกลุ่มคนชุดดำดุจฟ้าผ่ากลางแจ้ง พวกมันล้วนสีหน้าแปรเปลี่ยน หันขวับไปทันที

บุรุษชุดขาวหลินเชียนสืบเท้าเข้าใกล้พวกมันทีละก้าวๆ แต่ละก้าวคล้ายย่ำลงกลางใจ พลางถามว่า “สามารถบอกข้าได้หรือไม่? ผู้อาวุโสเมื่อสักครู่ ที่แท้เป็นตัวอะไรกันแน่?”

สีหน้าของมันไม่แยแส แต่เจตจำนงกระบี่ตรงหว่างคิ้วเร่งเร้าพลังขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

กลุ่มถึงตอนที่ 144 แล้ว คลิก

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด