ตอนที่แล้วบทที่ 73 ยามคับขันพลันเกิดไหวพริบ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 75 เมฆหมอกปกคลุม*

บทที่ 74 ฝันร้าย  


 

เมื่อถูกสั่งห้ามหลอมกลั่นโอสถเป็นเวลาหนึ่งเดือน จั่วม่อไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเท่าใด สามารถหลบหลีกภยันตรายที่กรายมาถึงศีรษะ แลกกับการหลอมกลั่นโอสถหนึ่งเดือน ไม่ได้เป็นทางเลือกที่ยากเย็นเลย แต่เมื่อซือฟู่บอกมันว่าคำสั่งห้ามได้ขยายระยะเวลาออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่ามันจะสำเร็จการฝึกปรือกายาเสริมสร้างสังขาร โดยการสอนของอาจารย์ลุงซินหยาน จั่วม่อก็กลับกลายเป็นโง่งม

ซือฟู่ยังย้ำอีกว่า ที่เรียกว่าสำเร็จคือจนกว่าอาจารย์ลุงจะพอใจ

การไปพบหน้าเหล่ายอดคนด่านจินตันที่มาเยี่ยมเยือนนับเป็นภัยพิบัติประการหนึ่ง แต่การรับการ ‘ทรมาน’ จากอาจารย์ลุงซินหยานก็เป็นมหันตภัยอีกประการหนึ่ง แต่หากจั่วม่อเลือกได้อีกครั้ง มันจะเลือกภัยพิบัติประการแรกอย่างไม่ลังเลเลย มันไม่เคยหยั่งทราบพลังอำนาจของเหล่าผู้ไล่ล่าด่านจินตันเหล่านั้น แต่พลังอำนาจของอาจารย์ลุงซินหยานน่าหวาดหวั่นมากเพียงไหน มันทราบกระจ่างแก่ใจเป็นอย่างดี

บัดนี้มันรู้แล้วว่าความชาญฉลาดจนเกินไปนำพาหายนะมาได้อย่างไร

ซือฟู่ผู้มักจะคอยกระตุ้นให้มันหลอมกลั่นโอสถตลอดมา จู่ๆ ก็เปลี่ยนจุดยืนอย่างกะทันหันและออกคำสั่งอย่างเข้มงวดให้มันไปหาอาจารย์ลุงซินหยาน เพื่อรับ ‘การฝึกพิเศษ’ ก่อนนางจะออกไป ยังสำทับอย่างเคร่งขรึมว่าหากมันทำให้นางเสียหน้าต่ออาจารย์ลุงซินหยาน เมื่อนางกลับมา นางจะ ‘ฮึ่มฮึ่ม!’

ไอ้เจ้า ‘ฮึ่มฮึ่ม!’ ของซือฟู่นี่แทบจะน่าพรั่นพรึงพอๆ กับการจ้องมองของอาจารย์ลุงซินหยานเลยทีเดียว ซือฟู่แม้ไม่เคยอธิบายว่า ‘ฮึ่มฮึ่ม!’ ที่แท้เป็นอย่างไรกันแน่ แต่รอยยิ้มที่มาพร้อมกับ ‘ฮึ่มฮึ่ม!’ ก็ทำให้จั่วม่อสั่นสะท้านและขนหัวลุกซู่ทุกครั้ง

จั่วม่อมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ามันกำลังเดินเข้าสู่ปากทางแห่งความตาย ค่อยๆ ย่องไปยังกระท่อมหญ้าของอาจารย์ลุงซินหยาน ตลอดทางจั่วม่อเอาแต่พร่ำย้ำเตือนผูเยานับครั้งไม่ถ้วน ผูเยาแน่นอนว่าเป็นคนจดจำความแค้นผู้หนึ่ง อาจารย์ลุงรองเคยจู่โจมทำร้ายมัน ด้วยนิสัยใจคออันคับแคบของมัน ต้องคิดแก้แค้นเป็นแม่นมั่น ผูเยาหยิ่งทระนงและต้องการทวงคืนศักดิ์ศรีของมัน ตามที่มันเคยกล่าวไว้ว่าเป็นเพราะมันได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนจึงถูกอาจารย์ลุงรองทำร้าย จั่วม่อรู้สึกโชคดีมากที่ผูเยายังไม่ทุเลาจากอาการบาดเจ็บ มิเช่นนั้นไม่ทราบว่าเจ้าผู้นี้จะก่อเรื่องวุ่นวายอันใดขึ้นมา

เมื่อใดเจ้าบ้านี่จะยอมรับเสียทีว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว?

หลังจากเหตุการณ์ไข่มุกหยิน จั่วม่อไม่หวาดกลัวผูเยาอีกเลย อสูรฟ้าอันใด เห็นได้ชัดว่าเจ้าวัตถุโบราณนี้ยังคงมีชีวิตจมอยู่กับสามพันปีที่ล่วงผ่านไปแล้ว และตกยุคอย่างสมบูรณ์!

น่าเวทนายิ่งนัก!

บางครั้งจั่วม่อก็อดสงสารผูเยาไม่ได้ เท่าที่มันสังเกตดู ผูเยาเห็นได้ชัดว่ายังมีชีวิตอยู่กับภาพลวงตาของอดีต และไม่ยอมเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้าย ไม่ว่าผู้ใดหากถูกคุมขังเป็นเวลาสามพันปี หากหลุดออกมาได้ พวกมันก็คงประพฤติเช่นเดียวกันกับผูเยานี่เอง จั่วม่อคิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับไข่มุกหยินสร้างความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงต่อผูเยา เจ้าเหรินเยานี้ถึงกับท้อแท้ทอดอาลัยไปหลายวัน หลังจากนั้นผูเยาได้เสนอสิ่งอื่นอีกมากมายที่สามารถทำกำไร แต่จั่วม่อแม้เห็นอกเห็นใจยิ่ง แต่ก็บอกปัดไปอย่างเฉียบขาด

โดยไม่คำถึงถึงความเห็นอกเห็นใจ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา จั่วม่อพร่ำเตือนผูเยาอย่างเคร่งเครียด เมื่อก่อนมันเคยใช้อาจารย์ลุงรองมาข่มขู่ผูเยา แต่เมื่อพบว่าไม่ค่อยได้ผล มันก็เปลี่ยนไปใช้การคุกคามของจิงสือแทน นี่ได้ผลทันตาเห็น ผูเยาเป็นตัวผลาญจิงสือที่ยิ่งใหญ่ตัวหนึ่ง จั่วม่อแม้ไม่ทราบว่าผูเยาใช้จิงสือมากมายไปทำอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าผูเยามีหนทางล้างผลาญจิงสือเพิ่มขึ้นมาอย่างน้อยก็หนึ่งอย่าง นั่นคือการไปยังถ้ำกระบี่ ผูเยากำลังกระหายโหยหาปราณหยินเป็นที่สุด และในบริเวณนี้ มีเพียงถ้ำกระบี่แห่งเดียวเท่านั้นที่มีปราณหยิน

จั่วม่อพลันพบว่ามันรู้สึกเหมือนกำลังเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง

มาเยือนดอยมองอาทิตย์เป็นหนที่สอง เจตจำนงกระบี่ที่แฝงตัวอยู่ใต้พื้นดินรอบกระท่อมหญ้าดูเหมือนจะรู้จักมักคุ้นกับจั่วม่อแล้ว พวกมันคล้ายหายตัวไปอย่างสิ้นเชิง

“อาจารย์ลุงรอง” มันตะโกนให้เสียง

“เข้ามา” สุ้มเสียงเย็นเยือกของอาจารย์ลุงดังออกมาจากด้านหลังประตูไม้

จั่วม่อประหนึ่งว่ามองเห็นทะลุหลังประตูไม้ อาจารย์ลุงรองนั่งท่วงท่าดอกบัว ร่างสูงใหญ่ดั่งขุนเขา ทอดเงาบดบังร่างมันจนมืดมิด มันรู้สึกอ่อนแอและเปราะบาง แทบไม่อาจเงยหน้าขึ้น และเห็นเพียงแค่ดวงตาที่ส่องประกายเย็นเยือก จ้องมองมายังมันอย่างเฉยชา

จั่วม่ออดร่างสั่นสะท้านไม่ได้ มันบังคับตัวเองให้สลัดภาพลวงตาออกจากหัว สงบจิตใจลง จากนั้นค่อยผลักเปิดประตูและรวบรวมความกล้าเดินเข้าไป

“นั่งลง” อาจารย์ลุงรองไม่ลืมตา เช่นเดียวกับคราวที่แล้ว มันนั่งอยู่บนเสื่อสมาธิ ลำแสงแดดส่องลอดลงมาจากรูบนหลังคา ตกกระทบลงบนร่างมัน

จั่วม่อเห็นเสื่อสมาธิผืนหนึ่งเบื้องหน้าอาจารย์ลุงรอง จึงนั่งลงอย่างระมัดระวัง ก้มศีรษะต่ำ รอฟังอย่างตั้งใจ

“ตั้งแต่วันนี้ข้าจะสอนวิชาเจ้า” อาจารย์ลุงซินหยานรูปร่างผอมแห้ง แต่นั่งหลับตาอยู่ตรงนั้นมันคล้ายหนักหน่วงนับพันจิน กดทับจั่วม่อจนแทบหายใจไม่ออก ยามกล่าววาจาสุ้มเสียงของมันไม่ได้ดังนัก แต่เมื่อเข้าสู่โสตประสาทของจั่วม่อ กลับสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งฟ้าร้อง

“ขอรับ” จั่วม่อรับคำอย่างอ่อนแอ จนกระทั่งถึงตอนนี้ มันก็ยังยังไม่เข้าใจว่าท่านเจ้าสำนักกับซือฟู่ไฉนจู่ๆ ก็โยนมายังอาจารย์ลุงรอง

“สำนักเราฝึกปรือกระบี่ และไม่ได้ให้ความสำคัญกับสังขารร่างกาย แต่เจ้าเกิดมาร่างกายอ่อนแอ ทั้งยังบอบบางมากเกินไป ดังนั้นเจ้าต้องเริ่มจากฝึกปรือกายาเสริมสร้างสังขาร” อาจารย์ลุงซินหยานไม่ได้ลืมตาขึ้นเลย สุ้มเสียงเบาต่ำมาพร้อมกับแรงกดดันอันรุนแรง ประกาศจุดเริ่มต้นชีวิตโศกนาฏกรรมของจั่วม่ออย่างเฉื่อยชา

 

ภูเขาสุญตาไม่ได้สูงชันอันตรายมากนัก แต่เส้นทางคดเคี้ยวซับซ้อน หากเดินเท้าขึ้นมาต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามชั่วยาม

ศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักกระบี่สุญตาจู่ๆ ก็พบว่าศิษย์พี่จั่วม่อทุกวี่วันจะเดินไปตามเส้นทางภูเขา หอบหายใจอย่างหนักหน่วง เหงื่อเปียกชุ่มโชกบนแผ่นหลัง ขึ้นๆ ลงๆ วันหนึ่งไม่ทราบว่ากี่รอบต่อกี่รอบ ไม่กี่วันต่อมา ยังปรากฏห่อผ้าแบกอยู่บนหลังของศิษย์พี่จั่วม่ออีกด้วย มันยังขึ้นแล้วก็ลง ลงแล้วก็ขึ้น เมื่อเฝ้าดูศิษย์พี่ตะเกียกตะกายไปตามเส้นทางภูเขา ศิษย์ฝ่ายนอกบางคนทนดูไม่ไหว เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ แต่ถูกศิษย์พี่จั่วม่อตำหนิอย่างสาดเสียเทเสีย ศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมดล้วนงุนงงสงสัย ศิษย์พี่ใช่ชมชอบทำร้ายตัวเองหรือไม่?

นี่ก็มิอาจโทษว่าจั่วม่อ ทุกเช้าค่ำมันมีแต่อยากร่ำไห้เป็นกำลัง จะไปมีอารมณ์พูดจาดีๆ กับผู้ใดได้

ที่ด้านบนยอดเขา อาจารย์ลุงซินหยานเฝ้าจับตาดูมันอยู่ จั่วม่อไม่กล้าอู้แม้แต่น้อย

“วิธีฝึกโง่เง่ากระไรเช่นนี้ อาจารย์ลุงสวะของเจ้าถึงกับใช้วิธีปัญญาอ่อนอย่างนี้จริงๆ ฮ่าฮ่า” ผูเยาหัวร่อถูกอกถูกใจกับเคราะห์หามยามร้ายของจั่วม่อไม่จบสิ้น

จั่วม่อขบกรามแน่น ยกเท้าเหยียบขึ้นไปทีละก้าว ตลอดทั้งร่างอาบชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทุกครั้งที่เท้าเปล่าของมันย่ำลงไปบนขั้นบันไดหิน จะทิ้งรอยเปียกไว้เป็นรูปเท้า มันไม่ให้ความสนใจผูเยาแม้แต่น้อย และไม่ใช่หวาดกลัวว่าอาจารย์ลุงรองจะพบเห็นผูเยา แต่เป็นเพราะมันไม่มีเรี่ยวแรงจะกล่าววาจาต่างหาก เวลานี้มันกำลังเฝ้าครุ่นคิดถึงเหล่าเซียนวรยุทธ์ที่ฝึกฝนทางด้านเสริมสร้างสังขาร จั่วม่อถามไถ่ตนเอง ไฉนมันถึงไม่คิดจะฝึกฝนเสริมสร้างสังขาร? แต่ละก้าวที่ย่ำขึ้นไปช่างหนักแรง มันแทบจะไม่อาจยกเท้าก้าวต่อไปได้ แต่หากมันหยุดพักก็หมายความว่ารอบนี้จะสูญเปล่าทันที และจะต้องเผชิญกับการลงโทษเป็นสองเท่า

สายตาของอาจารย์ลุงรองน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง อยู่ไกลถึงปานนั้นยังสามารถเห็นได้กระจ่างชัด ทุกครั้งที่จั่วม่อคิดถึงเรื่องนี้ มันได้แต่น้ำตาตกใน อาจารย์ลุงรอง ท่านช่างมีเวลาว่างเหลือเฟือเสียจริง คอยมาเฝ้าดูศิษย์ตัวเล็กๆ อย่างข้าได้ทุกวี่วัน ท่านไม่มีงานอื่นที่มันคุ้มค่ากว่านี้ให้กระทำแล้วหรือ?

ไม่จำเป็นต้องนั่งเข้าฌานหรือไร...หรือฝึกกระบี่...หรือหลอมสร้างอะไรสักอย่าง...หรืออะไรก็ได้

“เจ้าต้องการให้ข้าสอนเจ้าเสริมสร้างสังขารหรือไม่” ผูเยาถามปนหัวร่อฮิฮิ “กล่าวถึงการฝึกปรือกายาเสริมสร้างสังขาร เผ่าปิศาจจึงเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริง ซิวเจ่ออย่างพวกเจ้าที่ฝึกปรือกายาล้วนแล้วแต่เรียนรู้มาจากเผ่าปิศาจทั้งสิ้น แต่จริงๆ แล้วลอกเลียนได้ไม่ดีเท่าใด ฮ่าฮ่า ด้วยสถานะพันธมิตรชั่วนิรันดร์ของเผ่าปิศาจ ข้าย่อมมีความเข้าใจลึกซึ้งในมรดกเคล็ดวิชาเสริมสร้างสังขาร สามารถรับรองผลว่าเจ้าจะได้เรียนรู้สิ่งที่ดี เป็นประโยชน์ไปชั่วชีวิต แน่นอนว่าไม่มีผลข้างเคียง......”

จั่วม่อไม่มีอารมณ์จะโต้ตอบกับผูเยา มันกัดฟันแน่น เกร็งกำลัง รวบรวมเรี่ยวแรงทั่วร่าง ยกขาก้าวขึ้นไปทีละก้าวๆ ทุกก้าวราวกับเป็นก้าวสุดท้ายในชีวิต

ผูเยายิ่งหัวร่ออย่างครื้นเครงมากขึ้น

ห่างออกไปเล็กน้อย บนยอดของดอยตะวันออก เสี่ยวกั่วเฝ้ามองศิษย์พี่จั่วม่อตะกายขึ้นไปตามเส้นทางคดเคี้ยวบนภูเขา นางสะท้านใจอย่างรุนแรง กำหมัดสีชมพูจนแน่น ใบหน้ารูปผิงกว่อผลน้อยๆ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

ศิษย์พี่เก่งกาจปานนั้น แต่ยังคงฝึกหนักถึงเพียงนี้ เสี่ยวกั่วยิ่งต้องฝึกให้หนักกว่านี้อีก!

นางหมุนตัวจากไป ตกลงใจว่าวันนี้จะเพิ่มเวลาฝึกปรือเป็นสองเท่า!

หากจั่วม่อล่วงรู้ความคิดของเสี่ยวกั่ว มันคงแหงนหน้าร่ำไห้ต่อฟ้าสวรรค์ “เกอถูกบังคับ!”

ในความเป็นจริง เวลานี้หัวสมองจั่วม่อว่างเปล่าไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากใช้เรี่ยวแรงจนเกลี้ยงฉาด ความคิดจิตใจและปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คนจะเฉื่อยชากว่าเดิม อีกครึ่งทางที่เหลือมันไต่ขึ้นไปด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ ถึงกับไม่ได้ยินชัดเจนว่าผูเยากำลังกล่าวอันใด

ครั้นเมื่อมันขึ้นไปถึงยอดเขาในท้ายที่สุด อาจารย์ลุงรองหิ้วร่างมันขึ้น และเหาะไปยังเรือนขิงหอมโดยไม่กล่าววาจาแม้สักครึ่งคำ

 

ภายในลานของเรือนขิงหอม ถังไม้ขนาดใหญ่ตั้งซ้อนอยู่ในหม้อเหล็กใบโต ในถังไม้เต็มไปด้วยของเหลวสีดำสนิท กลิ่นสมุนไพรฉุนจัดกำจายไปทั่ว ไม่ว่าใกล้หรือไกลล้วนสูดได้กลิ่นอย่างชัดเจน สวี่ฉิงยืนชิดถังไม้ เห็นอาจารย์ลุงรองหิ้วจั่วม่อเหาะตรงเข้ามา นางรีบเร่งไฟทันที

ยังคงปราศจากคำพูดจา อาจารย์ลุงซินหยานโยนจั่วม่อลงในถังไม้อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเหินบินจากไป

ซู่ว จั่วม่อราวกับก้อนโคลนกลมๆ ถูกโยนลงในถังไม้อย่างแม่นยำ น้ำสมุนไพรร้อนจัดทำให้มันตาเหลือก สูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ สวี่ฉิงที่ด้านข้างใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย นางบอกจั่วม่ออย่างเห็นอกเห็นใจว่า “ศิษย์พี่ ค่าน้ำสมุนไพรสำหรับอาบวันนี้มีต้นทุนหนึ่งชิ้นจิงสือระดับสาม นายหญิงบอกว่าเงินจำนวนนี้ให้ลงบัญชีท่านไว้ และท่านต้องจ่ายคืนในภายหลัง”

จั่วม่อพยักหน้าด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว นี่มันร้อนเกินไปแล้ว!

ทุกวันมันต้องจ่ายค่าน้ำสมุนไพรสำหรับอาบ สำนักช่างตระหนี่เสียจริง นี่ไม่เท่ากับบังคับให้มันเป็นหนี้หรอกหรือ? อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านมาหลายวัน จั่วม่อทราบดีว่าไร้ประโยชน์ที่จะแข็งขืน ได้แต่ต้องกัดฟันทนต่อไปเท่านั้น ที่สำคัญผลลัพธ์ที่ได้จากการอาบน้ำยายังเห็นได้ชัดเจนมาก หากไม่ได้แช่น้ำยา จั่วม่อแน่นอนว่าไม่อาจสำเร็จการฝึกอบรมที่อาจารย์ลุงรองกำหนดไว้ได้ จากนั้นมันก็ต้องประสบกับการลงโทษอันน่าหวาดหวั่น

บางครั้งจั่วม่อก็มีความรู้สึกว่าอาจารย์ลุงรองกับซือฟู่สมคบคิดกันให้เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว......

สวี่ฉิงยิ่งเห็นอกเห็นใจมากขึ้น เมื่อนางกล่าวเตือนจั่วม่อว่า “ศิษย์พี่ ข้าต้องเร่งไฟให้แรงกว่านี้!”

สักครู่ต่อมา เสียงกรีดร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือดก็ดังสะท้อนก้องไปทั่วเรือนขิงหอม เหล่าศิษย์สตรีที่กำลังทำงานอยู่ด้านหน้าลาน พากันหันมามองด้วยความเห็นใจ พวกนางสบตากัน ก่อนจะถอนหายใจ “น่าสงสารจริงๆ!” จากนั้นพวกนางก็ก้มหน้าจมอยู่กับงานของตนต่อไป

 

เมื่อเสร็จสิ้นการแช่น้ำยาสมุนไพร จั่วม่อดูเหมือนกึ่งเดินกึ่งหลับกลับไปยังลานน้อยลมตะวันตกของมัน วันแห่งฝันร้ายสิ้นสุดลงไปอีกหนึ่งวัน

จั่วม่อต้องการทิ้งตัวลงและนอนหลับไป กระดูกทุกชิ้นทั่วร่างคล้ายว่าต้องการแผ่ราบลงกับพื้นโลก แต่มันยังคงบังคับตัวเองไปนั่งเข้าฌานในห้องศิลา เคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดไม่ได้มีอะไรพิเศษในด้านการฟื้นฟูสภาพร่างกาย แต่สำหรับในด้านหล่อเลี้ยงรักษาจิตใจ กลับมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง

จั่วม่อสงสัยว่าหากมันไม่มีเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด แม้ยังไม่ตายจากความเหน็ดเหนื่อย แต่น่าจะเสียสติจากความเหนื่อยล้าไปเสียก่อน

มันเข้าสู่สภาวะฌานอย่างรวดเร็ว เวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนติดปีกบิน เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ร่างกายยังคงบอบช้ำ แต่ความรู้สึกสมองว่างเปล่าได้อันตรธานหายไป เหมือนกับว่าร่างกายกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของมันอีกครั้ง น้ำยาสมุนไพรที่ใช้อาบเป็นซือฟู่ของมันจัดเตรียมขึ้นมา ว่ากันว่ายิ่งเหนื่อยล้ามากเท่าใด ก็ยิ่งช่วยบำรุงร่างกายได้มากเท่านั้น

จั่วม่อลุกยืนขึ้นอย่างไม่เต็มใจและอับจนปัญญา สิ่งที่มันต้องทำตอนนี้คือไปยังดอยมองอาทิตย์ก่อนที่พระอาทิตย์จะฉายแสง หากมันไปสาย นั่นจะย่ำแย่อย่างยิ่ง ในเวลานี้ท้องฟ้ายังไม่รุ่งสาง เห็นเป็นแผ่นผืนมืดสนิท เส้นทางภูเขายังคงเย็นเยือกอยู่บ้าง

ผืนฟ้านภาลัยยามใกล้รุ่งอุษาสางแผ่กว้างอยู่เหนือศีรษะ จั่วม่อนั่งห่านบินไปยังดอยมองอาทิตย์อย่างรวดเร็ว หมู่ดาวเบื้องบนกระพริบวิบวับคล้ายหยอกล้อมัน

ขณะพุ่งผ่านสายลม จั่วม่อมีเพียงความคิดเดียว ฝันร้ายนี้ได้โปรดจบสิ้นลงเสียทีเถอะ! มันอยากกลับไปใช้ชีวิตทำไร่ไถนาและหลอมกลั่นเม็ดยาเหมือนในอดีต กระทั่งการฝึกกระบี่ในแม่น้ำยังดีกว่านี้เลย เวลานี้มันเฝ้านับวันเวลาอยู่ทุกวันคืน แต่สิ่งที่ทำให้สิ้นหวังมากที่สุดก็คือสิ่งที่ซือฟู่ได้กล่าวไว้ ว่าเรื่องราวนี้จะไม่สิ้นสุดจนกว่าอาจารย์ลุงรองจะพอใจ...

อาจารย์ลุงรองพอใจ...

จั่วม่อสังหรณ์ว่าในสายตาอันน่าสยดสยองของอาจารย์ลุงรอง ...นี่ยังเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น!

 

เวลาเดียวกันกับที่จั่วม่ออาศัยอยู่ในชีวิตที่น่าอนาถ ในตงฝูพลันเกิดเหตุการณ์เขย่าขวัญสะท้านวิญญาณ สะเทือนไปทั้งตงฝู!

 

กลุ่มถึงตอนที่ 132 แล้ว คลิก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด