ตอนที่แล้วบทที่ 68 ช่วงเวลาผ่อนคลายช่างหาได้ยาก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 70 ไข่มุกหยิน  

บทที่ 69 จั่วม่อน้ำลายหก  


 

ตงฝู

ในบ้านเรือนซึ่งไม่มีอันใดสะดุดตาหลังหนึ่ง

“ดาวพร่างกลางทิวา เกิดจากอสูรปิศาจที่ทรงพลังสุดฟ้าสุดดินตนหนึ่ง มันสร้างปรากฏการณ์นี้เพื่อความสะดวกในการสูบกลืนพลังงานดารา ในระหว่างเวลากลางวัน ด้วยการบีบบังคับบิดเบือนฟ้าดิน ทำให้เข้าถึงพลังงานดาราได้โดยตรง” ผู้กล่าววาจาเป็นบุรุษชุดเงินผู้นำของคนกลุ่มนั้นเอง มันกล่าวต่อด้วยเสียงราบเรียบ “แต่เฉพาะเวลาที่อับจนหนทางแล้วจริงๆ เท่านั้น อสูรปิศาจจึงจะฝืนกระทำเช่นนั้น ดูเหมือนว่าอสูรปิศาจตนนี้จะอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่ไม่เบา น่าจะเป็นไปได้ว่ามันได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องการพลังงานดาราเพื่อรักษาตัวจึงได้แต่ฝืนลงมือบีบบังคับบิดเบือนฟ้าดินเท่านั้น”

ขณะที่มันกล่าววาจา สุ้มเสียงราบเรียบผ่อนคลาย ส่งผลให้ผู้อื่นพลอยมีท่าทีผ่อนคลายไปด้วย

“อสูรปิศาจที่สามารถก่อเกิดดาวพร่างกลางทิวาได้ แน่นอนว่าต้องเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมืออสูรปิศาจที่ร้ายกาจที่สุด พวกมันเคยปรากฏตัวขึ้นเฉพาะในมหาสงครามเมื่อสามพันปีก่อน ข้าไม่เคยคาดคิดว่าจะยังหลงเหลือสุดยอดฝีมืออสูรปิศาจหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่”

“สุดยอดฝีมือแล้วเป็นไร? ไม่ใช่ว่ามันต้องจบสิ้นในเงื้อมมือเราหรอกหรือ?” นักพรตชุดเหลืองกล่าวเสียงแหลมบาดหู “เฮะเฮะ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจของอสูรฟ้าหรือปิศาจทมิฬดำ หากหลอมรวมลงไปในกระบี่ กระบี่บินของข้าจะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น!”

“ฮ่าฮ่า ดวงตาของอสูรปิศาจระดับนี้หายากยิ่ง มันเกิดมาเพื่อมองทะลุทะลวงผ่านทุกสิ่งทุกอย่าง”

กลุ่มคนกลายเป็นตื่นเต้นในทันที ราวกับว่าอสูรปิศาจไร้เทียมทานตนนี้ถูกพวกมันจับกุมไว้เรียบร้อยแล้ว

สำหรับเหล่าซิวเจ่อแล้ว ร่างกายของอสูรปิศาจชั้นสูงไม่ต่างอันใดกับขุมสมบัติที่ประเมินค่ามิได้ เกือบทุกส่วนในร่างกาย สามารถนำไปเป็นส่วนผสมในการหลอมสร้างยุทธภัณฑ์เวทหรือหลอมกลั่นโอสถ และล้วนเป็นของหายาก คนกลุ่มนี้รวมตัวกันเพื่อล่าอสูรปิศาจ ล่าสุดยอดฝีมืออสูรปิศาจซึ่งบาดเจ็บสาหัสตนหนึ่ง นี่เป็นเหยื่อที่ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนปรารถนา

เมื่อเห็นอารมณ์พลุ่งพล่านของทุกผู้คน บุรุษชุดเงินตักเตือนว่า “ทุกท่าน อย่าเพิ่งยินดีเร็วเกินไป หรือพวกท่านไม่ทราบว่ายังมีผู้คนอีกมากมายที่มีเป้าหมายเดียวกันกับเรา?”

“สนใจอันใดกับผู้อื่น? ผู้ใดกล้าแย่งชิงกับเรา?” นักพรตชุดเหลืองกล่าวเสียงแหลมอย่างขุ่นเคือง เจตนาสังหารเต็มเปี่ยมในดวงตา ส่วนคนอื่นๆ ดวงตาสาดประกายดุร้ายอำมหิต

บุรุษชุดเงินกล่าวว่า “วันนี้ทุกท่านสมควรเห็นเรือใหญ่ลำนั้น เรือสมบัติระดับหกเป็นยุทธภัณฑ์เวทล้ำค่าที่หายาก และหากผู้ใดทันเพ่งมองที่ท้ายเรือ ท่านสมควรพบเห็นสัญลักษณ์ของพวกมัน”

“เป็นสัญลักษณ์ของผู้ใด?” นักพรตชุดเหลืองถามอย่างกังขา วันนี้มันเองก็เห็นเรือลำนั้น หากกล่าวอย่างจริงใจ กระทั่งมันเองยังตื่นตะลึงอยู่บ้าง

“เจ้าอาณาจักรคลื่นเรืองรอง” บุรุษชุดเงินเน้นเสียงทีละคำ ทุกผู้คนเงียบกริบอย่างฉับพลัน เค้าความประหวั่นพรั่นพรึงฉายชัดบนใบหน้า

แม้แต่นักพรตชุดเหลืองยังสีหน้าแปรเปลี่ยนวูบหนึ่ง แต่มันรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ ร้องเสียงแหลมว่า “เหลวไหล เจ้าอาณาจักรคลื่นเรืองรองกักตัวบำเพ็ญเพียรมานานกว่าหกสิบปี จะมายังสถานที่เล็กๆ เช่นอาณาจักรนภาจันทร์ด้วยเหตุอันใด?”

“ข้าเพียงเห็นสัญลักษณ์เท่านั้น กาลก่อนข้าเคยอาศัยอยู่ในอาณาจักรคลื่นเรืองรองช่วงหนึ่ง จึงจดจำสัญลักษณ์นี้ได้” บุรุษชุดเงินกล่าวอย่างเยือกเย็น

เห็นสีหน้าหวาดกลัวของสหายร่วมกลุ่ม มันกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ทุกท่าน อย่าได้วิตกมากเกินไป เจ้าอาณาจักรคลื่นเรืองรองไม่ถามไถ่เรื่องราวทางโลกมาหลายสิบปีแล้ว ไม่น่าจะใช่มันมาด้วยตนเอง คาดว่าสมควรเป็นศิษย์ของมันหรือผู้ใต้บังคับบัญชาเสียมากกว่า”

ใบหน้าทุกคนค่อยคลายลง คนผู้หนึ่งกล่าวว่า “ตราบเท่าที่ผู้มาไม่ใช่เจ้าอาณาจักรคลื่นเรืองรอง ข้าหาได้หวั่นเกรงไม่”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!” ผู้อื่นรีบเห็นพ้อง

“ไฉนอาณาจักรคลื่นเรืองรองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย?” นักพรตชุดเหลืองขมวดคิ้วนิ่วหน้า

“ผู้อาวุโสท่านลืมเลือนแล้วหรือไร อาณาจักรนภาจันทร์เป็นหนึ่งในอาณาจักรใต้อำนาจของอาณาจักรคลื่นเรืองรอง กระทั่งผู้น้องยังทราบความนัยของดาวพร่างกลางทิวา เช่นนั้นก็ไม่แปลกอันใดที่พวกมันก็ล่วงรู้เช่นเดียวกัน” บุรุษชุดเงินตอบเรียบๆ

ทันใดนั้นนักพรตชุดเหลืองกับบุรุษชุดเงินสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตวาดขึ้นพร้อมกัน “ผู้ใด!”

พวกมันพุ่งทะยานออกไปด้านนอกดุจกระบี่เล่มหนึ่ง เห็นในลานบ้านว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลย นักพรตชุดเหลืองเหินร่างขึ้นสู่ท้องฟ้า กวาดตาสำรวจรอบด้านครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับลงมา มันส่ายศีรษะให้บุรุษชุดเงิน พวกมันทั้งคู่ดวงตาทอแววแตกตื่น ท่าทีเคร่งขรึมจริงจัง ไม่เหลือเค้าความปลอดโปร่งเช่นก่อนหน้า

คนอื่นๆ พากันวิ่งออกมาถามไถ่สถานการณ์ ยามนี้ทั้งคู่สีหน้าท่าทีกลับมาเป็นปกติ บุรุษชุดเงินกล่าวว่า “ไม่มีใด เพียงแค่สัญญาณเตือนผิดพลาด”

ได้ยินดังนั้น กลุ่มคนพากันระบายลมหายใจอย่างโล่งอก สนทนาพลางเดินกลับเข้าไปในห้อง นักพรตชุดเหลืองตามเข้าไปหลังสุด ก่อนจะเข้าไปในห้อง มันยังหันมากวาดตามองอีกรอบหนึ่ง จากนั้นเดินหายเข้าไป

หลายอึดใจให้หลัง ภายใต้เงามืดมุมหนึ่ง ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ เป็นบุรุษชุดขาว หลินเชียน

มันเปิดเผยแววตาครุ่นคิดแวบหนึ่ง ก่อนจะหายวับไป

 

ภายในหอตงฝู ทุกผู้คนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ เทียนซงจื่อในฐานะเจ้าของสถานที่นั่งบนเก้าอี้ตัวแรก มีหวีป๋ายยืนนอบน้อมอยู่ด้านข้าง ถัดจากมันเป็นผู้คนหกคนนั่งเรียงรายตามลำดับ แต่ละคนดื่มชาตามสบาย

“คราวนี้ต้องรบกวนท่านจริงๆ” ผู้กล่าววาจาเป็นโฉมสะคราญนางหนึ่ง ดวงตากระจ่างสุกใส ฟันขาวสะอาดเรียงสวย แช่มช้อยสง่างามถึงที่สุด นกน้อยสีเหลืองอร่ามตัวหนึ่งเกาะอยู่บนบ่านาง เจ้านกน้อยจ้องมองทุกผู้คนอย่างอยากรู้อยากเห็น

“อวิ๋นเสียเซียนจื่อ*เกรงอกเกรงใจเกินไปแล้ว” เทียนซงจื่อกล่าวพลางหัวร่อ “สถานที่อันต่ำต้อยของข้าสามารถต้อนรับยอดฝีมือมากมายถึงเพียงนี้ ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งต่างหาก จะอย่างไรเป็นเพียงสถานที่เล็กๆ หากต้อนรับไม่ทั่วถึง มีอันใดขาดตกบกพร่องไปบ้าง ยังหวังว่าจะให้อภัย”

(*นางเซียนเมฆอรุโณทัย, เซียนจื่อ-นางเซียน อวิ๋น-เมฆ เสีย-แสงที่ปรากฏบนท้องฟ้าในยามที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นและกำลังตก)

“สหายเต๋ากล่าวอันใด อย่าได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยนี้เลย” ทุกผู้คนโบกมือทักทายอย่างเป็นกันเอง

เทียนซงจื่อสีหน้าท่าทีวิตกกังวล ขณะที่กล่าวสืบต่อ “ไม่ขอปิดบังทุกท่าน ตั้งแต่เกิดนิมิตแห่งฟ้าดิน ดาวพร่างกลางทิวา หัวใจข้ารู้สึกไม่มั่นคงมาโดยตลอด ข้าอาจล่วงรู้ไม่มาก แต่ยังทราบว่านี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีอันใด วันนี้เมื่อพวกท่านมาแล้ว ข้าก็โล่งใจขึ้นมาก”

“ท่านไม่ต้องกังวล” นางเซียนอวิ๋นเสียปลอบโยน “ท่านปรมาจารย์เยวียน เชี่ยวชาญในด้านการตรวจจับและมีความรู้สึกเฉียบไวต่ออสูรปิศาจเป็นอย่างยิ่ง ย่อมสามารถหาที่หลบซ่อนของพวกมันพบ”

กล่าวถึงตรงนี้ ปรมาจารย์เยวียนรีบกล่าวถ่อมตน “นางเซียนอวิ๋นเสียชมเชยเกินไป”

หวีป๋ายยืนนอบน้อมอยู่ด้านข้าง ในใจตะลึงพรึงเพริด ผู้คนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งสุดยอด ผู้ที่ดึงดูดความสนใจของมันที่สุด คือแม่นางน้อยที่นั่งก้มหน้าอยู่ท้ายแถว นางดูเหมือนเกือบจะอยู่ในวัยเดียวกันกับมัน แต่พลังบำเพ็ญเพียรของนางกลับลึกล้ำจนหยั่งไม่ถึง มันผู้เคยถือดีในความสำเร็จของตน เวลานี้ในใจรู้สึกไม่มีรสชาติ โลกใบนี้ช่างเต็มไปด้วยอัจฉริยะมากมายอย่างแท้จริง!

 

สภาพของผูเยาดูย่ำแย่ถึงที่สุด

มันนั่งอยู่บนป้ายหินสุสาน ใบหน้าซีดเผือด ท่าทีอ่อนล้าหม่นหมองราวกับแสงตะเกียงริบหรี่ จั่วม่อแตกตื่นจนขวัญบิน ผูเยาผู้อยู่ยงคงกะพัน ไฉนจู่ๆ ก็มีสภาพน่าสังเวชถึงปานนี้?

จั่วม่อค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้ “ผู เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า?”

ผูเยาลืมตามองจั่วม่อ น้ำเสียงสงบยิ่ง ท่าทีเชื่อมั่นเหมือนเช่นทุกครั้ง ย้อนถามว่า “แล้วจะให้เกิดอันใดเล่า?” จั่วม่อสังเกตเห็นว่าดวงตาสีแดงเลือดอันทรงเสน่ห์ของผูเยาดูซีดจางกว่าปกติมาก แม้แต่เสียงยังฟังดูอ่อนแอกว่าเดิม

แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เมื่อได้ยินสุ้มเสียงอันเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นของผูเยา จั่วม่อรู้สึกมั่นคงกว่าเดิม

“จิงสือไม่เพียงพอใช่หรือไม่?” จั่วม่ออดถามอย่างกังวลไม่ได้ มันไม่ทราบว่าไฉนมันห่วงกังวลต่อผูเยา หากกล่าวให้ถูกต้อง ผู้อื่นเป็นอสูรปิศาจ ยิ่งตายไปเร็วเท่าใดก็ยิ่งดี แต่พอเห็นผูเยาในสภาพนี้ จั่วม่อยังอดไถ่ถามไม่ได้

เงยหน้าขึ้น มองหน้าจั่วม่ออีกครั้ง ผูเยาดูเหมือนประหลาดใจกับคำถามของจั่วม่อ

“อยากช่วยเหลือข้า?” ผูเยาเลิกคิ้ว

“อืม” จั่วม่อรับคำอย่างคลุมเครือ เมื่อเคยเจ็บมาหลายครั้ง มันย่อมฉลาดขึ้นมาไม่น้อย

ผูเยาทันใดนั้นก็แย้มยิ้ม “ข้าจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง”

กล่าวจบก็นำจิงสือออกมาจำนวนหนึ่ง บนพื้นดิน มันเริ่มสร้างค่ายกลยันต์ที่จั่วม่อไม่เคยพบเห็นมาก่อน

จั่วม่ออาจไม่เคยเห็นค่ายกลยันต์ค่ายนี้ แต่กับจิงสือเหล่านั้นมันกลับคุ้นตาเอามากๆ นั่นมันไม่ใช่......

มันตะปบบนร่างตัวเอง แล้วตาเบิกโพลง เจ้าเหรินเยาบัดซบ ฉกจิงสือข้าไปอีกแล้ว! ไม่ทันที่มันจะได้กล่าววาจา แสงสว่างเจิดจ้าวาบขึ้นอย่างฉับพลัน จั่วม่อหลับตาหลบแสงอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็ต้องเหม่อมองอย่างตะลึงลาน

“ผู ที่นี่ที่ใด?” จั่วม่อตะกุกตะกักถาม

เห็นเบื้องหน้ามีเพียงความมืดและเงาดำ สามารถรู้สึกถึงหินแกร่งเย็นเฉียบที่ใต้ฝ่าเท้า ไม่ไกลออกไปนักเป็นลำธารที่มีเลือดสีแดงสดไหลเวียน นี่มันนรกขุมใดกัน? จั่วม่อกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ กวาดตามองรอบข้างด้วยจิตใจเขม็งตึงเครียด

ผูเยาครวญครางอย่างสุขสบาย มันกางสองแขนแผ่กว้าง ใบหน้าดื่มด่ำมึนเมา ไม่เหลือเค้าเหี่ยวแห้งหม่นหมองแม้แต่น้อย

“ถ้ำกระบี่” ผูเยากลับคืนสู่ท่วงท่าเกียจคร้านเฉื่อยชาของมัน ลิ้นสีแดงสดยืดยาวออกมา ดวงตาสีเลือดสว่างสดใสขณะเลียริมฝีปาก “ที่นี่มีดวงวิญญาณมากมาย อ้า ดวงวิญญาณอันแสนโอชะ!”

“ถ้ำกระบี่?” จั่วม่อปากอ้าตาค้าง มันอาศัยอยู่ในสำนักกระบี่สุญตามาสองปี ย่อมเคยได้ยินได้ฟังตำนานเกี่ยวกับถ้ำกระบี่มาก่อน ศิษย์พี่เหวยเสิ้งไม่ใช่อยู่ในถ้ำกระบี่หรอกหรือ?

มันไม่หวาดกลัวอีกต่อไป เหลียวมองซอกซอนไปรอบๆ อย่างกระหายใคร่รู้ ถามผูเยาเสียงค่อนข้างกังวลว่า “ศิษย์พี่เหวยเสิ้งก็อยู่ในถ้ำกระบี่ด้วย มันจะพบพวกเราหรือไม่?” หากพบเจอศิษย์พี่เข้าจริงๆ ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำยังไม่อาจพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของมันได้

“ถ้ำกระบี่นี้มีสิบแปดชั้น” ผูเยาส่งสายตารังเกียจเหยียดหยามไปทางจั่วม่อ “ศิษย์พี่เหวยเสิ้งของเจ้าลงไปถึงชั้นสิบหกแล้ว หากเจ้ามีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของศิษย์พี่ของเจ้า ข้ายังจะต้องมาตกอยู่ในสภาพน่าสังเวชเช่นนี้อีกหรือ?” กล่าวไปกล่าวไป ชักมีโทสะคุกรุ่น “ข้า อสูรฟ้าผู้สง่างาม ต้องมาตกต่ำถึงปานนี้ ช่างน่าอับอายเหลือที่จะกล่าวแล้ว!”

จั่วม่อแทนที่จะขุ่นเคือง พอเห็นผูเยาแสดงท่าทีเหมือนเช่นปกติ ด้วยเหตุผลบางประการ มันกลับรู้สึกคลายใจลงไม่น้อย โต้กลับอย่างดุเดือดทันควัน เยาะเย้ยว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องของข้า! อสูรฟ้าอันใด? ไม่ใช่ว่าถูกอาจารย์ลุงไล่ฟันจนหางจุกก้นหรอกหรือ? เฮอะ เจ้าก็ข่มเหงรังแกได้แต่เด็กน้อยด่านจู้จีอย่างข้าเท่านั้นละ” พอกล่าวออกมาก็แก้คำพูดทันที “เอ๊ะ ไม่ถูกต้อง ตอนนั้นเกอเป็นแค่เด็กน้อยด่านเลี่ยนชี่เท่านั้น! ยังจะมีหน้ามาคุยโตโอ้อวดอีก!”

ผูเยาก็ไม่มีโทสะ แต่กลับหัวร่อฮิฮะ “สถานที่นี้ดีจริงๆ มีพลังหยินอุดมสมบูรณ์มาก อ้า ช่างสุขสบายกระไรเช่นนี้! มีกระทั่งดวงวิญญาณ แม้ว่าจะเป็นดวงวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไร”

“เจ้าค้นพบสถานที่นี้ได้อย่างไร?” จั่วม่ออยากรู้เรื่องนี้มาก ถ้ำกระบี่ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด มันอยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว แต่ไม่เคยระแคะระคายว่าถ้ำกระบี่อยู่ที่ใด แต่ผูเยากลับสามารถค้นพบ ฟังว่าจะเปิดถ้ำกระบี่ต้องใช้ยอดคนด่านจินตันสองคนร่วมมือกัน ทว่าผูเยาเอ้อระเหยลอยชายพามันเข้ามาอย่างสะดวกดาย เจ้าผู้นี้มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ จั่วม่อคิด

ผูเยากล่าวอย่างดูหมิ่น “เพียงแค่สำนักกระบี่สุญตากระจ้อยร่อยนี่ ข้าเพียงกวาดตามองแวบเดียวก็ทราบ” จากนั้นมันบอกจั่วม่อว่า “ต่อไปเราจะมาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งคราว”

“มาที่นี่อีก?” จั่วม่อตาเบิกกว้าง มันส่ายหน้าระรัวอย่างไม่ลังเล “ไม่มีทาง! เจ้าทราบหรือไม่ว่าวันนี้ผลาญจิงสือไปมากมายเท่าใด? สี่ชิ้นจิงสือระดับสาม! สี่ชิ้นเชียวนะ! ทราบหรือไม่ว่าข้าต้องหลอมกลั่นเม็ดยาอีกาทองคำมากมายเท่าใดจึงจะแลกจิงสือระดับสามมาได้สี่ชิ้น? แต่เจ้า...เจ้าผลาญมันในพริบตา......”

ผูเยามองอย่างเหยียดหยาม “นั่นเพียงแสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นเศษสวะผู้หนึ่ง ทำกำไรจิงสือประสาอะไร ไยยากเย็นราวกับคลอดทารกผู้หนึ่ง อสูรฟ้าผู้สูงส่งเยี่ยงข้า กลับต้องมาพบพานสวะเช่นเจ้า เฮ้อ......”

จั่วม่อไม่ลังเลเลยที่จะขัดจังหวะผูเยา มันก็กล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามไม่ต่างกัน “หึ หากเก่งกล้าสามารถจริง ไฉนไม่ทำงานหาจิงสือเอง! ไหนคุยโอ่ว่าเป็นอสูรฟ้า? เป็นไร? เป็นถึงอสูรฟ้าผู้ยิ่งใหญ่แต่กลับมาคอยฉกชิงจิงสือจากข้า เช่นนั้นยังจะมีหน้ามาภาคภูมิใจอันใด!” กล่าวไปกล่าวไป ราวกับความไม่พอใจที่สะสมมานานพลันระเบิดขึ้นในคราวเดียว “เกอต้องทำงานหนักจนเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อหาจิงสือ แต่ละชิ้นแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและหยดเลือด แล้วเจ้าเล่า เจ้าประเสริฐยิ่ง เจ้าเพียงแค่กวาดมันไปจนเกลี้ยงเกลาโดยไม่มีเสียง! ฮาฮ่า เจ้ามาทำตัวเป็นกาฝาก เกอก็ไม่เคยแม้แต่จะเก็บค่าเช่าเจ้า แต่เจ้า เจ้าสอนวิชาให้เกอแต่ละครั้งกลับคิดค่าธรรมเนียม เจ้ากระทั่งเริ่มเก็บค่าชมเป็นจิงสือสำหรับการชมดูเจตจำนงกระบี่แต่ละครั้ง เจ้าไม่รู้สึกอายบ้างหรือไร??”

จั่วม่อยิ่งกล่าวยิ่งเมามัน แจกแจงความผิดของผูเยารัวๆ อย่างถูกต้องชัดเจนยิ่ง

ผูเยาถึงกับยืนเหม่อมองมันอย่างโง่งม ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า แม้แต่สุดยอดฝีมืออสูรปิศาจ เมื่อเผชิญหน้ากับลิ้นลมและน้ำลายที่ทรงพลังกว่า พวกมันยังคงต้องตะลึงลานเช่นกัน

จั่วม่อพร่ำก่นด่าบริภาษตลอดช่วงหนึ่งก้านธูป กว่าจะยอมหยุดลงอย่างพออกพอใจ... รู้สึกดียิ่ง!

สักครู่ให้หลัง ผูเยาค่อยได้สติ มันเอียงคอกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ประเสริฐ กล่าวได้ประเสริฐ เช่นนั้นข้าจะสอนเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่เจ้า มันสามารถทำกำไรจิงสือได้มากมาย”

จั่วม่อกลายเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที รีบถาม “เคล็ดลับอันใด?”

 

กลุ่มถึงตอนที่ 116 แล้ว คลิก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด