ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 104 ซื้อวิญญาณสุรา (อ่านฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 106 วิญญาณแห่งชีวิต (อ่านฟรี)

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 105 พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ (อ่านฟรี)


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 105 พ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ 

 แปลโดย iPAT 

ฉิงซูเป็นเด็กกำพร้าเช่นเดียวกับฟางหยวนและฟางเจิ้ง

พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตเมื่อเขายังเด็ก

เขาถูกอุปการะเลี้ยงดูโดยอวี๋โป้

หลังจากพิธีเผยลิขิตสวรรค์ พรสวรรค์นภาที่สองของเขาถูกเปิดเผย อวี๋โป้สั่งสอนเขาด้วยตนเอง เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณที่โดดเด่นที่สุดผู้หนึ่ง ทะเลวิญญาณของเขาใกล้เคียงกับผู้มีพรสวรรค์นภาที่หนึ่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นอวี๋โป้จึงผลักดันให้เขาเป็นหนึ่งในผู้ชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป

ฉิงซูมีบุคลิกที่ค่อนข้างอบอุ่นและเป็นมิตร เขาได้รับการยกย่องและการต้อนรับที่ดีจากสมาชิกของตระกูล เขายังเป็นบุคคลที่มีความจงรักษ์ภักดีต่อตระกูลสูงมาก สำหรับการปรากฎตัวของฟางเจิ้ง แม้ฟางเจิ้งจะเป็นคู่แข่งในการชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลของเขา แต่เขายังดูแลฟางเจิ้งเป็นอย่างดี

ในอนาคตเมื่อฝูงสัตว์อสูรบุกโจมตี ประตูหมู่บ้านทางทิศเหนือจะพังพินาศ เพื่อปกป้องสมาชิกของตระกูล เขาก้าวออกไปและใช้วิญญาณสามดวงกับการบ่มเพาะระดับสองของเขาเป็นป้อมปราการ สุดท้ายเขาสามารถปกป้องหมู่บ้านเอาไว้

อย่างไรก็ตามทะเลวิญญาณของเขาถูกทำลายเป็นเหตุให้เขาเสียชีวิตในที่สุด

ดังนั้นฉิงซูผู้นี้จึงสามารถทิ้งความประทับใจที่ดีเอาไว้ในใจของฟางหยวน

เมื่อฉิงซูเห็นฟางหยวนถอนหายใจ เขาไม่รู้ว่าฟางหยวนกำลังคิดถึงการตายของเขา แต่เขาคิดว่าฟางหยวนกำลังคิดเกี่ยวกับวิญญาณสุรา

ฉิงซูเผยรอยยิ้ม "ฟางหยวน เจ้าควรรู้ถึงขีดจำกัดของวิญญาณสุรา มันเป็นวิญญาณระดับหนึ่งและสามารถควบแน่นทะเลวิญญาณระดับหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสอง วิญญาณสุราไม่มีประโยชน์กับเจ้าอีกต่อไป แม้เจ้าจะครอบครองโรงเตี้ยมและสามารถเลี้ยงดูมันได้อย่างไม่มีปัญหา แต่เหตุใดเจ้าจึงไม่ขายสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่อเจ้าออกไป?"

เขากล่าวต่อ "วิญญาณสุราไม่มีประโยชน์ต่อเจ้า แต่มันจะมีประโยชน์กับผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งคนอื่นๆ โดยเฉพาะเด็กใหม่ที่พึ่งผ่านพิธีเผยลิขิตสวรรค์ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า มันจะเป็นความช่วยเหลือชั้นยอดสำหรับพวกเขา มันเป็นสิ่งที่ดีหากเจ้าขายวิญญาณสุราให้กับตระกูลเพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตระกูลของเรา"

ฟางหยวนไม่ตอบ

ฉิงซูครุ่นคิดและคาดเดาความตั้งใจของฟางหยวน "ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่เต็มใจที่จะแยกจากวิญญาณสุรา เจ้าคิดที่จะหลอมรวมมัน หากข้าคิดไม่ผิด เจ้าต้องการหลอมสร้างวิญญาณรังไหมขาวระดับสอง จากนั้นก็เป็นวิญญาณผีเสื้อหมอกระดับสามถูกต้องหรือไม่?"

"นี่เป็นขั้นตอนที่แพร่หลายมากที่สุดและเป็นแนวทางที่น่าสนใจที่สุด ผีเสื้อหมอกเป็นวิญญาณที่ดี แต่รังไหมขาวไม่มีประโยชน์ เส้นทางนี้ไม่เหมาะสมกับเจ้า เจ้ามีพรสวรรค์นภาที่สาม ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสอง แต่รังไหมขาวไม่มีความสามารถใดๆ มันกินและนอนเท่านั้น มันไม่สามารถช่วยเหลือเจ้า"

"มีความเป็นไปได้เท่าใดที่เจ้าจะก้าวเข้าสู่ระดับสาม? แม้เจ้าจะสามารถบรรลุระดับสาม แต่เวลานั้นเจ้าก็อาจกลายเป็นชายวัยกลางคนเรียบร้อยแล้ว เจ้าต้องการเก็บรังไหมขาวเอาไว้นับสิบปีเช่นนั้นหรือ? มันจะดีกว่าหากเจ้านำงบประมาณในการเลี้ยงดูรังไหมขาวมาเป็นค่าใช้จ่ายของวิญญาณชนิดอื่นที่มีประโยชน์สำหรับเจ้า เจ้าคิดว่าข้ากล่าวสิ่งใดผิดหรือไม่?"

"คุณค่าที่แท้จริงของวิญญาณสุราคือการยกระดับทะเลวิญญาณในขอบเขตเล็กๆ หากเจ้าคิดที่จะหลอมรวมมัน เจ้าจะทำให้มันกลายเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า ไม่ใช่ว่ามันน่าเสียดายงั้นหรือ?"

วิญญาณทุกดวงล้วนมีความสามารถเพียงหนึ่งเดียว

ตัวอย่างเช่นวิญญาณกาลเวลา แม้มันจะเป็นวิญญาณระดับหก แต่มันก็มีความสามารถในการกำเนิดใหม่เท่านั้น

วิญญาณที่ถูกหลอมสร้างขึ้นมาใหม่ พวกมันจะรับสืบทอดเอกลักษณ์ที่โดดเด่นมาจากวิญญาณชนิดเดิมเพียงหนึ่งเดียวแต่เพิ่มประสิทธิภาพเข้าไป ตัวอย่างเช่นวิญญาณกายาหยกขาว มันมีความสามารถในการป้องกันเช่นเดียวกับวิญญาณกายาหยกเขียว แต่มันสูญเสียความสามารถในการเพิ่มความแข็งแกร่งของวิญญาณหมูขาว

หากผู้ใดครอบครองวิญญาณกายาหยกขาว พวกเขาจะได้รับพลังป้องกันที่ยอดเยี่ยม แต่มันไม่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเขา

ฉิงซูกล่าวได้ถูกต้อง คุณค่าที่แท้จริงของวิญญาณสุราคือยกระดับทะเลวิญญาณในขอบเขตเล็กๆ

สำหรับผู้ใช้วิญญาณ นี่เป็นวิธีการบ่มเพาะอีกรูปแบบหนึ่งที่จะทำให้พวกเขาสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว

หากมันกลายเป็นรังไหมขาวหรือผีเสื้อหมอก พวกมันจะสูญเสียความสามารถชนิดนี้ไปซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

ในความเป็นจริง นักบวชปีศาจสุราดอกไม้ใช้วิญญาณสุราหลอมสร้างผีเสื้อหมอกขึ้นมาเพื่อล่อลวงให้หญิงสาวหลงใหลและกระทำการชั่วร้าย แต่หลังจากการตายของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ ผีเสื้อหมอกที่ปราศจากอาหารจึงเกิดการวิวัฒนาการย้อนกลับมาเป็นหนอนสุราในที่สุด

ดวงตาของฉิงซูส่องประกายขึ้นเมื่อเห็นฟางหยวนยังเงียบ เขาเริ่มกล่าวต่อ "แท้จริงแล้วตระกูลมีวิธีการหลอมรวมมันให้กลายเป็นวิญญาณลางสังหรณ์จันทราระดับสอง จากนั้นก็เป็นวิญญาณสุราเจ็ดกลิ่นหอมระดับสาม วิญญาณสุราเจ็ดกลิ่นหอมมีความสามารถในการปรับแต่งทะเลวิญญาณ"

"ฟางหยวน เจ้าสามารถทำธุรกรรมกับตระกูล เมื่อเจ้าขายมันให้ตระกูล หลังจากตระกูลหลอมสร้างวิญญาณสุราเจ็ดกลิ่นหอมขึ้นมาได้สำเร็จ เจ้าจะได้ใช้งานมันเป็นเวลาห้าปี หากมันล้มเหลว ตระกูลจะชดเชยให้กับเจ้า เจ้าคิดอย่างไร?"

ธุรกรรมนี้หมายความว่าตระกูลจะเป็นผู้รับความเสี่ยงในการหลอมรวมวิญญาณ ด้วยเงื่อนไขที่ดีเช่นนี้ หากเป็นผู้อื่น พวกเขาจะตกลงรับเงื่อนไขอย่างรวดเร็ว

แต่สำหรับฟางหยวน? เขาเย้ยหยันอยู่ในใจ

เขารู้จักตัวเองเป็นอย่างดี

ด้วยพรสวรรค์นภาที่สาม การก้าวเข้าสู่ระดับสามแทบเป็นไปไม่ได้ ในชีวิตก่อนหน้า เขาติดอยู่ในระดับสองเป็นเวลานับร้อยปี มันเป็นเพียงความบังเอิญที่เขาได้รับวิญญาณที่ช่วยยกระดับพรสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงสามารถบรรลุสู่ระดับสามได้ในที่สุด

ห้าปีของการใช้สิทธิ์อาจจะฟังดูดี แต่สำหรับฟางหยวน มันเหมือนกับการใช้มือคว้าดวงจันทร์ที่อยู่ในน้ำ

ฉิงซูกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมาเพราะเขาเห็นความทะเยอทะยานของฟางหยวน ดังนั้นเขาจึงโยนเหยื่อล่อชิ้นนี้ออกมา

แต่เขาคำนวณผิดตั้งแต่แรก

ในความทรงจำของฟางหยวน เขามีวิธีการหลอมรวมวิญญาณสุราที่ดีที่สุดอยู่แล้ว

อันดับแรกคือการใช้วิญญาณสุราหลอมรวมวิญญาณสุราสี่ฤดูระดับสอง จากนั้นจึงเป็นวิญญาณสุราเจ็ดกลิ่นหอมระดับสาม ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณสุราสี่ฤดูหรือวิญญาณสุราเจ็ดกลิ่นหอม พวกมันล้วนมีความสามารถในการยกระดับการบ่มเพาะทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่เรื่องง่ายในการหลอมรวมวิญญาณสุราสี่ฤดู

ประการแรก มันต้องใช้วิญญาณสุราสองดวง ปัจจุบันฟางหยวนมีวิญญาณสุราเพียงหนึ่งดวง ประการที่สอง มันต้องใช้สุราสี่ชนิดที่มีรสชาติแตกต่างกันได้แก่สุรารสเปรี้ยว สุรารสหวาน สุรารสขม และสุรารสเผ็ด

ยังไม่ต้องกล่าวถึงการซื้อวิญญาณสุราจากท้องตลาด เพราะมันไม่มีขาย เพียงการรวบรวมสุราสี่ชนิดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

สุรารสเผ็ดถือเป็นสุราทั่วไปที่หาได้ไม่ยาก สำหรับสุรารสเปรี้ยว มันอาจทำมาจากการหมักผลไม้เช่นองุ่นหรือผลเบอร์รี่ต่างๆ สุราข้าวหมักมักมีรสหวาน แต่สุรารสขมจำเป็นต้องใช้ความคิดเล็กน้อย

จากความรู้ของฟางหยวน ในโลกใบนี้ สุรารสขมมักผลิตมาจากหญ้าแห่งความรัก แต่น่าเสียดายที่หมู่บ้านหญ้าแห่งความรักอยู่ห่างไกลจากที่นี่เป็นอย่างมาก แล้วเขาจะคว้ามันมาได้อย่างไร?

ฟางหยวนเก็บวิญญาณสุราเอาไว้ไม่ใช่เพราะต้องการเรียกราคาสูงสุด แต่เขาต้องการหลอมรวมวิญญาณสุราตามแนวทางนี้ การหลอมรวมด้วยวิธีอื่นถือเป็นการทำลายวิญญาณสุรา

แต่ฉิงซูจะล่วงรู้ความคิดของฟางหยวนได้อย่างไร

เห็นฟางหยวนยังไม่ตกลง เขาจึงต้องทิ้งไพ่ตายใบสุดท้าย "ฟางหยวน หากเจ้าขายวิญญาณสุราออกมา ข้าจะเป็นสื่อกลางระหว่างเจ้ากับฟางเจิ้ง ข้ารับประกันว่าเขาจะไม่ใช้มรดกครอบครัวเพื่อท้าทายเจ้า เจ้าย่อมรู้จักกฎของตระกูลเป็นอย่างดี การท้าทายของผู้ใช้วิญญาณไม่สามารถปฏิเสธ แม้ตระกูลจะไม่อนุญาตให้ต่อสู้ข้ามระดับ แต่ทุกคนต้องยอมรับการท้าทายเสมอ กระทั่งรู้ตัวว่าจะพ่ายแพ้ เจ้าก็ยังต้องเข้าสู่สนามประลองก่อนจะโยนผ้าขาวเพื่อยอมจำนน"

โลกใบนี้ให้การความสำคัญกับจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ตระกูลไม่ต้องการคนขี้ขลาด หากเกิดการท้าทายระหว่างผู้ใช้วิญญาณ พวกเขาต้องยอมรับ การยอมรับก็คือการพิสูจน์ว่าไม่ใช่คนขี้ขลาด การยอมรับความพ่ายแพ้บนสนามประลองต่อหน้าผู้คนถือว่าเป็นการแสดงออกถึงความกล้าหาญชนิดหนึ่ง

ภายใต้การกดขี่ของสภาพแวดล้อมที่ไร้ปรานีทำให้ระบบคุณค่าชนิดนี้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง

ชนชั้นสูงของตระกูลจะเป็นผู้ตัดสินผลการต่อสู้และแก้ปัญหาให้กับข้อพิพาทต่างๆที่เกิดขึ้น

การท้าทายจะต้องมีเหตุผลที่เหมาะสม ทั้งสองฝ่ายต้องทำข้อตกลงอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นพวกเขาจึงจะได้รับสิ่งเดิมพันอย่างถูกต้อง

"คำร้องของฟางเจิ้งมีเหตุผล เขาจะได้รับการอนุมัติ หากมันเกิดขึ้น ผลแพ้ชนะจะถูกตัดสินโดยผู้อาวุโส แล้วเจ้าคิดว่าผู้อาวุโสจะอยู่ข้างเจ้าหรือฟางเจิ้ง?"

ฉิงซูยังเผยรอยยิ้มกว้างกดดันฟางหยวนต่อไป "ฟางหยวน หากเจ้าแพ้ เจ้าจะได้รับมรดกเพียงบางส่วน แต่หากเจ้าขายวิญญาณสุราให้กับตระกูล ตระกูลจะจดจำความดีความชอบของเจ้า นอกจากนั้นข้ายังรับรองได้ว่าฟางเจิ้งจะไม่มาท้าทายเจ้าเกี่ยวกับมรดกของครอบครัวอีก"

ความหมายก็คือฟางเจิ้งยังสามารถท้าทายฟางหยวนได้ในกรณีอื่น

นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ฉิงซูและอวี๋โป้ต้องการเห็น พวกเขาหวังว่าฟางเจิ้งจะเอาชนะฟางหยวนและทำลายเงามืดในหัวใจเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง

ฟางหยวนเผยรอยยิ้มอย่างกะทันหันก่อนจะเปิดปากกล่าวในที่สุด

"ท่านคิดว่าข้าจะแพ้ในการต่อสู้งั้นหรือ?" ฟางหยวนถามฉิงซู

ฉิงซูเผยรอยยิ้มตอบ "การต่อสู้ไม่สามารถคาดเดา ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น แต่ข้าต้องเตือนเจ้า ฟางเจิ้งหลอมรวมวิญญาณอาภรณ์แสงจันทร์สำเร็จแล้ว เจ้าจะไม่ได้เปรียบเขามากนัก"

"ฮ่าฮ่าฮ่า" ฟางหยวนส่ายศีรษะ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายิ่งขยายกว้างมากขึ้นไป "ข้าจะแพ้ ข้าจะแพ้ในที่สุด"

ฉิงซูมองด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า

ฟางหยวนมองเข้าไปในดวงตาของฉิงซู "ไม่เพียงข้าจะพ่ายแพ้ แต่ข้าต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ ข้าจะต้องส่งมอบมรดกกลับคืน จากนั้นข้าก็จะต้องนอนอยู่บนถนนและเดินขอทานไปรอบๆหมู่บ้าน"

"เจ้า..." ฉิงซูเป็นคนฉลาด เขาเข้าใจความตั้งใจที่แท้จริงของฟางหยวน มันทำให้ใบหน้าของเขากลายเป็นแข็งค้าง ความมั่นใจและความสง่างามก่อนหน้าสูญหายไปจนหมดสิ้น

คำกล่าวของฟางหยวนคือคำขู่

ฟางเจิ้งได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป หากมีข่าวลือออกมาว่าฟางเจิ้งนับถือคนอื่นเป็นบิดามารดาและใช้การบ่มเพาะของตนเองกลั่นแกล้งพี่ชายเพื่อยึดมรดก มันจะสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของฟางเจิ้ง

กระทั่งบนโลกมนุษย์ ผู้คนยังรังเกียจบุคคลเช่นนี้ แล้วโลกที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวและสายสัมพันธ์เช่นโลกวิญญาณใบนี้นี้จะไม่รังเกียจตัวตนดังกล่าวได้อย่างไร

มันไม่เป็นไรหากฟางเจิ้งจะเป็นปีศาจร้ายในสายตาผู้คน แต่เมื่อเขากำลังจะกลายเป็นผู้นำตระกูล นั่นหมายความว่าเขาจะต้องเป็นผู้รักษาความยุติธรรมและยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง

ฉิงซูมองฟางหยวนด้วยสายตาโง่งม เขาพบว่าสิ่งที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับฟางหยวนยังเป็นการประเมินฟางหยวนต่ำเกินไป

สถานการณ์ที่เขาสร้างขึ้นมาตั้งแต่ต้นพังทลายลงในพริบตาเพียงเมื่อฟางหยวนเปิดปาก

ฟางหยวนตีลงบนจุดอ่อนของฉิงซูได้อย่างแม่นยำ

หากเป็นผู้อื่น ฟางหยวนจะกล่าวอีกอย่าง แต่ฉิงซูที่มีความภักดีต่อตระกูลต้องกังวลถึงภัยคุกคามจากฟางหยวน

อย่างไรก็ตามเขายังสามารถสงบจิตใจลงได้อย่างรวดเร็วก่อนจะเริ่มกล่าวอีกครั้ง "แต่เจ้าจะไม่ทำเช่นนั้น เพราะมรดกเป็นเป้าหมายของเจ้า เจ้าจะบ่มเพาะอย่างไรหากปราศจากมรดกนี้?"

ฟางหยวนมองฉิงซูพร้อมกับเผยรอยยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว "นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเชื่อว่าท่านจะยอมแพ้ในการขอซื้อวิญญาณสุราและโน้มน้าวให้ฟางเจิ้งไม่ท้าทายข้าอีก ข้ากล่าวสิ่งใดผิดไปหรือไม่?"

ผู้อื่นอาจไม่สามารถโน้วน้าวฟางเจิ้ง แต่ฉิงซูสามารถ ฟางหยวนไม่สงสัยเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

สถานการณ์กลายเป็นไร้ทางออก

หลังจากชั่วครู่ ฉิงซูก้มหน้าลงและมองถ้วยสุราที่อยู่ในมือก่อนจะหัวเราะออกมา

"เอาล่ะ เราจะทำเช่นนั้น" เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าเล็กน้อย