ตอนที่แล้วตอนที่ 37 จดหมายแห่งการต่อสู้
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 39 ต่อสู้

ตอนที่ 38 หู่เหมยเอ่อ


อายุของหญิงสาวห่างจากซู่มู่ไม่มาก แต่เมื่อเธอก้าวเดินเข้ามา สะโพกของเธอโยกย้ายไปมาอย่างยั่วยวนใจ หน้าอกที่อวบอิ่มกระชับขึ้นลงอย่างรุนแรง ทำให้คนที่พบเห็นแทบจะหมดสติ

แม้ว่าอายุของเธอยังน้อย แต่กลับมีความเป็นหญิงสาวที่โตเต็มวัย แต่ว่ากลิ่นอายของหญิงสาวยังไม่สมบูรณ์มาก ทำให้รู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรมชาติ

“หู่เหมยเอ่อ !!” เมื่อมองเห็นหญิงสาวนางนี้ การแสดงออกของหญิงสาวได้เปลี่ยนแปลงไป ดวงตาทั้งสองกวาดมองไปยังเรือนร่างของหญิงสาว ก่อนจะกลืนน้ำลายเข้าไปโดยไม่รู้ตัว

ซู่มู่แสดงออกด้วยปฏิกิริยาเช่นนี้ แม้แต่หลี่หยุนเทียนก็แสดงออกด้วยปฏิกิริยานี้โดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

ดวงตาทุกคู่เปรียบเสมือนดวงตาของมด แมลง ที่จ้องมองไปยังเรือนร่างของหู่เหมยเอ่ออย่างไม่วางตา พวกเขาจ้องมองไปยังเรือนร่างของหู่เหมยเอ่อโดยลืมทุกสิ่งอย่าง และหายใจอย่างหนักหน่วง ซึ่งเป็นการแสดงออกที่น่าเกลียดยิ่งนัก แม้ว่าหญิงสาวในใต้หล้ามีจำนวนมากมาย แต่หญิงสาวที่เหมือนหู่เหม่ยเอ่อที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์เพียงน้อยนิดยากที่จะพบเจอ นอกจากนั้นเธอยังเป็นหญิงแรกรุ่นที่มีอายุประมาณ 15-16 ปี มีผิวที่ขาวเนียน อวบอิ่ม เรือนร่างของเธอจึงมีกลิ่นอายแห่งการฆ่าชายหนุ่มที่รุนแรง

หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆ เป็นเพียงชายที่อยู่ในวัยแรกรุ่น มีความคึกคะนอง เมื่อมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่กระตุ้นอย่างหนักหน่วง ทำให้จิตใจของพวกเขากำลังเคลิ้มฝันโดยไม่ตั้งใจ

สายตาและปฏิกิริยาของชายหนุ่มจากหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวไม่ทำให้หู่เหมยเอ่อรู้สึกรังเกียจ แต่ในตรงกันข้ามกลับทำให้เธอรู้สึกสนุกจากปฏิกิริยาของพวกเขา เธอวางมือเล็กๆของเธอไว้บนปากและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เย้ายวน : “ที่แท้ น้องซู่ก็รู้จักพี่ ?”

ซู่มู่กระแอ่มเล็กน้อย ก่อนจะบังคับสายตาของตนเองให้มองไปที่อื่นแต่ใบหน้าของเขาแดงก่ำและกล่าวตอบ : “รู้จัก !!”

เฉิงเซาเฟิงเป็นผู้นำเขตแดนกายาเริงอารมณ์แห่งหอวายุพิรุณ และหู่เหมยเอ่อเป็นผู้นำเขตแดนกายาเริงอารมณ์แห่งนิกายโลหิต ฐานะของหญิงสาวคนนี้ไม่ธรรมดา เธอยังเป็นบุตรตรีคนเลก็ของประมุขแห่งนิกายโลหิต

แต่เป็นเพราะชื่อเสียงของเธอไม่สู้ดีนัก ประมุขแห่งนิกายโลหิตหู่หมั่นจึงไม่สนใจเธอ เขาให้อิสระแก่เธอให้เธอออกมาสัมผัสโลกภายนอกด้วยตนเอง แม้ว่าหู่เหมยเอ่ออายุยังน้อย แต่สามารถควบคุมคนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ เธอจึงอยู่กับเฉิงเซาเฟิง หรือว่าพวกเขาจะกลายเป็นคนของเธอ ?

