ตอนที่แล้วตอนที่ 64 เขตแดนลมปรารแรกเริ่ม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 66 โปรดชี้แนะ

ตอนที่ 65 เหว่ยจวาง


นอกจากทั้ง 2 กลุ่มนี้ รอบๆบริเวณยังเต็มไปด้วยศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวที่กำลังมุงดูการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้น และยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ชี้และกล่าวนินทาการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อเต็มไปด้วยความสงสัย หยางไค่รีบเดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชน และเขาค่อยๆเดินเข้าไปหาหลี่หยุนเทียน

ไม่เกินความคาดหมายของเขา ตอนนี้ใบหน้าของซู่มู่บวมเบ่งจมูกเขี้ยวช้ำ ดูน่าอึดอัดใจสำหรับผู้พบเห็น ซู่มู่กำลังต่อสู้กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุมากกว่าเขาไม่มากนัก ใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ในลักษณะที่สงบ ร่างกายของเขาไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เขาแสะยิ้มให้แก่ซู่มู่ด้วยความดูถูก เขาโจมตีซู่มู่และพูดจาระรานซู่ม่เพื่อกระตุ้นให้ซู่มู่เกิดความเคืองโกรธ ซู่มูจึงตะโกนคำรามด้วยเสียงต่ำและพุ่งไปด้าหน้าด้วยความกล้าหาญที่รุนแรง แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามจับจังหวะการโจมตีและโต้กลับได้อย่างง่ายดาย

หลังจากดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สักพัก หยางไค่ขมวดคิ้ว เขาพบว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ ไม่ใช่เพราะการโจมตีของซู่มู่มิอาจถึงตัวของชายหนุ่มคนนั้น แต่ว่าการโจมตีของซู่ไม่มีผลต่อชายหนุ่มคนนั้นแม้แต่น้อย เมื่อซู่มู่ปล่อยหมัดออกไปด้านหน้าของฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามไม่กระดิกตัวแม้แต่น้อย เมื่อมองกลับกันถ้าหากว่าการโจมตีของซู่มู่สามารถโจมตีถึงตัวเขา มันจะทำให้ซู่มู่ได้รับบาดเจ็บซะมากกว่า

ระหว่างกระบวนท่าของทั้งสองมีการปลดปล่อยพลังลมปราณที่ไม่แตกต่างกันมาก อาจจะกล่าวได้ว่าทั้งสองมีความแข็งแกร่งที่เกือบจะเท่าเทียมกัน แต่ทำไมเมื่อทั้งสองเข้าปะทะกันถึงมีความแตกต่างที่มากมายเช่นนี้ ?

“เกิดอะไรขึ้น ?” หยางไค่ตบไหล่ของหลี่หยุนเทียนและกล่าวถามด้วยความสงสัย

 

หลี่หยุนเทียนหันหน้ากลับ ก่อนจะแสดงสีหน้าออกมาด้วยความดีใจ : “ศิษย์พี่หยาง !!”

 

เมื่อเสียงตะโกนนี้ดังออกมา จ้าวหู่และคนอื่นๆ ต่างมองเห็นการมาของหยางไค่ พวกเขารีบกล่าวทักทายย ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง

 

“ซู่มู่ไม่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร ?” หยางไค่กล่าวถามกับตนเองด้วยความสงสัย : “ความแข็งแกร่งของพวกเขาน่าจะไม่แตกต่างกันมาก ?”

 

หลี่หยุนเทียนรีบพยักหน้า และแสดงออกอย่างไม่พอใจ : “อืม ตอนนี้นายน้อยซู่มู่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 2 ส่วนชายคนนั้นอยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3 ถ้าหากมันเป็นการต่อสู้อย่างเป็นธรรม แม้ว่านายน้อยซู่จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาก็คงจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ว่าชายคนมันน่ารังเกียจเกินไป แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างศิษย์ด้วยกันเอง แต่เขากลับสวมใส่สมบัติแห่งการป้องกัน แล้วนายน้อยซู่จะสามารถแสดงความแข็งแกร่งในการต่อสู้ได้อย่างไหร่ ?”

เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ หยางไค่นิ่งไปสักพัก: “สมบัติแห่งการป้องกัน ?”

 

“ใช่แล้ว” หลี่หยุนเทียนกัดฟันกล่าว : “เขาเป็นหลานชายของผู้อาวุโสที่หนึ่ง ชื่อว่าเหว่ยจวาง สมบัติแห่งการป้องกันของเขาเป็นสมบัติที่ผู้อาวุโสมอบให้แก่เขา”

 

“เป็นเยาวชนรุ่นที่ 2 ?” หยางไค่ค่อยๆเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เบื้องหลังของซู่มู่มีผู้อาวุโสคนหนึ่งคอยสนับสนุน เหว่ยจวางคนนี้เป็นหลายชายของผู้อาวุโส ทั้งสองต่างมีคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ตำแหน่งฐานะของพวกเขาไม่แตกต่างกันมาก คนอื่นๆไม่กล้าที่จะทุบตีหยางไค่ นั้นไม่แสดงว่าเขาไม่กล้า แต่ว่าการประลองยุทธุ์ของศิษย์ในสำนักเดี่ยวกัน เขายังสวมใส่สมบัติแห่งการป้องกัน มันไร้ความยุติธรรมและมากเกินไป

 

“ผู้อาวุโสที่หนึ่งและผู้อาวุโสที่สองมีความสัมพันธุ์ที่ไม่ดีมากนัก แม้แต่นายน้อยซู่และเหว่ยจวางยังไม่ถูกชะตาซึ่งกันและกัน ครั้งนี้เขาได้โอกาส เขาต้องสั่งสอนให้บทเรียนแก่นายน้อยซู่อย่างสาสม” หลี่หยุนเทียนกล่าวด้วยความกังวลอย่างเงียบๆในใจ

 

หยางไค่กล่าวพึมพำ : “ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงการต่อสู้ภายในที่น่าเบื่อและสิ้นคิด !”

 

“ศิษย์พี่หยาง คิดหาวิธีการหรือหนทางอื่นๆที่จะช่วยนายน้อยซู่ด้วย ศิษย์พี่หยางก็รู้นิสัยของนายน้อยซู่ ถ้าหากยังฝืนต่อสู้ไปเรื่อยๆ เขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน” หลี่หยุนเทียนกล่าวขอร้อง

 

หยางไค่แสดงอออกอย่างเฉยชา : “การประลองยุทธุ์ระหว่างศิษยในสำนัก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการถูกผู้อื่นทุบตีทำร้าย ศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวยังต้องกลัวเรื่องนี้อีกหรือไง ?”

 

“แต่ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรก เหว่ยจวางนั้นใช้ความแข็งแกร่งและความวิเศษของสมบัติแห่งการป้องกัน”

 

หยางไค่หัวเราะอย่างเย็นชา : “ในโลกนี้มันไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรก !! คนที่อ่อนแอจะกล่าวเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแกร่ง ผู้แข็งแกร่งจะเป็นที่ยอมรับและได้รับการนับถือ พวกเจ้าน่าจะเข้าใจในจุดนี้”

 

หลี่หยุนเทียนอึ้งกับคำกล่าวของหยางไค่ ก่อนที่เขาจะเงียบและไม่กล่าวอะไรต่อไปอีก

 

การแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์ของศิษย์ในสำนักเดียวกัน เป็นความจริงที่พวกเขาไม่สามารถเข้าไปขัดขวาง แม้ว่าการกระทำในครั้งก่อนของหยางไค่จะดุดันและรุนแรง แต่เมื่อมีกฎแห่งสำนักและพวกเขาไม่สามารถฝ่าฝืนกฎนั้นไปได้ แล้วจะให้เขาช่วยเหลือซู่มู่เหมือนครั้งที่แล้วได้อย่างไร ?

 

ในสนามแห่งการประลองยุทธุ์ การโจมตีของซู่มู่ถูกทำลายลงอย่างช้าๆ กระบวนท่าที่เขาโจมตีออกไปค่อยๆไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่เหว่ยจวางกลับหัวเราะอย่างสะใจ เขาพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาทุบหน้าอกของตนเองและกล่าวอย่างภูมิใจ : “ซู่มู่ ไม่ต้องเกรงใจ เขามาโจมตีข้าได้เลย ข้าจะยืนนิ่งโดยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย ถ้าเจ้าสามารถโจมตีทำร้ายข้าจนข้ารู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมาณ ข้าจะขอยอมแพ้เอง !”

 

ดวงตาของซู่มู่ทั้งสองพร่ามั่ว หมัดทั้งสองข้ามมีรอยเลือดสีแดง สมบัติแห่งการป้องกันที่จางเหว่ยสวมใส่ไม่เพียงสามารถป้องกันพลังในการโจมตี มันยังสามารถสะท้อนพลังลมปรารในการโจมตี การโจมตีของซู่มู่ในทุกๆครั้ง ทำให้เขาต้องทนกับพลังกว่าครึ่งหนึ่งของตนเอง บาดแผลที่หมัดทั้งสองก็เกิดจากสมบัติแห่งการป้องกันนี้

 

เมื่อได้ยินคำกล่าวที่เยาะเย้ยของเหว่ยจวาง ซู่มู่ถุยน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือด ก่อนจะกล่าวด้วยความรังเกียจ : “ถ้าหากเจ้าแน่จริงเจ้ากล้าจริงเจ้าก็ถอดสมบัติแห่งการป้องกันออกซิ ข้าจะทุบตีจนเจ้าต้องคลานกลับไป !!”

 

เหว่ยจวางแสดงออกอย่างเยือกเย็น ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความเหี้ยมโหดในทันที ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่ชั่วร้าย : “มีความกล้าไม่น้อย !! เจ้ากล้าที่จะใส่ร้ายข้า !! เจ้าต้องชดใช้กับคำพูดของเจ้าอย่างสาสม!!”

 

เหว่ยจวางถูกระตุ้นจากคำพูดของซู่มู่จนเกรี้ยวโกรธ เขาพุ่งไปด้านหน้าของซู่มู่อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งหมัดไปที่แก้มของซู่มู่ เมื่ออยู่ในความอ่อนแอ ซู่มู่ทำได้เพียงยกมือป้องกัน แต่ความแข็งแกร่งของซู่มู่ไม่สามารถเทียบได้กับเขา มันไม่สามารถป้องกันการโจมตี หมัดที่หนักหน่วงจึงพุ่งโจมตีไปที่แก้มของซู่มู่ ทันใดนั้นแก้มของซู่มู่บวมเบ่งขึ้นมาทันที ตัวของเขาอย่างพลิกหมุน 1 รอบจากการโจมตีที่รุนแรง

 

เหว่ยจวางมีพละกำลังที่เหมือนเสือ เขาเดินไปข้างหน้าโดยไม่ลดล่ะ ก่อนจะเตะซู่มู่ลงไปที่พื้น และปล่อยหมัดทั้งสองข้างไปที่ใบหน้าของซู่มู่อย่างโหดเหี้ยม

 

ซู่มู่ใช้พละกำลังทั้งหมดป้องกันการโจมตี แต่ไม่ก็ไร้ประโยชน์ สมบัติแห่งการป้องกันที่เหว่ยจวางสวมใส่มีประโยชน์ต่อการต่อสู้ไม่น้อยและมันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำลายได้

 

“เรียกข้าว่าปู่ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป !!” หลังจากที่เหว่ยจางโจมตีไปได้สักพัก เขาได้หยุดการโจมตีและกล่าวบังคับให้ซู่มู่กล่าวในสิ่งที่เขาต้องการ

 

ซู่มู่มองเขาด้วยสายตาที่เยือกเย็น ก่อนจะหัวเราะอย่างรังเกียจ

 

ครั้งที่แล้วแม้ว่าซู่มู่ถูกเฉิงเซาเฟิงใช้ก้อนหินทุบไปที่ศีรษะของเขา เขายังไม่ยอมจำนนต่อเฉิงเซาเฟิง แล้วครั้งนี้เขาจะยอมจำนนได้อย่างไร ?

 

“ข้าจะให้เจ้าหัวเราะอย่างที่ต้องการ !!” เหว่ยจวางลงมือโดยไม่มีความเมตตา เขาพุ่งหมัดออกไป ทำให้ฟันของซู่มู่หักไป 1 ซี่ จมูกของเขาเอ่อร้นไปด้วยเลือดสีแดง รูปร่างหน้าตาของเขาในตอนนี้น่าสมเพชยิ่งนัก

 

เหว่ยจวางลงมืออย่างรุนแรง มันรุนแรงยิ่งกว่าเฉิงเซาเฟิงเสียอีก

 

“นายน้อยซู่ !!” หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป พวกเขาก้าวออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ตระหนักถึงกฎของสำนักที่ไม่สามารถละเมิดได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถช่วยเหลือซู่มู่

 

เหว่ยจวางไม่ได้ลงมือต่อ แต่เขาหันกลับไปมองหลี่หยุนเทียนและคนอื่น ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่เหยียดหยาม : “อยากช่วยเขา ?”

 

หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆไม่ตอบ พวกเขาสูดหายใจอย่าหนักหน่วงและแสดงออกอย่างไม่พอใจ

“ข้าถามพวกเจ้า อยากช่วยเขาไหม ?” เหว่ยจวางตบไปที่หน้าของซู่มู่ ก่อนจะกล่าวถามอย่างรุนแรงอีกครั้ง

 

เมื่อเห็นซู่มู่ถูกโจมตีอีกครั้ง หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆรีบพยักหน้า เพราะกลัวว่าเหว่ยจวางจะลงมืออย่างรุนแรงอีกครั้ง

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ฝูงชนที่กำลังมุงดูต่างออกความคิดเห็นอย่างวุ่นวาย หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆต่างแสดงออกด้วยความขมขื่นที่ต้องพบเจอกับความอัปยศเช่นนี้

 

ซู่มู่พยายามมองมาที่พวกเขาและกล่าวด้วยความทรมาณอย่างช้าๆทีละคำ : “อย่า ฟัง คำ พูด ของ เขา !!”

 

“ป้าป !!” เสียงตบหน้าดังขึ้น ซู่มู่ถูกเหว่ยจวางตบหน้าอีกครั้ง !!

 

หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆต่างแสดงออกอย่างขมขื่น พวกเขารู้ถ้าหากยังลังเลต่อไป ซู่มู่จะถูกเขาเหว่ยจวางทรมาณต่อไป พวกเขามองไปที่เหว่ยจวางด้วยสีหน้าที่เกลียดชัง ใยหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ก่อนทีพวกเขาจะค่อยๆคุกเข่าลงที่พื้น

 

หยางไค่มองพวกเขาด้วยความตกตะลึง เขาไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะทำเพื่อซู่มู่ได้ถึงขั้นนี้ เข่าของลูกผู้ชายนั้นเป็นดั่งทองที่มีค่า ถ้าหากความสัมพันธุ์ของพวกเขาไม่ลึกซึ้ง แล้วเขาจะคุกเข่าให้ผู้อื่นได้อย่างไร ?

 

เดิมทีหยางไค่คิดว่าหลี่หยุนเทียนและคนือ่นๆคงจะค่อยดื่มกินกับซู่มู่ที่อยู่ในฐานะเยาชนรุนเยาว์รุ่นที่ 2 แต่ตอนนี้มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด

 

เหว่ยจวางหรี่ตาลง ก่อนจะหัวเราะอย่างเสียงดัง ก่อนจะมองไปที่ซู่มู่และกล่าว : “ดูไม่ออกเลย ว่าสุนัขที่เจ้าเลี้ยงไว้เชื่อฟังคำสั่งอย่างดีเยี่ยม”

หางตาของซู่มู่มีหยดน้ำตาไหลรวยรินออกมา !! แม้ว่าเขาจะถูกเหว่ยจวางทุบตีจนย่อยยังเขาก็มิได้หลั่งน้ำตาแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ เมื่อมองเห็นหลี่หยุนเทียนและคนอืนๆคุกเข่าลงที่พื้น เขาไม่สามารถยับยั้งน้ำตาเหล่านั้นไม่ให้ไหลออกมาได้ !!

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด