ตอนที่แล้วตอนที่ 36 หญิงงามภายใต้ดวงจันทรา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 38 หู่เหมยเอ่อ

ตอนที่ 37 จดหมายแห่งการต่อสู้


วันรุ่งขึ้น หยางไค่ถูกปลุกให้ตื่นจากเสียงเคาะประตู

หลังจากที่เขาลุกขึ้นมาเปิดประตู แต่กลับไม่มีใครอยู่ด้านนอก แต่เมื่อมองจากระยะไกล มีเงาของคนที่คุ้นเคยกำลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว

เงาของหลี่หยุนเทียน

**หลี่หยุนเทียนยังไม่ตาย***

ชายคนนี้กำลังจะทำอะไร ?หยางไค่รู้สึกสับสน ในขณะที่เขาสับสนไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น กลับพบว่าพื้นล่างของประตูมีจดหมายวางไว้ เขาลดตัวลงเก็บจดหมาย เปิดอ่าน และหัวเราะอย่างข่มขื่น

ในจดหมาย มีอักขระเขียนไว้ในจดหมาย และมันยังถูกเขียนด้วยหยดเลือด

“ศิษย์พี่ที่เคารพรัก ไม่เจอกันเป็นเวลานาน ศิษย์น้องคิดถึงศิษย์พี่ที่เคารพรักอย่างยิ่ง ศิษย์น้องขอให้ศิษย์พี่มาพบศิษย์น้องที่เทือกเขาวายุทะมึน หวังว่าศิษย์พี่จะทำตามความปราถนาของศิษย์น้อง !! ศิษย์น้องซู่มู่ !!”

อักขระสีเลือดเหล่านี้ เป็นอักขระที่เขียนมาจากหยดเลือด แต่ไม่รู้ว่ามันถูกเขียนจากเลือดไก่หรือเลือดของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หยางไค่คาดว่ามันไม่ใช่เลือดของซู่มู่อย่างแน่นอน

อักขระแถวหลังสุด มีความหมายที่ไม่เหมือนกันอักขระแถวหน้า เพราะความหมายของอักขระแถวหลังค่อนข้างที่จะหยาบคาย

“หากมีความกล้า มาพบข้าที่ป่าสนวายุทะมึน !!”

อักขระเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังอย่างแท้จริง อักขระทุกตัวของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นที่เกรี้ยวกราด

อาจเป็นเพราะซูมู่กลัวว่าคำเชิญของเขาจะถูกหยางไค่ปฏิเสธ ดังนั้นในถ้อยคำสุดท้าย จึงได้เพิ่มอักขระในบรรทัดสุดท้าย ซึ่งมาเป็นวิธีการยั่วยุของเด็กหนุ่ม ซู่มู่เคยมีประสบการณ์ในการเชื้อเชิญเช่นนี้หลายครั้ง ทำให้เขาค่อนข้างมีประสบการณ์ในเรื่องนี้

หยางไค่กำจดหมายแห่งการต่อสู้นี้ไว้ ก่อนจะส่ายหัวอย่างช้าๆ

สำหรับการยั่วยุของซู่มู่ หยางไค่ไม่ได้ใส่ใจกับมัน แม้ว่าซู่มู่จะเกลียดชังและโกรธแค้นเขาอย่างรุนแรง แต่สำหรับหยางไค่ เขาไม่ได้เป็นเช่นนี้ การที่มีจิตใจ และ เป้าหมายที่แตกต่างกัน การทะเลาะด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หยางไค่จึงมองเห็นพวกเขาเป็นศิลาแห่งการฝึกยุทธุ์และเพื่อทดสอบความก้าวหน้าในการฝึกยุทธุ์เท่านั้น

แม้ว่าการทะเลาะกับซู่มู่ในครั้งสุดท้ายจะรุนแรง แต่ครั้งสุดท้ายพวกเขาเป็นคนที่เข้ามาหาเรื่องเขาเอง แต่จากการพบปะหลายครั้งกับซู่มู่ หยางไค่พบว่าซู่มู่ไม่ได้เป็นคนชั่วร้าย แต่มีนิสัยที่เอาแต่ใจเท่านั้น

บุคคลประเภทนี้ถ้าหากพัฒนาความสัมพันธุ์ที่ดีต่อเขา เขาจะปฏิบัตต่อเราอย่างดีเยี่ยม แต่ถ้ากลายเป็นศัตรูของพวกเขา เขาจะกลายเป็นหนอนที่คอยรบกวนแทะแลมและะไม่มีทางปล่อยให้เราอยู่อย่างมีความสุข

หลายวันที่ผ่านมาเขาไม่พบซู่มู่เลย พวกเขาคงจะหลบซ่อนตัวจากตัวของพวกเขาเอง แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดพวกเขาจึงมีความคิดที่จะต่อสู้เพื่อเอาชนะหยางไค่ ถึงขนาดต้องวิ่งมาส่งจดหมายแห่งการต่อสู้

เดิมที่หยางไค่ไม่อยากให้ความสนใจแก่ซู่มู่มากนัก แต่ในขณะที่เขากำลังกวาดทำความสะอาด เขาได้ครุ่นคิดไปมา จึงตัดสินใจจะไปตามจดหมายแห่งการต่อสู้ของซู่มู่

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซู่มู่เป็นคนเช่นไร เพราะเขาเลือกที่จะไม่สนใจกฏของสำนัก และยังส่งจดหมายแห่งการต่อสู้ให้แก่เขา พวกเขาคงมีความเชื่อมั่นที่จะสามารถเอาชนะหยางไค่

สถานที่นัดพบยังบ่งบอกถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริง ป่าสนวายุทะมึนตั้งอยู่ด้านล่างของเทือกเขาวายุทะมึน ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการจัดการกับบุคคลที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริง

แม้ว่ากลุ่มคนของพวกเขาจะมีจำนวนมาก แต่มีเพียงซู่มู่คนเดียวที่อยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 9 หลี่หยุนเทียนอยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 คนอื่นๆที่เหลืออยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 5 คู่ต่อสู้เช่นนี้ หยางไค่ไม่รู้ว่าจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้หรือไม่ แต่หยางไค่ต้องการการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงเพื่อทดสอบความก้าวหน้าในการฝึกยุทธุ์ของเขา ซึ่งเป็นการต่อสู้ของศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยที่มิได้ปฏิบัติตามกฏที่บัญญติเอาไว้ !!

ในเวลานี้ ซู่มู่และกลุ่มคนของเขาได้รออยู่ในเส้นทางของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวที่สามารถมุ่งหน้าไปยังป่าสนวายุทะมึน พวกเขาทั้งหมดไม่ได้หลบซ่อนตัว แต่ยืนอยู่ที่บริเวณนั้นด้วยพละกำลังที่เหลือล้น

เมื่อหวนคิดถึงความล้มเหลวในค่ำคืนนั้น พวกเขาหมดสติอย่างน่าอับอาย ทำให้ใบหน้าของซู่มู่แสดงออกอย่างน่าเกลียดด้วยความโกรธแค้น ในค่ำคืนนั้นพวกเขาไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ในขณะที่กำลังจะเข้าไปในกระท่อมของหยางไค่กลับหมดสติในทันที เรื่องราวที่เกิดอย่างกะทันมันลึกลับและน่าแปลกใจอย่างยิ่ง

เมื่อผ่านไปในวันที่ 2 พวกเขาจึงฟื้นคืนสติ แม้ว่าในเวลานี้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อน แต่อากาศด้านนอกก็หนาวเหน็บยิ่งนัก และยังมีแมลงและยุงที่มากมาย ในขณะที่ฟื้นคืนสติ พวกเขาทุกคนต่างรู้สึกว่าร่างกายเต็มไปด้วยตุ่มแดง แสดงให้เห็นว่าพวกเขาถูกแมลงหรือยุงไต่ตอมดูดเลือดของพวกเขาตลอดทั้งคืน

หลังจากนั้น ซู่มู่ล้มป่วยอย่างหนัก ทำให้ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพที่อ่อนแออย่างมาก

หลายวันก่อน เขาหายจากอาการเจ็บป่วย กลุ่มคนของซู่มู่ได้วิ่งออกจากหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว เพราะกลัวว่าจะหลบหนีไม่พ้นจากหยางไค่ !!

จนถึงเมื่อวาน หลี่หยุนเทียนได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้เป็นครั้งแรก มันจึงเป็นการเปิดจิตใจที่ต้องการแก้แค้นของซู่มู่ ดังนั้นหลี่หยุนเทียนจึงได้มาส่งจดหมายแห่งการต่อสู้ เพื่อเชื้อเชิญให้หยางไค่เข้าร่วมการต่อสู้ที่ป่าสนวายุทะมึนในครั้งนี้

เหตุผลที่พวกเขาไม่ต่อสู้ในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว เพราะว่าซู่มู่ไม่สามารถช่วยหลี่หยุนเทียนได้ ถ้าหากหลี่หยุนเทียนพ่ายแพ้ต่อหยางไค่อีกครั้ง กลุ่มคนของเขาจะสามารถแห่เข้าไปช่วยเหลือหลี่หยุนเทียน เพราะไร้ซึ่งกฏแห่งสำนัก ไร้ซึ่งคุณธรรมพวกเขาต้องการทำร้ายทุบตีหยางไค่จนกลายเป็นหมูหมา จึงจะสามารถปลดปล่อยความแค้นที่อยู่ในจิตใจของพวกเขาจนหมดสิ้น

ในขณะที่กำลังหวนคิด หลี่หยุนเทียนวิ่งเข้าอย่างเร่งรีบ

“ส่งไปแล้วใช่ไหม ?” ซู่มู่กล่าวถามด้วยแววตาที่เคียดแค้น

“อืม”

“ดี รอให้ไอ่เศษสวะนั้นมา…”

จนแล้วจนเล่า พวกเขามองไม่เห็นแม้แต่เงาของหยางไค่ ใบหน้าของซู่มู่แสดงให้เห็นว่าเขากำลังจะหมดความอดทน เขาเดินวนไปวนมา ปากสบทด่าอย่างต่อเนื่อง : “หรือว่าไอ่เศษสวะนั้นไม่มีความกล้าที่จะมาที่นี้ ?”

ทันทีที่กล่าวสบทด่า หลี่หยุนเทียนร้องออกมาอย่างกะทันหัน : ‘นายน้อยซู่ มีคนเดินมาที่นี้ !! “

“อืม ?”จิตใจของซู่มู่สั่นระรัว เขาคิดว่าหยางไค่จะวิ่งเข้ามาหาความตาย แต่เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียด คนที่กำลังเดินมาไม่ใช่หยางไค่

“นายน้อยซู่ !! เป็นคนที่มาจากหอวายุพิรุณ !!” หลี่หยุนเทียนจ้องมองคนที่กำลังเดินเข้ามาและกล่าวต่อคนของเขา : “ผู้นำของพวกเขาเหมือนจะเป็นเฉิงเซาเฟิง !!”

“เฉิงเซาเฟิง ?” ใบหน้าของซู่มู่เย็นเฉียบ เขาเงยหน้ามอง เขามองเห็นคนของหอวายุพิรุณที่นำโดยเฉิงเซาเฟิงกำลังเดินมาที่นี้

“นายน้อยซู่ เราต้องหลบก่อนไหม ?” หลี่หยุนเทียนยังร้อนรน เพราะเขารู้ว่าซู่มู่และเฉิงเซาเฟิงมีความสัมพันธุ์ที่ไม่สู้ดีต่อกัน ทั้งสองเป็นเป็นบุคคลที่อยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ระดับสูง หลายปีที่ผ่านมาพวกเขาต่อสู้กันหลายครั้ง ทั้งสองต่างชนะและพ่ายแพ้ ถ้าหากเจอกันในตอนนี้ ต้องเกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างแน่นอน

“หลีกเลี่ยงอะไร?” ซูหมู่ที่ตอบอย่างเย็นชา“เขามีคุณสมบัติที่จะทำให้เจ้านายนี้ย้ายสำหรับเขา?

“หลบทำไม ?” ซู่มู่กล่าวตอบอย่างเย็นชา : “เขามีอำนาจมากพอที่จะให้ข้าล้มเลิกแผนของข้าหรือไง ?”

หลี่หยุนเทียนมิได้กล่าวตอบโต้ เพราะเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องของพวกเขาทั้งสอง นายน้อยวู่ของพวกเขาเป็นบุคคลที่แข็งแกร่ง เขาไม่มีทางหลบหนีอย่างแน่นอน แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมาก ถ้าหากว่าเกิดการต่อสู้จริงๆ พวกเขาคงจะพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

ในขณะที่กำลังสนทนา เฉิงเซางเฟิงได้เห็นซู่มู่จากระยะไกล สายตาของเขาแสดงออกอย่างปลื้มปิติ เขาหันหลังกล่าวกับคนของเขา ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเข้ามา

หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มคนทั้งสองได้พบเจอกัน คนของซู่มู่ครอบครองเส้นทางที่จะไปยังป่าสนวายุทะมึนแม้ว่ามันจะเป็นเส้นทางขอหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวที่จะไปยังป่าสนวายุทะมึนก็ตาม แต่มันก็เป็นเส้นทางการไปยังป่าสนวายุทะมึของหอวายุพิรุณเช่นเดียวกัน เพราะถนนเส้นนี้เป็นทางเชื่อม 4 เส้นทาง มันเชื่อมต่อกับหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว หอวายุพิรุณ และนิกายโลหิต

เมื่อกลุ่มคนของซู่มู่ครอบครองเส้นทางไว้ ก็เปรียบเสมือนการปิดกั้นเส้นทางของเฉิงเซาเฟิง

“นึกว่าผู้กล้าจากสำนักไหน ที่แท้ก็ซู่มู่นี้เอง !!” เฉิงเซาเฟิงเดินเข้ามา ก่อนจะเพ่งเล็งไปยังซู่มู่ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

ซู่มู่กรอกตาไปมา ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เสมือนเป็นหอกไม้ด้ามหนึ่ง ไม่ต้องการแม้แต่จะสนทนากับเฉิงเซาเฟิง

การแสดงออกเช่นนี้ ทำให้เฉิงเซาเฟิงค่อนข้างไม่พอใจ

“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องเฉิง พวกเขาไม่สนใจเจ้าแม้แต่น้อย” เสียงหัวเราะที่อ่อนโยนดังแว่วออกมา เสียงหัวเราะนี้บริสุทธุ์ ไพเราะและน่าฟังยิ่งนัก และยังให้ความรู้สึกที่พรั่งพรู่เสมือนคลื่นน้ำอีกด้วย

ซู่มู่มองไปยังต้นเสียงอย่างกระหาย เขามองเห็นหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามและเต็มไปด้วยเสน่ห์ยืนอยู่ด้านหลังของเฉิงเซาฟัง หญิงสาวนางนี้สวมใส่เสื้อหลวมโปร่ง เผยให้เห็นไหล่สีชมพูระเรื่อดั่งกลีบกุหลาบ ดวงตาของเธอยังเปล่งประกายด้วยความสดใน กระโปรงที่เธอสวมใส่ปกปิดเพียงสะโพกของเธอเท่านั้น มันจึงเผยให้เห็นเรียวขาที่นวลเนียน และยังมีเท้าคู่เล็กที่ห่อหุ้มด้วยรองเท้าไม้ที่ประดับด้วยอัญมณีขนาดเล็กที่ประณีตประกายออกมาอย่างงดงามจนสามารถดึงดูดสายตาของคนอื่นๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด