ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 102 ใบไม้ผลิท่ามกลางลมหนาว (อ่านฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 104 ซื้อวิญญาณสุรา (อ่านฟรี)

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 103 ความทะเยอทะยานทำให้โลกแคบลง (อ่านฟรี)


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 103 ความทะเยอทะยานทำให้โลกแคบลง 

แปลโดย iPAT 

โรงเตี้ยมไม่ใหญ่มากนักแต่มันอยู่ในทำเลที่ดี มันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านใกล้กับประตูเมืองทางทิศตะวันออก

มีผู้คนสัญจรผ่านประตูเมืองทางทิศตะวันออกและทิศเหนือมากที่สุด ดังนั้นธุรกิจโรงเตี้ยมจึงค่อนข้างคึกคักไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน

"นายน้อย เชิญนั่ง" ชายชราผู้หนึ่งก้มศีรษะให้กับฟางหยวน

เสี่ยวเอ้อสองคนเร่งเช็ดโต๊ะและยืนอยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มโง่งม

ฟางหยวนส่ายศีรษะ เขาไม่นั่งแต่เดินสำรวจรอบๆ 'นี่คือโรงเตี้ยมของข้า'

โรงเตี้ยมแห่งนี้มีเพียงชั้นเดียวแต่มันมีห้องเก็บสุราอยู่ใต้ดิน

พื้นปูด้วยหินอ่อนสีดำ มีโต๊ะแปดตัว สองตัวตั้งอยู่ติดผนัง อีกหกตัวมีเก้าอี้วางอยู่รอบด้าน

โต๊ะตัวยาวสีน้ำตาลเข้มวางอยู่ด้านในสุด มีกระดาษ พู่กัน หมึก และลูกคิดวางอยู่บนโต๊ะ ด้านหลังโต๊ะตัวนี้ตั้งไว้ด้วยชั้นวางสุราที่มีไหสุราทุกชนิดทุกขนาด

ฟางหยวนเดินไปรอบๆโดยมีชายชราและเสี่ยวเอ้อติดตามอยู่ด้านหลัง

พวกเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ การเปลี่ยนมือเจ้าของโรงเตี้ยมกะทันหันเกินไป ตงถูเป็นคนฉลาดแกมโกง เขาเข้มงวดกับคนเหล่านี้เป็นอย่างมาก แต่ฟางหยวนกลับสามารถคว้าโรงเตี้ยมแห่งนี้มาจากคนเช่นนั้น มันจึงช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะรู้สึกหวาดกลัวฟางหยวน

ฟางหยวนหยุดเดิน "ใช่ได้ แต่มันค่อนข้างเล็ก"

ชายชราก้าวออกมาและกล่าวด้วยความเคารพ "นายน้อย ปกติพวกเราจะวางเพิงรวมถึงโต๊ะและเก้าอี้ไว้ด้านนอกในช่วงฤดูร้อน แต่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ไม่มีผู้ใดต้องการนั่งอยู่ด้านนอก ดังนั้นพวกเราจึงเก็บโต๊ะเก้าอี้เข้ามา"

ฟางหยวนชำเลืองมองชายชรา "เจ้าเป็นผู้ดูแลโรงเตี้ยมแห่งนี้งั้นหรือ?"

ชายชราก้มตัวลงต่ำและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนน้อมมากขึ้น "ข้ามิกล้า ข้ามิกล้า นายน้อย นี่คือโรงเตี้ยมของท่าน ผู้ใดที่ท่านเลือกให้เป็นผู้ดูแลโรงเตี้ยม ผู้นั้นจึงจะสามารถเป็นผู้ดูแลโรงเตี้ยม"

ฟางหยวนพยักหน้าก่อนจะมองไปยังเสี่ยวเอ้อ ทั้งสองดูเหมือนเป็นคนทำงานที่มีประสิทธิภาพ

หากเป็นโลกมนุษย์ ฟางหยวนอาจต้องกังวลว่าพนักงานจะร่วมมือกันคดโกงเจ้าของหรือไม่ แต่ในโลกวิญญาณใบนี้ ผู้ใช้วิญญาณเป็นชนชั้นสูงที่สามารถสังหารมนุษย์ธรรมดาได้ตามใจปรารถนา กระทั่งลุงกับป้าต้องการใช้งานคนเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าที่จะต่อต้านฟางหยวน

"เอาล่ะ นำบัญชีและน้ำชามาให้ข้า" ฟางหยวนนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง

"ทราบแล้ว นายน้อย" ชายชราและเสี่ยวเอ้อเร่งทำตามคำสั่ง

มีบัญชีอยู่สิบหกเล่ม ทุกเล่มทำมาจากกระดาษเยื่อ้ไผ่สีเขียวอ่อน กระดาษชนิดนี้เหมาะสมกับภูมิอากาศร้อนชื้นของภาคใต้

ฟางหยวนหยิบบัญชีขึ้นมาตรวจสอบ เขาสอบถามบางสิ่งเป็นครั้งคราว

ชายชราผู้ดูแลเร่งตอบกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับเม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบที่ผุดพรายขึ้นบนหน้าผาก

ฟางหยวนเคยเป็นผู้ก่อตั้งนิกายปีศาจกระหายเลือดและสั่งสอนผู้คนมานับไม่ถ้วนในชีวิตก่อนหน้า เขามีประสบการณ์มากมายและมีสายตาที่เฉียบแหลม หากเป็นผู้อื่น พวกเขาอาจตื่นตระหนกเพียงเมื่อเห็นสมุดบัญชีจำนวนมาก แต่ในสายตาของเขา ทุกจุดที่น่าสงสัยจะถูกคลี่คลายกลายเป็นกระจ่างชัดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

โรงเตี้ยมแห่งนี้เป็นสมบัติล้ำค่าอันดับสองรองจากวิญญาณโสมเก้าชีวิต มันเป็นเรื่องปกติที่ฟางหยวนจะต้องการทำความเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง

มีปัญหาเล็กๆน้อยๆบางอย่างเกิดขึ้นในบัญชีเนื่องจากความไม่รอบคอบของมนุษย์ อย่างไรก็ตามเมื่อฟางหยวนตรวจสอบไปถึงหน้าสุดท้าย เขาพบว่าตงถูเบิกเงินรายได้ของเดือนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

"นายน้อย เจ้าของคนก่อนนำเงินออกไป พวกเราไม่กล้าขัดขวาง" ชายชราเร่งกล่าวด้วยร่างกายที่เริ่มสั่นสะท้านและใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นซีดขาว

ฟางหยวนปิดสมุดบัญชีลงอย่างเงียบๆก่อนจะชำเลืองมองชายชรา

นี่ทำให้ชายชรารู้สึกกดดันที่ราวกับถูกกดทับด้วยภูเขาทั้งลูก เขาต้องคุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัว

เมื่อเห็นชายชราคุกเข่าลง เสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านหลังจึงรีบคุกเข่าลงเช่นกัน

ฟางหยวนมองพวกเขาอยู่อย่างเงียบๆ

เสี่ยวเอ้อทั้งสองรู้สึกราวกับพวกเขาอยู่ในถ้ำน้ำแข็งอันหนาวเหน็บ พวกเขาทำได้เพียงหุบปากเงียบเพราะไม่สามารถต่อต้านกลิ่นอายที่ทรงอำนาจของฟางหยวน

สำหรับมนุษย์ธรรมดา งานในโรงเตี้ยมถือเป็นงานที่ดีและปลอดภัย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการเสียงานนี้ไป

ฟางหยวนหยุดเมื่อตระหนักว่าอำนาจของเขาถูกจัดตั้งขึ้นในหัวใจของคนเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว หากเขาวางอำนาจมากไปกว่านี้ มันจะไม่เป็นผลดี "ข้าจะไม่เอาความเรื่องที่ผ่านมา แต่ข้าเห็นว่าค่าจ้างของพวกเจ้าค่อนข้างต่ำ จากนี้ไปค่าจ้างของเสี่ยวเอ้อจะเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบส่วน สำหรับผู้ดูแลโรงเตี้ยมจะได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้นสี่สิบส่วน นอกจากนี้หากพวกเจ้าทำงานได้ดี พวกเจ้าจะได้รับรางวัลเพิ่มเติม"

ฟางหยวนลุกขึ้นและเดินจากไป

กลุ่มคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตกตะลึงอยู่เป็นเวลานานก่อนจะสามารถเรียกสติของตนเองกลับมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

"ขอบพระคุณนายน้อยที่เมตตา"

"นายน้อยเห็นใจพวกเรา พวกเราย่อมต้องทำงานอย่างเต็มความสามารถ"

"นายน้อย ท่านเป็นผู้มีพระคุณของพวกเรา โปรดรักษาตัวด้วย"

เสียงร้องไห้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงโขกศีรษะลงบนพื้นอย่างต่อเนื่อง

ด้วยการใช้อำนาจและเมตตาควบคู่กัน มันทำให้ฟางหยวนสามารถควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชา

ผลประโยชน์เพียงอย่างเดียวอาจทำให้ผู้คนพึงพอใจ แต่มันไม่คงทนถาวร เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาจะไม่รู้สึกสำนึกขอบคุณ ตรงข้าม มันจะทำให้พวกเขาเกิดความโลภและสร้างหายนะขึ้นในที่สุด

‘วิธีการควบคุมคนลักษณะนี้อยู่นอกเหนือจากกฎเกณฑ์ปกติ ในโลกมนุษย์ มันอาจได้รับการยกย่อง แต่ในโลกวิญญาณใบนี้ ความแข็งแกร่งส่วนบุคคลคือวิธีที่ดีที่สุด ไม่ แม้แต่โลกมนุษย์ ความแข็งแกร่งก็ถือเป็นที่สุดเช่นกัน’

ฟางหยวนคิดไปถึงประวัติศาสตร์ของประเทศจีนและสรุปว่าอำนาจทางการเมืองได้มาจาก...ปืน

นี่คือการเปลือยความจริงออกมาให้เห็น ความแข็งแกร่งคือพื้นฐานของอำนาจทางการเมือง สิ่งที่เรียกว่าความชอบธรรมเป็นข้ออ้าง

แท้จริงแล้วนอกจากการเอ่ยอ้างความชอบธรรม ความร่ำรวยและหญิงงามก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งเช่นกัน

ฟางหยวนเดินทางหน้าไปที่บ้านสามหลังเมื่อออกมาจากโรงเตี้ยม

บ้านทั้งสามหลังถูกปล่อยให้เช่าโดยลุงกับป้า ตอนนี้พวกมันถูกเช่าเต็มทั้งหมด

มนุษย์บนโลกใบนี้ให้ความสำคัญกับการเจริญเผ่าพันธุ์ อัตราการเกิดจึงค่อนข้างสูง เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมู่บ้านเล็กๆจึงกลายเป็นคับแคบลงอย่างรวดเร็ว

ตระกูลมีกฎให้บุตรชายคนโตรับสืบทอดมรดก สำหรับบุตรชายและบุตรสาวคนอื่นๆ พวกเขาต้องดิ้นรนด้วยตนเอง แม้หลายคนจะพึ่งพาอำนาจทางการเมืองเพื่อแบ่งทรัพย์สมบัติหรือทุ่มเททำงานอย่างหนัก แต่มันอาจยังไม่เพียงพอให้พวกเขาสามารถซื้อหาบ้านมาเป็นของตนเอง

อีกด้านหนึ่ง วิญญาณเป็นภาระหนักที่พวกเขาต้องดูแล นอกจากนั้นหมูบ้านก็มีพื้นที่จำกัด สุดท้ายราคาของบ้านจึงพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก

พวกเขาสามารถสร้างบ้านนอกหมู่บ้าน แต่มันไม่ปลอดภัย นอกจากนั้นเมื่อใดก็ตามที่ฝูงสัตว์อสูรบุกโจมตี บ้านทุกหลังที่อยู่นอกหมู่บ้านจะถูกทำลาย

การขยายอาณาเขตหมู่บ้านเป็นวิธีเดียวในการแก้ปัญหานี้

แต่นั่นหมายความว่าพวกเขามีพื้นที่ที่ต้องรักษามากขึ้น หากมันใหญ่โตเกินไป หมู่บ้านจะไม่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง

หมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลเคยขยายอาณาเขตออกไปหลายครั้งในประวัติศาสตร์ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกโจมตีโดยฝูงสัตว์อสูร หลังจากได้รับบทเรียนมากมาย พวกเขาจึงตัดสินว่าขนาดของหมู่บ้านในปัจจุบันคือจุดที่พอดีที่สุด

ฟางหยวนสำรวจอย่างคร่าวๆและเข้าใจมันอย่างรวดเร็ว

บ้านทั้งสามหลังถูกปล่อยให้เช่าด้วยราคาที่ถูกเพิ่มให้สูงขึ้นโดยลุงกับป้า ดังนั้นฟางหยวนจึงปล่อยให้มันเป็นไปเช่นเดิม ตามการคำนวณรายได้จากค่าเช่าบ้านทั้งสามหลังยังไม่เท่ากับรายได้ของโรงเตี้ยม แต่มันก็ไม่ต่างกันมากนัก

สถานการณ์โดยภาพรวมถือว่าดีกว่าความคาดหมายของฟางหยวน

ก่อนหน้านี้เขายังอยู่ในสภาพหมดตัว หินวิญญาณของเขาเหลืออยู่ไม่ถึงห้าก้อน แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดผู้หนึ่งในตระกูลแสงจันทร์อย่างกะทันหัน

ผู้เช่าบ้านเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ใช้วิญญาณหญิงระดับสอง หลังจากรู้ว่าฟางหยวนเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่ สายตาที่พวกนางมองฟางหยวนเปลี่ยนไปทันที

หากพวกนางสามารถแต่งงานกับฟางหยวน ชีวิตของพวกนางจะกลายเป็นราบรื่นและมั่นคง

ชีวิตดังกล่าวเป็นสิ่งที่พวกนางไล่ล่าและใช้กำลังทั้งหมดต่อสู้เพื่อให้ได้มันมาครอบครอง

กล่าวได้ว่า หากฟางหยวนต้องการ เขาสามารถเกษียณตนเองและใช้ชีวิตอย่างหรูหราเช่นเดียวกับลุงของเขา

ด้วยการกวักนิ้วเบาๆ หญิงสาวมากมายจะวิ่งเข้ามาหาเขา

'แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ' ฟางหยวนยืนอยู่บนชั้นสองของบ้านเช่าและปล่อยให้หญิงเหล่านั้นส่งสายตายั่วยวนเขาอยู่รอบๆ

เขาจับราวระเบียงและมองไกลออกไปยังเทือกเขาสีเขียวที่ทอดตัวยาวราวกับยักษ์หลับที่มีท้องฟ้าสีหม่นเป็นผ้าห่ม

'ตั้งแต่กำเนิดใหม่ ข้าเคลื่อนไหวไปตามคลื่นชีวิต ข้าไม่มีความตั้งใจคว้ามรดกของครอบครัว ข้าเพียงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า อย่างไรก็ตามหลังจากนี้สิ่งที่ข้าต้องทำคือรับสืบทอดมรดกของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ก่อนจะกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามเพื่อออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้และท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง' ความคาดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของฟางหยวน

ภูเขาชิงเหมาเป็นหนึ่งในภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนของชายแดนทางภาคใต้และชายแดนทางภาคใต้ก็เป็นเพียงมุมเล็กๆมุมหนึ่งของโลกใบนี้เท่านั้น

แล้วสถานที่เล็กๆเช่นนี้จะสามารถเติมเต็มความทะเยอทะยานอันสูงส่งของเขาได้อย่างไร?

หากเทียบกับความทะเยอทะยานของเขา ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลแสงจันทร์ก็ยังเป็นเพียงฝุ่นทรายที่ไร้ค่า

"พี่ใหญ่ ลงมา ข้าต้องพูดกับท่าน" เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางเจิ้งมาถึงและเงยหน้าตะโกนไปยังฟางหยวน

"หือ?" ความคิดของฟางหยวนถูกขัดจังหวะ เขาก้มหน้ามองฟางเจิ้งด้วยสายตาเย็นชา

สายตาของคู่พี่น้องบรรจบกันและเกิดเป็นความเงียบงันที่แปลกประหลาด

ฟางเจิ้งยืนอยู่หน้าบ้านที่ถูกปกคลุมด้วยเงาของบ้านอีกหลัง ขณะที่เขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์และส่งประกายสว่างไสว

ฟางหยวนยืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง แสงแดดที่สาดส่องลงมาทำให้ดวงตาของเขายิ่งมืดมิด

ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันสะท้อนอยู่ในดวงตาของกันและกัน

ฟางหยวนไม่แปลกใจกับการปรากฏตัวของฟางเจิ้งเพราะฟางเจิ้งคือเครื่องมือของลุงกับป้า

ฟางหยวนมองฟางเจิ้งและถอนหายใจ 'อัจฉริยะพรสวรรค์นภาที่หนึ่งแต่กลับเป็นได้เพียงตัวหมากเบี้ย...ช่างไร้ค่านัก'