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซู่มู่รู้สึกรู้สึกอิจฉาและมีความสุข สิ่งที่เขาอิจฉาคือเฉินเซาเฟิงช่างโชคดียิ่งนัก แต่ที่มีความสุขเพราะเขาถูกควบคุมจากหญิงสาวคนหนึ่ง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ใบหน้าของซู่มู่เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีเลศนัย เขามองไปยังเฉิงเซาเฟิง ด้วยสายตาที่ดูถูกและเหยียดหยาม

สายตาที่มองมาทำให้เฉิงเซาเฟิงรู้สึกอึดอัด นอกจากนั้นสายตาของศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยยังจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างของหู่เหมยเอ่อ ยิ่งทำให้เฉิงเซาเฟิงไม่สบอารมณ์ เขาก้าวเดินไปด้านหน้า ขวางอยู่ตรงหน้าของหู่เหมยเอ่อ เพื่อตัดสายตาที่ไม่เกรงใจของศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิง

มันเป็นภาพเหตุการณ์ที่สนุก ทำให้หู่เหมยเอ่อเผยรอยยิ้มที่มุมปาก

“ซู่มู่ ให้คนของเจ้าหลีกทาง” ใบหน้าของเฉิงเซาเฟิงกล่าวอย่างจริงจัง แม้แต่คำที่ไร้ซึ่งมารยาทเขายังรำคาญที่จะกล่าวออกมา

ซู่มู่หัวเราะอย่างเย็นชา : “เส้นทางมีตั้งมากมาย ต่างคนต่างเดินไปยังเส้นทางของตนเอง พวกเรายืนอยู่ที่นี้ มันปิดกั้นเส้นทางของเจ้าตรงไหน ?”

“ใช่ มันปิดกั้นเส้นทางของข้า !!” ใบหน้าของเฉินเซาเฟิงแสดงออกอย่างหม่นหมอง

“ถ้าหากว่าเขาไม่หลีกล่ะ ?” ซู่มู่เผชิญหน้ากับเขา ทั้งสองมีเรื่องกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา ทั้งสองต่างรับรู้ฝีมือและวิธีการต่อสู้ของกันและกัน ซู่มู่จึงไม่เกรงกลัวเขาแม้แต่น้อย

“น้องเฉิน น้องซูยืนอยู่ตรงนี้ก็มิได้สำคัญอะไรมากมาย พวกเราเดินอ้อมออกไป ไม่มีใครจะกล่าวว่าอะไรต่อเจ้าอย่างแน่นอน” หู่เหมยเอ่อได้กล่าวแทรกเข้ามา เพื่อคลายปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น แต่ความจริงแล้วเธอกำลังพัดเปลวไฟที่กำลังครุกกรุ่นให้โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง

ซู่มู่แอบสบทด่าเธออยู่ในใจ จิตใจของหญิงสาวคนนี้น่ากลัวยิ่งนัก เธอเป็นคนของนิกายโลหิต เป็นธรรมาดาที่ต้องการเห็นภาพเหตุการณ์ที่ศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวและหอวายุพิรุณต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย

เมื่อเฉิงเซาเฟิงได้ยินคำกล่าวของหู่เหมยเอ่อ ทำให้การแสดงออกของเขาแข็งขันมากขึ้น ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่เยือกเย็น : ‘ถ้าหากยังไม่หลีกไป เจ้าจะต้องเสียใจ “

เขาต้องการแสดงความสง่างามให้แก่หู่เหมยเอ่อที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เฉิงเซาเฟิงไม่มีทางที่จะถอยให้แก่ซู่มู่ !!

มุมปากของหู่เหมยเอ่อกระตุกด้วยรอยยิ้ม เธอเฝ้าดูทั้งสองด้วยสายตาที่สนใจ จากนั้นจึงถอยหลังออกไป

“ถ้าเจ้ามีความกล้าพอ ก็เข้ามา !!” ซู่มู่หัวเราะอย่างเย็นชาและมองไปยังเฉิงเซาเฟิง หลีหยนุเทียนและคนอื่นๆก้าวเข้ามาข้างหน้า และยืนอยู่ด้านหลังของซู่มู่

“รนหาเรื่องเอง !!” เฉิงเซาเฟิงหัวเราะอย่างกะทันหัน เขาโบกมือและกล่าวตอคนที่อยู่ด้านหลัง : “โจมตี !”

สิ้นเสียงคำกล่าว เฉิงเซาเฟิงพุ่งไปยังด้านหน้าของซู่มฆ่าปล่อยหมัดไปยังใบหน้าของซู่มู่ ซู่มู่หัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนจะออกหมัดออกไปเช่นกัน

หมัดของทั้งสองปะทะกัน ซุ่มู่ถอยหลังออกไปเกือบสิบก้าว แต่ใบหน้าของเฉิงเซาเฟิงกลับสงบนิ่งราวกับเมฆที่เบาบาง ร่างกายของเขายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“เจ้าก้าวข้ามเขตแดนไปยังเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ” ใบหน้าของซู่มู่เปลี่ยนแปลงด้วยความตื่นตระหนก เมื่อสักครู่ที่ปะทะกัน จากหมัดของเฉิงเซาเฟิงเขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยแห่งพลังลมปราณ พลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายของเขามากกว่าพลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายของตนเอง สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาก้าวข้ามเขตแดนกายาเริงอารมณ์ไปยังเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณมันจึงทำให้เขาสามารถแสดงความแข็งแกร่งของตนเองออกมาได้

เฉิงเซาเฟิงยังคงพถางไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดหย่อนเขาหัวเราะและกล่าวต่อซู่มู่ : “ซู่มู่ เจ้าและข้าเริ่มฝึกยุทธุ์ในเวลาเดียวกัน แต่คนเราต่างมีความแตกต่างซึ่งกันและกัน หลังจากวันนี้ เจ้าซู่มู่ต้องเดินตามข้าเฉิงเซาเฟิง และไม่มีวันที่จะเหนือไปกว่าข้า”

ใบหน้าของซู่มู่ซีดขาวด้วยความสิ้นหวัง จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาณ ความรู้สึกพ่ายแพ้ต่อเฉิงเซาเฟิงน่าอับอายยิ่งกว่าถูกหยางกลั่นแกล้ง ทันใดนั้น เฉิงเซาเฟิงอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่จ้าง ซู่มู่รีบดึงสติตัวเอง แต่เขาไม่กล้าที่จะประมาท เขาเปิดความแข็งแกร่งของเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 9 ทั้งหมด แต่ก็มิอาจทนต่อการโจมตีของเฉิงเซาเฟิง

ยังไม่ทันที่หยางไค่จะเดินทางไปถึงป่าสนวายุทะมึน เขาได้ยินเสียงการต่อสู้จากระยะไกล เสียงที่แว่วมาเต็มไปด้วยคำกล่าวตะโกนสาปแช่งด้วยความโกรธของหลี่หยุนเทียนและมันยังเต็มไปด้วยความอัปยศที่น่าเวทนา

เขาเงี่ยหัวฟังอย่างตั้งใจ หยางไค่รู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ผิดปกติ เหมือนว่ากลุ่มคนของซู่มู่กำลังพบเจอกับปัญหาที่หนักหนาสาหัส

เมื่อรู้สึกเช่นนี้ หยางไค่เร่งฝีเท้าของตนเอง หลังจากที่เดินไปถึงเส้นทางที่บรรจบไปยังป่าสนวายุทะมึน เขากลับมองเห็นซู่มู่ที่มีใบหน้าเขียวช้ำ จมูกบวมเป่งนอนล้มอยู่บนพื้นดิน เขากำลังถูกชายหนุ่มคร่อมตัวและรัวหมัดทำร้ายอย่างไม่หยุดยั้ง หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆต่างปกป้องซู่มู่ด้วยความสามารถที่มีอยู่แต่มันก็ไร้ผล คนของฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมาก และยังมีแขตแดนที่สูงกว่าหลี่หยุนเทียน ศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวทั้งหมดยังมิอาจปกป้องตัวเองได้ แล้วพวกเขาจะช่วยซู่มู่ได้อย่างไร ?

“ยอมแพ้หรือไม่?” เฉิงเซาเฟิงกระแทกหมัดไปยังดวงตาของซู่มู่ ทำให้ปลายดวงตาของซู่มู่ฉีกขาดและมีหยดเลือดไหลรวยลินออกมา

ถุย !! ” ซู่มู่พ่นน้ำลายที่เต็มไปด้วยเลือดไปยังใบหน้าของเฉิงเซาเฟิง

“จะยอมแพ้ไหม ? เขากระแทกหมัดลงไปอีกครั้ง ทำให้โหนกแก้มของซู่มู่บูดบวมขึ้น”

“ข้ายอม………….ยอมให้บรรพบุรุษสิบแปดชั่วโครตของแก !!” แม้ว่าซู่มู่จะหายใจหอบ แต่เขายังแสดงออกอย่างแข็งขัน

“ยอมแพ้หรือยัง ?”

“ยอมแพ้ก้นของยายแกสิ !!”

เฉิงเซาเฟิงไม่กล่าวพูดอะไรต่อซู่มู่อีก เขาปล่อยหมัดลงไป และกล่าวถามว่า “จะยอมแพ้หรือไม่” ซู่มู่ตอบกลับด้วยเสียงที่สบทด่าและคำสาปแช่ง ทำให้หมัดที่ปล่อยลงไปของเฉิงเซาเฟิงมีความรุนแรงยิ่งขึ้น

หยางไค่ยืนอยู่ไม่ไกล เขายืนสังเกตุอย่างใจเย็น เขาพบว่าซู่มู่ยังเป็นคนที่มีความกล้าหาญเมื่อมองเห็นสภาพของซู่มู่ในตอนนี้ เหมือนว่ามองเห็นสภาพเดิมของตนเอง เมื่อพบเจอกับศัตรูที่มิอาจเอาชนะ แม้ว่าร่างกายจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ไม่มีทางที่จะยอมแพ้

สิ่งนี้ไม่ใช่ความโง่ แต่เป็นความอดทนที่ไม่มีวันยอมแพ้ !!

เดิมทีหยางไค่ไม่ต้องการที่จะลงมือ เพราะเขาไม่รู้ว่าซู่มู่มีเรื่องกับใคร ตอนนี้เขาถูกทำร้ายทุบตีอย่างรุนแรง ตัวเขาเองไม่เพียงมีความสัมพันธุ์ที่ไม่ดีต่อเขา และยังเคยเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน ไม่จำเป็นที่เขาต้องลงมือช่วยซู่มู่

แต่ความกล้าหาญที่ไม่ยอมแพ้ของซู่มู่ทำให้เขายอมรับ !!

ในตอนนี้เฉิงเซาเฟิงเหนื่อยล้าจากการทุบตี แม้ว่าใบหน้าของซุ่มู่จะเขียวช้ำ จมูกบวมเปล่ง หางตาฉีกขาด ปากเต็มไปด้วยเลือด แต่สายตาที่เปล่งออกมายังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

หู่เหมยเอ่อได้กล่าวแทรกขึ้นมา : “น้องเฉิง ปล่อยเขาไปเถอะ !! น้องซฆ่ามีความกล้าหาญยิ่งนัก ข้าชอบคนประเภทนี้ !”

เมื่อคำกล่าวนี้ถูกกล่าวออกมา ซู่มู่หัวหัวและกล่าวสบทด่าอย่างรุนแรง : “อสรพิษ !!”

เฉิงเซาเฟิงกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่เย็นชา : “มีความกล้าหาญ !! ข้าก็ชอบ !!”

ในขณะที่กล่าว เขาได้หยิบก้อนหินที่แหลมคมจากพื้นดิน และพุ่งเป้าหมายไปยังศีรษะของซู่มู่

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด