ตอนที่แล้วตอนที่ : 2 ไม่ชนะไม่หวนกลับ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ : 4 ตำราสีดำ

ตอนที่ : 3 ชายหนุ่มผู้พ่ายแพ้ 147 ครั้ง


การต่อสู้ของเหล่าศิษย์แห่งหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยว ทุกๆ ปีต่างมีศิษย์สาวกจำนวนไม่น้อยที่ตายจากการท้าประลอง แต่เมื่อโจวติงจวนมองเห็นศิษย์พี่ของเขาที่ไม่ท้อถอยต่อความอ่อนแอและก้าวเข้ามาอย่างกล้าหาญ ภายในจิตใจของเขาจึงรู้สึกสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

 

จากภาษากายที่ปรากฏออกมา แสดงให้เห็นว่าโจวติงจวนเองไม่สามารถทำได้ถึงขึ้นนี้ แต่ตัวเขาเองก็หวาดกลัวว่าตนเองจะพ่ายแพ้ต่อฝ่ายตรงข้ามที่ท้าประลอง

หุบเขาเขียวขจีอย่าหวาดหวั่นต่อการเผาไหม้จากเปลวเพลิง นี้คือสัจธรรมที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิต เมื่อไม่เจอกับอุปสรรคที่ยากเย็น จะไม่มีวันหวนกลับ นี้คือความเพียรพยายามอย่างหนึ่ง

ตรงหน้าสายตาเป็นร่างกายที่น่าอึดอัดใจของหยางไค่ แต่แววตาแห่งการต่อสู้ของเขากลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โจวติงจวนรู้ดีถ้าหากไม่ทุบตีเขาจนหมดสติ เรื่องของวันนี้คงไม่มีวันจบสิ้น

เมื่อไตร่ตร่องสภาพเหตุการณ์ในวันนี้ ในที่สุดโจวติงจวนจึงออกหมัดโจมตีไปยังลำคอของหยางไค่ที่พุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง ทำให้รัศมีแห่งความดุดันของหยางไค่มลายหายไป ดวงตาทั้งสองของเขาเหม่อลอยอย่างเสียสติ และล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง

เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ศิษย์คนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนต้นไม้ได้ดึงเอาหนังสือเล่มเล็กๆ ออกมาและพลิกเปิดหน้าเพื่อบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ : “ศิษย์ฝึกหัดหยางไค่ ท้าประลองกับ ศิษย์สามัญโจวติงจวน โจวติงจวนได้รับชัยชนะ”

ศิษย์ที่นั่งอยู่บนต้นไม้เป็นมีรูปร่างที่สง่า ซึ่งเห็นได้ชัดว่านางเป็นหญิงสาวที่งดงาม เพียงแค่ผ้าคลุมหน้าสีดำที่ปิดปังใบหน้าของนางจึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาที่แท้จริงของนางได้ แต่คิ้วที่ละเอียดอ่อนโค้งงอนดั่งจันทร์เสี้ยวชี้ให้เห็นว่าน่างเป็นหญิงสาวรุ่นเยาว์ที่มีอายุไม่มาก และเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ซึ่งเผยให้เห็นต้นคอที่ขาวเนียนของนางทำให้สามารถยืนยันได้ว่านางเป็นหญิงสาว และยังเป็นศิษย์ของหอจันทรามืดมิดแห่งหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยว

หอจันทรามืดมิดเป็นสถานที่พิเศษ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของผู้อาวุโสจำนวน 3 ท่าน ศิษย์สาวกที่อยู่ในหอจันทรามืดมิดมีความรับผิดชอบในการจดบันทึกเหตุการณ์เล็กใหญ่ที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมไปถึงชัยชนะและความพ่ายแพ้ในการท้าประลองระหว่างศิษย์

ดังนั้นเมื่อมีการท้าประลองในหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยว ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับชัยชยะและแต้มแห่งชัยชนะที่ตนเองจะได้รับ ศิษย์แห่งหอจันทรามืดมิดที่หลบซ่อนตัวอยู่จะเป็นคนบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับชัยชนะ และสรุปแต้มแห่งชัยชนะทุกๆ เดือนของศิษย์ทุกคน

หลังจากที่หญิงสาวได้บันทึกชัยชนะและความพ่ายแพ้ในวันนี้ เขาได้นำหนังสือแล่มเล็กออกมาจากเอวของนาง และเปิดดูบันทึกที่เธอทำการบันทึกไว้ : “บันทึก เมื่อวันที่ 7 เดือน 5 หยางไค่ท้าประลองครั้งที่ 147 พ่ายแพ้ !!”

แม้จะมีการลบบันทึกและเพิ่มบรรทัดเพื่อเขียนบันทึกใหม่ สิ่งที่บันทึกไว้ทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้คือผลการท้าประลองของหยางไค่ทั้งหมด ซึ่งบันทึกตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงปัจจุบันวันที่ไหน เดือนไหน แต่ผลที่ปรากฏออกมาเป็นตัวหนังสือมี แต่คำว่า พ่ายแพ้ !!

พ่ายแพ้ต่อกัน 147 ครั้ง ไม่เคยได้รับชัยชนะแม้แต่ครั้งเดียว บันทึกนี้อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยวตั้งแต่ก่อตั้งมา บันทึกเล่มนี้เพียงพอที่จะเขย่าสรวงสวรรค์และปีศาจ เพียงพอที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ชนรุ่นหลัง และเจ้าของบันทึกเล่มนี้ได้นอนหมดสติอยู่บนพื้นโดยที่ไม่มีใครทราบว่าเขายังมีชีวิตหรือสิ้นใจไปแล้ว

หยางไค่ไม่เคยท้าประลองกับคนอื่นๆ มีแต่ศิษย์จำนวน 147 คนนี้ที่ท้าประลองเขาอย่างหิวกระหาย หรืออาจะกล่าวได้ว่า เขาจะถูกท้าประลองทุกๆ 5 วัน และการท้าประลองเช่นนี้มีต่อเนื่องยาวนานเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี

ศิษย์แห่งหอจันทรามืดมิดจ้องมองหยางไค่ที่หมดสติบนพื้นดิน เธอขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าว่าทำไมหยางไค่จึงสามารถอดทนต่อการกระทำที่เหี้ยมโหดเช่นนี้ได้ เขาถูกลดให้เป็นศิษย์ฝึกหัดแห่งหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยว แม้แต่การดำรงอยู่ของเขาในสถานที่แห่งนี้ต่างเต็มไปด้วยความยากลำบากและปัญหาที่ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แล้วทำไมเขายังดิ้นรนอยู่ในหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยวแห่งนี้ต่อไป ? ถ้าหากเขาออกจากหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยว ชีวิตของเขาอาจจะดีกว่านี้แน่นอน จิตใจของชายหนุ่มคนนี้มีสิ่งใดที่ซุ่กซ่อนอยู่กันแน่ ? แม้แต่การพ่ายแพ้ติดต่อกัน 147 ครั้งเขายังไม่ย่อท้อและไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น

หรือว่า ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนโง่เขลา ? การสังเกตุหยางไค่เป็นเหตุบังเอิญที่สุดวิสัย เซี่ยหนิงฉางเป็นศิษย์แห่งหอจันทรามืดมิด ซึ่งถูกมอบหมายให้รับผิดชอบดูแลและตรวจสอบบริเวณนี้ ทุกครั้งที่หยางไค่ถูกท้าประลอง ตัวนางเองจะมองเห็นหยางไค่ที่ถูกทำร้ายทุบตีจนหมดสติไป ครั้ง 2 ครั้งยังเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อจำนวนครั้งนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เซี่ยหนิงฉางเริ่มสังเกตและให้ความสนใจกับศิษย์ที่อยู่ระดับกายาเริ่งอารมณ์ขั้นที่ 3

เซี่ยหนิงฉางนั้นอยากรู้ จากความแข็งแกร่งของเขา เขาจะสามารถอดทนอยู่ในหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยวได้อีกนานแค่ไหน จากความสามารถ จากความเร็วในการฝึกยุทธ์ของเขา เขาไม่เหมาะที่จะอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยวิชายุทธ์และเหล่าเทพยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่ง โลกธรรมาดาสามัญเป็นสถานที่เขาควรจะกลับออกไป

ผู้คนที่อยู่รอบบริเวณต่างแยกย้ายกระจัดกระจายกันออกไป เหลือเพียงหยางไค่ที่หมดสติบนพื้นดิน

เซี่ยหนิงฉางขับเคลื่อนร่างกาย ทันใดนั้นนางเองก็ได้หายไปจากบริเวณนั้นเช่นเดียวกัน

เมื่อหยางไค่ฟื้นขึ้นมา เป็นเวลายาม 3 ซึ่งเป็นเวลาช่วงเช้าของอีกวัน ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการถูกทำร้ายทุบตี เขาลุกขึ้นมาอย่างปวดเปียก และมองไปยังบริเวณนี้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจ เพราะเขาตื่นขึ้นมาภายใต้เงาร่มของต้นไม้ซึ่งไม่ใชบริเวณที่เขาหมดสติลง

นี้เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างยิ่ง หรือจะมีศิษย์พี่ศิษย์น้องที่มีจิตใจเมตตา นำพาเขามายังสถานที่แห่งนี้ ? นี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หยางไค่ขมวดคิ้วและเกาหัวด้วยความมึนงง เขาจได้ว่าก่อนที่เขาจะหมดสติลง มีเงาดำทะมืนของคนคนหนึ่งที่ปกคลุมร่างกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีดำพุ่งเข้ามายังด้านหน้าของเขา แต่ความทรงจำนั้นเลือนรางเหลือเกิน จะนึกอย่างไรก็ไม่สามารถนึกภาพที่ชัดเจนออกมาได้

แต่ระหว่างทางจากสถานที่เขาหมดสติมาถึงใต้ร่มต้นไม้ใหญ่นี้ มีร่องรอยแห่งการลากซึ่งปรากฏออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าร่องรอยนี้เป็นรอยแห่งการลากคนคนหนึ่ง

ทันใดนั้นเองเขารู้สึกว่าผิวหนังด้านหลังของเขามีความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนแผ่ซ่านขึ้นมาทันที

หยางไค่ตัวแข็งทื่อ เพียงชั่วครู่ความรู้สึกที่ซึ้งในบุญคุณได้แปรเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวโกรธทันที บุคคลผู้นั้นได้ลากเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ไม่เช่นนั้นผิวหนังด้านหลังของเขาคงไม่เต็มไปด้วยบาดแผลถลอกที่มากมายเช่นนี้

ทิ้งเขาไว้ที่นั่นโดยไม่สนใจดีว่าช่วยเหลือเขาด้วยวิธีการเช่นนี้ !!

ในขณะที่กำลังหดหู่ จู่ๆ หยางไค่นั้นนั้นตระหนักได้ว่าขวามือของเขากำลังกำบางสิ่งบางอย่างไว้ เขามองลงไปด้วยความรู้สึกที่สงสัย ซึ่งพบว่าตนเองกำลังกำขวดเครื่องเคลือบลายครามขนาดเล็กไว้ในมือ

มันคืออะไร ? เขาแน่ใจอย่างยิ่งว่าสิ่งของชิ้นนี้ไม่ใช่ของเขา ตัวเขาเองไร้ซึ่งสิ่งของที่มีค่า นอกจากเสื้อผ้าอาภรณืที่สวมใส่และไม้กวาดที่ใช้สำหรับกวาดพื้น เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีสิ่งของชิ้นนี้ ?

บนขวดเครื่องเคลือดลายครามมีป้ายเล็กติดอยู่ บนป้ายเล็กมีตัวหนังสือเขียนไว้ หยางไค่เพ่งเล็งมันอย่างตั้งใจ และได้อ่านมันออกมา : “ยาสมานโลหิต!!”

ยาสมานโลหิต หยางไค่นั้นทราบดีว่ามันคืออะไร

ยาสมานโลหิตเป็นยาแต้มรักษาบาดแผลภายนอกของศิษย์แห่งหอจันทรามืดมิด แม้ว่ามันไม่ใช่ยาที่วิเศษที่สุด แต่มันช่วยรักษาบาดแผลภายนอกได้อย่างดีเยี่ยม ศิษย์สามัญทั่วไปต่างมีมันไว้ครอบครองซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติ แต่ขวดเครื่องเคลือบรายครามที่บรรจุยาสมานโลหิต เมื่ออยู่ในหอวิเศษหลิงเซี่ยวเป็นสิ่งที่มีมูลค่าอย่างมาก

แต้มแห่งชัยชนะจำนวน 10 แต้มจึงจะสามารถแลกยาสมานโลหิตนี้ได้ !!!

ในหนึ่งเดือนหยางไค่จะได้รับแต้มแห่งชัยชนะจำนวนกี่แต้มจากการกวาดพื้น ? ซึ่งยาสมานโลหิตต้องใช้แต้มแห่งชัยชนะจำนวน 10 จึงจะสามาถแลกเปลี่ยนกับมันได้ หรือว่า ยาสมานโลหิตที่อยู่ในมือของเขา คือผลตอบแทนจากการกวาดพื้นเป็นระยะเวลา 1 เดือน !!

เขาคือผู้ใด ? ในขณะนี้ ความเกรี้ยวโกรธของหยางไค่ได้บรรเทาลงและกลายเป็นความรู้สึกที่ปวดแสบบริเวณผิวหนังด้านหลังของเขา เขาเข้ามาในหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยวเป็นเวลาถึง 3 ปี ระยะเวลา 3 ปี หยางไค่พบเจอกับความเห็นแก่ตัวระหว่างศิษย์สาวกด้วยกัน พบเห็นจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้เวลานี้กลับมีใครบางคนมองเห็นความเจ็บปวดระหว่างศิษย์ด้วยกัน และยังทิ้งขวดยาสมานโลหิตให้แก่เขา ซึ่งทำให้หัวใจของหยางไค่สั่นไหวทันที

แท้จริงแล้ว ศิษย์แห่งหอประลองยุทธ์ไม่ได้เลือดเย็นทุกคน

บางที ยาสมานโลหิตที่รักษาบาดแผลภายนอก สำหรับฝูงชนส่วนใหญ่มันคงไม่มีค่ามากนัก แต่สำหรับหยางไค่ มันกลับเป็นสิ่งที่จำเป็นและเป็นสิ่งที่เขาต้องการอย่างยิ่ง

มีคำกล่าวประโยคหนึ่งที่เรียกว่า หยดน้ำแห่งพระคุณ เป็นเรื่องยากที่จะลืมเลือน แม้ในวันที่ดับสูญ บุญคุณนี้มิอาจเลือน

(TLN: ความหมายประมาณว่าบุญคุณนี้ ชั่วนิรันดร์ก็ไม่อาจลืมเลือน )

หยางไค่รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณและพยายามที่จะกระตุ้นให้จนเองจำได้ว่าเขาผู้นั้นคือใครกันแน่ แต่ยิ่งพยายามมากเท่าใด มันยิ่งลืมเลือนไปมากเท่านั้น แต่ว่ากลิ่นหอมละเอียดละออที่เขาสัมผัสไม่ว่านานเท่าไหร่เขาจะไม่มีวันลืมมันอย่างแน่นอน

หยางไค่ครุ่นคิดชั่วครู่และกล่าวโพ่งออกมา : “ที่แท้ยาสมานโลหิตมีกลิ่นที่หอมหวานเช่นนี้ ?”

เมื่อจิตใจภายใต้อารมณ์สงบลง เขาได้จัดเสื้อผ้าของเขาอย่างระมัดระวัง และใส่ขวดยาสมานโลหิตไว้บนอกอย่างระมัดระวัง หยางไค่กุมกระชับไม้กวาดที่อยู่ในมือ และเริ่มต้นทำงานที่เขาได้รับมอบหมาย

บริเวณภายในและภายนอกนั้นถูกกวาดจนทั่ว เขาทำงานของเขาจนถึงเที่ยงวัน จึงสามารถทำงานที่เขาได้รับมอบหมายจนเสร็จสิ้น เขาได้ลากที่หิวและเหนื่อยล้ากลับไปยังกระท่อมเล็กๆของเขา

บาดแผลที่ทุบตีในตอนเช้ายังไม่ได้รับการจัดการ หยางไค่อดทนต่อความหิวโหย และเริ่มจัดการกับบาดแผลของเขา

เมื่อถอนเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ หยางไค่ตักน้ำในอ่างน้ำแล้วชำระล้างกายของขาให้สะอาด ถ้าหากคนที่อยู่ข้างเคียงมองเห็นสภาพร่างกายที่น่าเวทนาของเขาคงจะตกใจอย่างมาก

กระดูกที่อยู่ในร่างกายของหยางไค่นั้นอ่อนแออย่างมาก เขามีร่างกายที่ผอมโซ ซึ่งสามารถมองเห็นซี่โครงตรงช่องท้องได้อย่างชัดเจน เนื้อนหนังที่ห่อหุ้มอยู่ในร่างกายของเขานั้นเหลือน้อยมาก แต่นั้นเป็นร่างกายที่ขาดการโภชนการที่ดี ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำ และรอยแผลที่เกลื่อนไปทั่ว ซึ่งไม่มีเนื่อหนังส่วนไหนที่สมบูรณ์เลย

ทุกๆ 5 วันจะถูกท้าประลอง 1 ครั้ง การท้าประลองทุกครั้งเขาเป็นคนที่พ่ายแพ้ ทุกครั้งเขาจะถูกทำร้ายทุบตีจนหมดสติ บาดแผลเดิมยังไม่หาย กลับได้รับบาดเพิ่มมาอีก ถ้าสลับกับบุคคลอื่นๆ พวกเขาคงไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้ แต่หยางไค่นั้นอดทนมาตลอด ไม่เพียงแต่เขาจะอดทนกับมันได้ แต่เขายังคงกวาดพื้นทำตามหน้าที่ของเขาต่อ โดยที่บาดแผลเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาได้แม้แต่น้อย………………………..

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด