ตอนที่แล้วบทที่ 5 เข้ารับการประเมินความแข็งแกร่ง!!
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 7 สัญลักษณ์แห่งมังกร!

บทที่ 6 บททดสอบจิตวิญญาณ!!


 

ซ่งหยูกำลังสร้างภาพร่างมังกรที่กำลังคดเคี้ยวอยู่บนเวทีด้วยจิตวิญญาณของเขา จิตวิญญาณที่ยังไม่กระจายตัวออกจากร่างนั้นยังคงมีคลื่นพลังงานแสงสีเขียวที่คดเคี้ยวเหมือนพญามังกรที่ดุร้ายที่กำลังซ่อนเขี้ยวและกรงเล็บของมันไว้รอบๆ ตัวเขา

ผู้ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่านั่นหมายถึงว่าจิตใจต้องแข็งแกร่งมาก.....

ผู้สำเร็จการบ่มเพาะแห่งถิ่นทุรกันดารนั้นเป็นผู้ที่ มีพลังจิตที่แข็งแกร่งมาก พลังจิตของพวกเขาสามารถแปลงตัวเป็นสัตว์ร้ายที่บินได้ดั่งนก หรือแปรสภาพเป็นสัตว์ หรือเปลี่ยนเป็นอาวุธที่สามารถสังหารศัตรูได้ นอกจากนี้จิตยังสามารถหลอมรวมกับพลังปราณ เมื่อมันถูกหลอมรวมกันเช่นนั้นแล้วมันก็ไม่มีวันที่จะ

แตกสลายได้อีก!

แต่ก็สำหรับผู้สำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุดเท่านั้นที่จะทำได้!

พลังจิตของซ่งหยูนั้นแข็งแกร่งพอที่จะสามารถมองเห็นได้อย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเขายังห่างไกลกับความสำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุดนั้น แต่ด้วยอำนาจในการครอบงำจิตใจที่ท่วมท้นของซ่งหยูนั้นเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่งสำหรับศิษย์นอกเช่นเขา!

การสร้างภาพของพระราชวังเปลวอัคคี และองค์จักรพรรดิสุยที่เด็กน้อยซินหวงชี้แนะให้กับเขานั้นมันทำให้เขามีพลังจิตที่ทรงพลังขึ้นมาก

ซ่งหยูได้สร้างภาพองค์จักรพรรดิสุยสำเร็จถึงสองครั้ง และเขาก็ยังสามารถปลดปล่อยจิตวิญญาณออกจากร่างกายได้ แต่ภาพการสร้างภาพของจิตวิญญาณมังกรนั้น มันยากเกินกว่าความแข็งแกร่งของร่างกายที่จะฝึกถึงขั้นนั้นได้!

เหล่าชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่ด้านล่างของเวทีต่างพากันตกตะลึงจ้องมองไปที่เขา ยกเว้นชุ่ยชิงหยานซึ่งนางออกอาการตื่นเต้นอย่างชัดเจน นางกระโดดโลดเต้นโบกกำปั้นไปมา เพื่อแสดงความดีใจของนางราวกับว่านางผ่านการประเมินเสียเอง!

แต่ในทางกลับกันผู้ประเมินที่กำลังสนทนายังคงถกเถียงกันอยู่โดยยังไม่ได้มีการประกาศผลใดๆ

"เหตุการณ์เช่นนี้มิเคยเกิดขึ้นในนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้า" ผู้ประเมินอาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น

ทันใดนั้นเขาว่าเปล่งเสียงออกมาว่า "จุดประสงค์ของการประเมินนั้น คือการทดสอบความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณของเหล่าศิษย์นอก แต่ด้วยชายผู้ที่มาจากตระกูลซ่งนี้ใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเพื่อเอาชนะปีศาจตั๊กแตนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่นับว่าผ่านการประเมิน เพราะผิดวัตถุประสงค์ หรือพวกท่านมีความคิดเห็นเช่นใดเล่า?

"เขาน่าจะผ่านการประเมินครั้งนี้? ผู้ประเมินคนหนึ่งแย้งขึ้น

ผู้ประเมินอีกรายกล่าวหลังจากหารือกันว่า "การกระทำผิดกฎของนิกายฯ ของเรานั้น มันอาจก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย และผิดวัตถุประสงค์ของนิกาย หากแม้เขาได้ผ่านการประเมินครั้งนี้แล้ว เหล่าศิษย์นอกคนอื่นๆ เล่าหากทุกคนต่างพากันหมายมุ่งแต่ฝึกฝนความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายเพียงอย่างเดียว มิให้ความสำคัญกับการฝึกฝนด้านจิตวิญญาณซึ่งเป็นแก่นแท้ของที่กายที่ปฎิบัติสืบต่อกันมายาวนาน ชายผู้นี้นับว่ากระทำผิดกฎของนิกายฯ และถือว่าเป็นวิธีการนอกรีต เช่นนี้นับเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรง การประเมินครั้งนี้เห็นพ้องกันว่าไม่ผ่าน!"

เมื่อได้ยินคำตัดสินเช่นนั้นหัวใจของซ่งหยูก็ดับวูบลงทันที! ทันใดนั้น! มีผุู้ประเมินหนุ่มอีกผู้หนึ่งได้คัดค้านการตัดสินด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า

"ช้าก่อน! ท่านอาวุโสทั้งหลาย! เหล่าศิษย์นอกต้องผ่านความยากลำบากเพื่อผ่านการประเมินนี้ เพียงหนึ่งในหมื่นคนเท่านั้นที่สามารถทำสำเร็จได้ บางส่วนถึงขั้นสิ้นชีพ บางส่วนได้รับบาดเจ็บสาหัสแขน ขาขาดต้องกลายเป็นคนพิการ ศิษย์นอกเหล่านั้นส่วนใหญ่มาจากตระกูลที่ยากจน ซึ่งศิษย์ที่มาจากตระกูลใหญ่สามารถใช้เสาสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสวรรค์ แต่ศิษย์ที่ยากจนเหล่านี้หาได้มีสิ่งใดเป็นตัวช่วยไม่ ซึ่งมันไม่ยุติธรรมและหาเท่าเทียมกันไม่! เขาผู้นี้ได้ผ่านการทดสอบทางด้านร่างกาย มิได้ทำลายกฎใดๆ ของนิกายแม้แต่น้อย วันนี้นับว่าชายตระกูลซ่งผู้นี้ผ่านกระประเมินอย่างสมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน!"

ผู้ประเมินอาวุโสขมวดคิ้ว"ที่เจ้ากล่าวมาก็มีส่วนถูก!"

"ข้าจะลองปรึกษากับท่านอื่นๆ อีกสักครั้ง!"

ผู้ประเมินหนุ่มผู้นั้นสร้างประตูรูปดาบขึ้นมาเหนือศรีษะของเขา ขณะที่ประตูได้ถูกเปิดออกได้ปรากลูกบอลแห่งเปลวเพลิงขึ้นมาเสมือนดวงอาทิตย์ที่เรืองแสงจางๆ ลอยออกมาตรงจุดกลางของดวงอาทิตย์นั้นลอยอยู่เหนือพื้นดินได้ปรากฎร่างหนึ่งซึ่งมีหัวเป็นนกในร่างของมนุษย์ และนี่คือจิตวิญญาณของเขานั่นเอง และผู้ประเมินหนุ่มผู้นี้กล่าวต่อว่า

"ท่านอาวุโสทั้งหลายส่วนใหญ่กว่าจะมาถึงระดับนี้ได้ พวกท่านส่วนใหญ่ล้วนแต่มาจากตระกูลใหญ่ และมีชื่อเสียง พวกท่านยึดติดกับกฎเดิมๆ มากเกินไป แล้วเมื่อใดกันเล่าศิษย์ผู้ที่มาจากตระกูลต่ำต้อยเช่นข้าจะสามารถยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นได้เล่า? ข้าเองก็มาจากครอบครัวที่ยากจนเช่นกัน และครั้งนี้ข้าจะเป็นตัวแทนศิษย์เหล่านั้นเรียกร้องความยุติธรรม?

จิตวิญญาณที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ และหัวเป็นนกนั้น ทันทีที่มันปรากฏร่างมันภายในห้องโถงไร้หมอกนั้นราวกับว่าบริเวณทั่วพื้นที่ของห้องโถงไร้หมอกนั้นร้อนระอุ ด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นในอากาศราวกับว่ามีดวงอาทิตย์อยู่ที่นี่จริงๆ!

"ท่านอาวุโสเมื่อหกสิบปีก่อนท่านได้สำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุด แต่ในทางตรงกันข้าม ข้าเพิ่งเข้ามาในนิกายเมื่อสิบปีที่ผ่านมา และข้าขอท้าว่าจากพวกท่านที่สำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุด และมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง แต่ข้าซึ่งมาจากครอบครัวที่ยากจนต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายนั้นมิได้เป็นเรื่องแปลกสำหรับคนเหล่านี้ ท่านจะกล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่เล่า? "ซูเซี่ยงเฉิงผู้ประเมินหนุ่มที่มาจากชนเผ่าที่ยากจนเช่นเดียวกับซ่งหยูกล่าว

"ซูเซี่ยงเฉิง! เจ้าประเมินค่าตนเองมากเกินไปแล้ว!"

ผู้ร่วมประเมินอาวุโสผมขาวโพลนกล่าวขึ้นหลังจากนั่งฟังเหตุผลอยู่นาน และทันใดทัน! เหนือศรีษะเขาก็ได้ปรากฏประตูดาบขึ้น เขาเรียกวิญญาณของเสาสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณสวรรค์ออกมา มันเป็นเพียงเท้าที่ลอยสูงขึ้นราวกับว่าเขาไม่มีขา ลำตัวส่วนล่างของเขาเป็นรากไม้ที่หนาแน่น ส่วนเส้นผมของเขาถูกแปรเปลี่ยนเป็นยอดไม้ที่เขียวชอุ่ม

ผู้ประเมินทั้งสองคน อยู่ในความสนใจของผู้ที่อยู่ภายในห้องโถงเป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้น! จิตวิญญาณแห่ง

เสาลัญลักษณฯ ของผู้ประเมินของผู้อาวุโสก็ได้ปรากฏรากไม้นับไม่ถ้วนลอยอยู่บนอากาศราวกับว่ามันกำลังเต้นระบำกันอยู่ ลักษณะของรากไม้เสมือนกับว่าเป็นหนวดมังกร และงูขนาดใหญ่กวัดแกว่งหัวไปมา แล้วพวกมันก็มุ่งตรงมาที่หน้าของผู้ประเมินหนุ่มที่ชื่อว่าซูเซี่ยงเฉิงทันที!

จิตวิญญาณของผู้ประเมินอาวุโสกลายเป็นต้นไม้ยักษ์ที่สูงตระหง่าน เปล่งแสงประกายออกมาจากเสาสัญลักษณ์ฯ ราวกับว่ามันมีชีวิตจริงพวกมันต่างกวัดแกว่างหัวของมันไปมา เลื้อยพันไปทั่วบริเวณห้องโถงไร้หมอก

ในขณะเดียวกันจิตวิญญาณของซูเซี่ยงเฉิง ก็พองตัวขยายขึ้นกลายร่างเป็นนกขนาดใหญ่ และกางปีกทั้งสองข้างอ้าปากพ่นไฟออกมาหมายมุ่งไปที่เหล่ารากซึ่งเป็นหนวดมังกรที่กำลังส่ายหัวไปมาทันที!

และทันใดนั้น! จิตวิญญาณของผู้อาวุโสก็ได้ปรากฏเป็นท่อนไม้ขนาดใหญ่ลอยตัวอยู่เหนืออากาศ และพุ่งตรงไปยังซูเซี่ยงเฉิงราวกับลูกธนูที่หมายมุ่งที่จะสังหารก็มิปาน!

ทันใดนั้น! ท่อนไม้ก็ได้แปลเปลี่ยนกลายเป็นดาบ!

จิตวิญญาณของซูเซี่ยงเฉิงที่กลายร่างเป็นนกขนาดใหญ่ได้ยิงกระสุนดาบอันแหลมคมออกจากดวงตาอันนับไม่ถ้วนของมัน!

ขณะที่ทั้งสองซึ่งล้วนเป็นผู้ที่สำเร็จการบ่มเพาะขั้นสุงสุดได้ประลองจิตวิญญาณกันอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน จนกระทั่งผู้ประเมินคนอื่นๆ ไม่อาจที่จะทนดูความรุนแรงในการต่อสู้ของทั้งสองคนได้อีกต่อไป รีบปกป้องศิษย์จากอันตรายของกระสุนดาบ และพวกเขาร้องตะโกนเสียงดังว่า"ท่านอาวุโสเทียน และท่านพี่ซู พวกท่านหยุดกันเสียทีเถิด!"

ผู้ประเมินที่คอยเฝ้าระวังปัดป้องพวกศิษย์อยู่นั้นทำให้เซี่ยงหยู ชุ่ยชิงหยาน และศิษย์คนอื่น ๆ โล่งอก เหล่าศิษย์นอกทั้งหลายกศีรษะขึ้น และเห็นว่าการต่อสู้ของทั้งสองคนกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพวกเขาต่างพากันตกใจกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

สำหรับผู้ประเมินส่วนที่เหลือ ไม่ทราบว่าพวกเขาจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี พวกเขารีบพยายามเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองคนหยุดการต่อสู้เสียที หนึ่งในนั้นกระซิบว่า"เขาทั้งสองล้วนเป็นนักบ่มเพาะขั้นสูงสุดของนิกาย พวกเขาต่อสู้กันเองเช่นนี้ ข้าเกรงว่าหากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปนั้นนิกายเราจะเสื่อมเสียเป็นอย่างมาก"

นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีศิษย์นอกจากชนเผ่าต้อยต่ำสามารถเอาชนะปีศาจตั๊กแตนได้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผู้ประเมินต่อสู้กันเองเพียงเพราะบันดาลโทษะเพียงเท่านั้นเองหรือ? นับว่าเสื่อมเสียยิ่งนัก!

"เราควรจะเข้าไปช่วยดีหรือไม่? ผู้ประเมินคนหนึ่งเอ่ยถาม

"แล้วเราควรจะช่วยใคร?"ผู้ประเมินอีกคนถามกลับ

"แน่นอนผู้อาวุโสเทียน! ท่านมาจากตระกูลเทียนเฟิง ซึ่งนับเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักกันทั่ว นับว่าเป็นที่เชิดหน้าชูตาของนิกายไม่น้อย"

เมื่อเสร็จสิ้นการสนทนาของพวกเขา ทันใดนั้น! ผู้ประเมินอาวุโสเทียนก็ตกลงมาจากฟากฟ้า และตกลงสู่พื้นอย่างแรง มีเลือดไหลออกปากของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาพยายามที่จะลุกขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำได้

เหล่าผู้ประเมินรายอื่น ๆ ต่างพากันตกใจ ขณะที่พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองซูเซี่ยงเฉิงที่กำลังลอยตัวอยู่กลางอากาศมีเปลวเพลิงอยู่รอบๆ ตัว ขณะที่เขากลายร่างเป็นนกยักษ์นั้น เขามีกรงเล็บและปีกทั้งสองข้างที่ทรงพลังยิ่ง และมีเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนไปทั่วทั้งร่าง.....

"นี่เจ้าสำเร็จการปลูกฝังจิตวิญญาณ...ให้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งแล้วเช่นนั้นรึ?" ผู้ประเมินอาวุโสกล่าว

ใบหน้าของผู้ประเมินอาวุโสผู้นี้ดูหมองคล้ำ เขาจ้องมองไปที่ซูเซี่ยงเฉิงผู้ประเมินชายหนุ่มที่ยืนอยู่กลางอากาศด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยความไม่น่าเชื่อ เขาไอออกมาเป็นลิ่มเลือดด้วยอาการบาดเจ็บภายใน และกล่าวว่าเจ้าสามารถหลอมรวมร่างกาย และจิตวิญญาณให้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งได้แล้ว ความพ่ายแพ้ของข้านั้น ย่อมไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งสิ้น หากแต่เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในผู้ประเมินในครั้งนี้เช่นกัน! ก็ตามแต่เจ้าเถิด หากแต่ตามวัตถุประสงค์ของการประเมินที่ชายตระกูลซ่งที่ไม่ได้ใช้จิตวิญญาณในการเอาชนะคือการฝ่าฝืนกฏของนิกายฯ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ให้กับผู้เกี่ยวข้องระดับสูงให้ได้รับทราบ จงระวังตัวให้ดี!

ซูเซี่ยงเฉิงก้าวลงมาจากอากาศ ราวกับว่าเขากำลังก้าวลงบันได เขาหัวเราะเสียงดัง และกล่าวว่า

"ท่านอาวุโสเทียน ท่านหาต้องแจ้งผู้เกี่ยวข้องระดับสูงไม่ ถ้าผู้มีนามว่าซ่งหยู จากตระกูลซ่ง สามารถต่อสู้กับปีศาจด้วยมือเปล่าได้นั้น แม้การต่อสู้กับปีศาจด้วยจิตวิญญาณของเขาจะเป็นเรื่องง่ายดายเช่นกัน ด้วยอายุที่ล่วงเลยของท่านแล้ว เหตุใดท่านจึงหารู้เรื่องนี้ไม่? แต่หากท่านยังมีข้อกังขาคัดค้านการประเมินครั้งนี้ข้าขอให้ชายผู้นี้ได้ทดสอบอีกครั้งก็แล้วกัน! ซ่งหยู" ซูเซี่ยงเฉิงกล่าวแล้วเรียกซ่งหยูที่ยืนด้วยความงงงวยอยู่บนเวที

ซ่งหยูโค้งคำนับบนเวที "ศิษย์อยู่นี่ขอรับ!"

"เจ้าจะได้รับการประเมินอีกครั้ง! คราวนี้จะไม่อนุญาตให้ใช้ความแข็งแรงของร่างกายของเจ้าเพื่อสังหารปีศาจ เพียงแต่เจ้าจงใช้จิตวิญญาณของเจ้าเท่านั้น!"

ซูเซี่ยงเฉิงชี้นิ้วของเขาไปที่เวทีอีกครั้ง และประตูดาบก็เปิดขึ้นมา มีปีศาจที่วิ่งออกมาจากข้างใน ซูเซี่ยงเฉิง

กล่าวด้วยเสียงหนักว่า "ข้าต้องการให้เจ้าหาทางที่จะผ่านการประเมินโดยไม่ต้องพึ่งพาเสาสัญลักษณ์ เพื่อปูทางให้เด็กยากจน ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะสามารถผ่านการประเมินได้โดยไม่มีข้อกังขาใดๆ"

"สัญลักษณ์แห่งมังกร!"

ซ่งหยูตะโกนเสียงดัง เขาสร้างภาพมังกร และจิตของเขากลายเป็นกระแสพลังงานสีเขียวอ่อน พลังงานไหลไปทั่วร่างของเขาราวกับว่าเขามีพญามังกรพันม้วนอยู่รอบตัว เขาเห็นการเคลื่อนไหวของปีศาจที่ช้าลงจากการสร้างภาพ เขายกมือขึ้นและคว้าแขนของปีศาจเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของมัน!

เมื่อคนและปีศาจปะทะกันอย่างดุเดือด!

"การปลดปล่อยวิญญาณ!"

แขนของปีศาจถูกดึงรั้งไว้ ดังนั้นความเร็วของมันจึงช้าลงอย่างมาก จากนั้นจิตวิญญาณของซ่งหยูก็กระโดดออกมาจากระหว่างคิ้วของเขาในทันที และเจาะเข้าไปในหัวของปีศาจ ประตูดาบปรากฏขึ้นภายในมหาสมุทรแห่งจิตของเขาที่มองภาพปีศาจ และตีเข้าด้วยดาบเพื่อสังหารจิตวิญญาณของปีศาจให้สิ้นชีพ!

ซูเซี่ยงเฉิงมองเขาด้วยสายตาที่ยินดียิ่งนัก แล้วหันไปมองทางผู้ประเมินอาวุโสเทียนว่า"ซ่งหยูนั้นมีร่างกายที่แข็งแกร่งยิ่งนัก และปีศาจไม่สามารถต้านทานเขาได้ เมื่อเขาสามารถปลดปล่อยวิญญาณของเขาออกเพื่อสังหารปีศาจได้ หวังว่าในครานี้ท่านผู้อาวุโสคงไม่มีข้อกังขาใดๆ ในการคัดค้านอีกใช่หรือไม่? แล้วในตอนนี้เขาสามารถผ่านการประเมินนี้อย่างสมบูรณ์แบบใช่หรือไม่?"

ผู้ประเมินอาวุโสเทียนได้แต่นิ่งเงียบ! ไม่แม้แต่จะปริปากพูดใดๆ แม้แต่คำเดียว!

ซูเซี่ยงเฉิงมอบตราสัญลักษณ์ของนิกายให้แก่ซ่งหยู ขณะที่เขากล่าวว่า "นับจากนี้เป็นต้นไปเจ้าจะได้รับการยกย่องอย่างอย่างเป็นทางการว่า เป็นศิษย์ที่สำเร็จในการปลดปล่อยจิตวิญญาณ และเจ้ายังจะได้รับยาเม็ดยู่หลิงสิบเม็ดทุกเดือน นับเป็นเรื่องยากที่ศิษย์นอกที่มาจากครอบครัวที่ยากจนเช่นเราจะกลายเป็นผู้สำเร็จการบ่มเพาะระดับสูงได้นับว่าเจ้าเป็นวีรบุรุษของพวกเขาเหล่านั้นอย่างแท้จริง!"

คำพูดของเขาไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด ในนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้านั้น ไม่ได้มุ่งเน้นการฝึกร่างกายเป็นเรื่องสำคัญแต่อย่างใด ขณะที่ศิษย์ที่ยากจนจากถิ่นทุรกันดารมักไม่สามารถผ่านอุปสรรคในการประเมินจิตวิญญาณนี้ได้ ณ ตอนนี้ซ่งหยูได้ผ่านการทดสอบด้วยเทคนิคการฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่ง และจะปลูกฝังเทคนิคการฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งในในหมู่ศิษย์ที่ยากจน แล้ววันหนึ่งอาจจะมีศิษย์ในหมู่คนที่ยากจนผ่านการประเมินดั่งเช่นเขาในภายภาคหน้า!"

และจำนวนของผู้สำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุด ที่เกิดจากชนเผ่าที่ยากจนภายในนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้า

จะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

"ปีนี้เจ้าอายุสิบห้าปีใช่หรือไหม?"

ซูเซี่ยงเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "มันจะมีความเสี่ยงที่จะปลูกจิตวิญญาณก่อนอายุสิบหกปี กับอายุในปัจจุบันของเจ้า หากเจ้ามีปัญหาใดเกิดขึ้นจงนึกถึงข้าก็แล้วกัน!"

ซ่งหยูแสดงความขอบคุณ และคิดในใจว่า"คนที่เป็นวีรบุรุษที่แท้จริงคือท่านต่างหากเล่า!"

เขาไม่ได้ออกไปทันทีหลังจากยืนอยู่ด้านล่างของเวที และรอดูการประเมินของชุ่ยชิงหยานบนเวที

ขณะที่กำลังต่อสู้อยู่กับปีศาจนั้นเสื้อของนางลอยขึ้นไปในอากาศ ขณะที่นางเดินไปรอบ ๆ เหมือนกระแสคลื่นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางซึ่งช่วยให้การต่อสู้ของนางบนเวทีโดยที่เท้าของนางไม่ได้แตะพื้นแม้แต่นิดเดียว

นางหาได้ใช้เสาสัญลักษณ์ในการต่อสู้ไม่ แต่เห็นได้ชัดเจนว่าเทคนิคการบ่มเพาะของนางนั้นอยู่ในระดับสูงพอควร แต่หากเปรียบเทียบกับความเร็วของปีศาจนั้นนางยังเสียเปรียบอยู่มาก หากแต่เกิดการนางขาดความแข็งแกร่งของร่างกายนั่นเอง!"

วิธีการที่ซ่งหยูใช้ในการเอาชนะปีศาจตั๊กแตนนั้นดูจะง่ายกว่า หากแต่ใช้เพียงร่างกายที่เขาฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแรงเพื่อการอยู่รอดในการใช้ชีวิตจากชนเผ่าที่ยากจนเพียงเท่านั้น ในขณะที่นางนั้นใช้สติปัญญา และชั้นเชิงในการต่อสู้อย่างสง่างามดั่งนางฟ้าตัวน้อยที่ร่ายรำอยู่กลางอากาศ

ชุ่ยชิงหยานสามารถหาจุดอ่อนของปีศาจได้! จากนั้นจิตวิญญาณของนางก็ถูกปลดปล่อยให้โบยบินออกสู่ประตูแห่งดาบเพื่อเข้าไปปลิดชีพมัน!

เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จากตระกูลชุ่ยถู นางเพิ่งเข้าสู่นิกายเพียงปีเดียวเท่านั้น....

ผู้ประเมินมองไปที่อีกคนหนึ่งแล้วกล่าวอย่างเงียบๆ ว่า "นางได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสจากชนเผ่าแม่น้ำเว่ยด้วยกัน ช่วยให้ความสำเร็จในการบ่มเพาะได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ นางได้ผ่านการประเมินโดยมิต้องใช้เสาสัญลักษณ์แต่อย่างใด นับว่าเป็นศิษย์นอกที่โดดเด่นมากในรอบหลายปีที่ผ่านมา"

สำหรับซ่งหยูนั้น เขารู้สึกอัศจรรย์ใจกับเรื่องเสาสัญลักษณ์ แต่ในการต่อสู้ในการประเมินที่ผ่านมาเขาก็หาต้องใช้มันไม่!

ในสายตาของเหล่าผู้ประเมินนั้น เทคนิคของชุ่ยชิงหยานนั้นเป็นเทคนิคดียวที่เป็นเอกลักษณ์ของนิกายฯ

ในขณะที่เทคนิคการต่อสู้ของซ่งหยูนั้น ชนะด้วยวิธีการบ่มเพาะทางด้านร่างกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นับว่าเป็นวิธีการฝึกนอกรีต ซึ่งดูเหมือนจะผิดวัตถุประสงค์ของนิกายโดยสิ้นเชิง

หลังจากชุ่ยชิงหยานได้รับมอบตราสัญลักษณ์ท่ามกล่างความยินดีแล้วนั้น...พวกเขาต่างก็เดินออกจากห้องโถงไร้หมอกอย่างมีความสุข พร้อมกับเดินทางขึ้นไปที่ลานด้านบนของนิกาย...

-------------------------------------------------------

ณ ลานด้านบนของนิกายฯ ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนระหว่างชาย และหญิง วัตถุประสงค์ของการแยกนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมระหว่างศิษย์ชายหญิง หากศิษย์นอกคนใดกระทำเรื่องผิดจารีตและกฏของนิกายฯนั้น จะมีผลต่อระยะเวลาในการบ่มเพาะของพวกเขาเหล่านั้น หรือที่ร้ายแรงกว่านั้น คือการถูกขับออกจากนิกาย!

ชุ่ยชิงหยานเดินแยกจากซ่งหยู ต่างเดินไปตามเส้นทางของที่พักตัวเอง ชุ่ยชิงหยานกล่าวพร้อมกับทำตาค้อนว่า"พี่ซ่งหยู!แล้วมาหาข้าบ้างนะ!"

ซ่งหยูพยักหน้า และเดินขึ้นไปที่ลานด้านบนโดยมีตะกร้าสมุนไพรสะพายไว้บนหลัง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นจุดสนใจของเหล่าศิษย์ตลอดทาง เขาคิดในใจว่า "ข้าไม่แน่ใจว่าเขาจะปล่อยให้ศิษย์ชายเข้าที่พักศิษย์หญิงได้หรือไม่? แต่ก่อนอื่นข้าไปรับเม็ดยาสมุนไพรยู่หลิงก่อนดีกว่า....เพื่อมาบำรุงรุ่งกายให้สมบูรณ์กว่านี้ เพราะตอนนี้ร่างกายข้านั่นผอมแห้งราวกับกิ่งไม้ มิเช่นนั้นคงไม่มีพลังเพียงพอที่จะฝึกฝนการสร้างภาพพระราชวังเปลวเพลิง และองค์จักรพรรดิสุยได้อีกต่อไปเป็นแน่!"

............................................................................................................

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด