ตอนที่แล้วPath To : ประกาศ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปPath To : ตอนที่ 7 - เหมือนๆกัน

Path To : ตอนที่ 6 - นี่มันเรื่องบ้าอะไร?


เส้นทางสู่สวรรค์ ตอนที่ 6

 

ตอนที่ 6 – นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?

 

ท่าทางของเฒ่าตัวเขียวดูลึกลับเป็นอย่างมาก

 

จากสิ่งที่ปรากฏก่อนหน้านี้ เจ้าเด็กนี่ไม่ได้พึ่งแค่โชคอย่างแน่นอน นั่นเป็นเพราะเฒ่าตัวเขียวคนนี้รู้ดีว่าสำหรับผู้บ่มเพาะที่ไม่เคยสร้างยันต์ก่อนโดยทั่วไปมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสร้างยันต์ลูกไฟระดับหนึ่งได้

 

แต่เหว่ยเส้าเขาสามารถสร้างยันต์ลูกไฟระดับหนึ่งให้สมบูรณ์ได้ภายในระยะเวลาเพียงเจ็ดวัน นี่อาจจะหมายถึงสิ่งหนึ่ง; นั้นคือเด็กคนนี้อาจมีพรสวรรค์ด้านเครื่องยันต์ นอกจากนั้นเฒ่าตัวเขียวมีประสบการณ์หลายหมื่นปีรู้ดีกว่าคนอื่นว่าพรสวรรค์แบบไหนที่ปรากฏในช่วงเวลานี้ได้

 

“ครอบครับของเจ้าเป็นนักสร้างยันต์หรือช่างฝีมือมาก่อนใช่หรือไม่?” เฒ่าตัวเขียวเอ่ยถาม

 

“ข้าไม่รู้ เมื่อครั้งข้าอายุได้สิบสามปีพ่อและแม่ของข้าได้ออกไปล่าสัตว์อสูรกับคนอื่นๆ แต่นั้นมาก็ไม่กลับมาอีกเลย ทั้งหมดที่พวกเขาทิ้งไว้ให้ข้าเป็นเพียงหนังสือทักษะม่วงแก่นแท้ม่วงลึกลับเท่านั้น” เหว่ยเส้ามองไปที่เฒ่าตัวเขียวอย่างงงงวย “ทำไมเจ้าถึงถามเช่นนั้นกันล่ะ?”

 

“เจ้าสามารถไปลองใช้ทักษะยันต์นี้และสังเกตดูว่ามันใช่ยันต์ลูกไฟระดับหนึ่งอย่างที่ข้าบอกเจ้าหรือไม่” เฒ่าตัวเขียวจ้องมองไปที่เหว่ยเส้า “สำหรับส่วนที่เหลือเราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้หลังจากเจ้ากลับมาแล้ว”

 

 

กำเนิดผู้ถือครองทักษะการสร้างยันต์คนใหม่ เหว่ยเส้าเดินออกไปที่ย่านตะวันตกของเมืองจิตวิญญาณสูงส่ง

 

ในปัจจุบันเมืองจิตวิญญาณสูงส่งอยู่ภายใต้การปกครองของนิกายหนึ่งสวรรค์ ผู้บ่มเพาะทุกคนจะได้รับอนุญาติให้อาศัยอยู่ในเมืองจิตวิญญาณสูงส่งได้หลังจากจ่ายหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งให้ สำหรับคนธรรมดาสามัญอื่นๆพวกเขาสามารถใช้ความสามารถในการอยู่ที่นั่นโดยการทำสิ่งต่างๆให้กับนิกายต่างๆในเมือง

 

บ้านหินหลังเล็กในสภาพที่เลวร้ายที่เหว่ยเส้าอาศัยอยู่มีค่าเช่าอยู่ที่สองหินจิตวิญญาณระดับต่ำต่อเดือน หากเขาไม่สามารถจ่ายค่าเช่าในระยะเวลาสองเดือนหรือมากกว่านั้นเขาจะถูกบังคับให้ไปอาศัยอยู่นอกเมืองจิตวิญญาณสูงส่ง

 

ถึงอย่างนั้นแม้จะบอกว่าเป็นค่าเช่า แต่มันก็เป็นค่าคุ้มครองดีๆนี่ล่ะ อย่างไรก็ดีโดยรวมแล้วผู้บ่มเพาะที่อาศัยอยู่ในเมืองจิตวิญญาณสูงส่งเลือกที่จะไม่สนใจเรื่องนี้

 

นั้นเป็นเพราะมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนจากนิกายหนึ่งสวรรค์เดินลาดตระเวนเมืองทุกวันเพื่อรักษาความปลอดภัยของเมืองจิตวิญญาณสูงส่ง ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาจำนวนสัตว์อสูรที่นอกเมืองมีจำนวนมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ตัวอย่างเช่นห้าปีที่ผ่านมาสัตว์อสูรระดับสองเช่นกิ้งก่าเกาะหินในหุบเขาทรายเหลืองซึ่งเป็นเทือกเขาคู่เดียวห่างจากเมืองไปไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

 

หากผู้ใดเลือกที่จะอยู่นอกเมืองแล้วนอกจากจะต้องคำนึงถึงอันตรายจากสัตว์อสูร ผู้นั้นอาจจะถูกฆาตกรรมโดยผู้บ่มเพาะคนอื่นๆเพื่อแย่งชิงทรัพย์สินของพวกเขาไป ดังนั้นตราบใดเท่าที่ผู้บ่มเพาะระดับล่างสามารถจ่ายค่าเช่าได้พวกเขาก็เลือกที่จะจ่ายหินวิญญาณของพวกเขาเพื่ออาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อไป

 

ในเมือง การบินและการต่อสู้กันด้วยทักษะกระบวนท่าเป็นสิ่งต้องห้าม

 

ปัจจุบันเหว่ยเส้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับทักษะการบินใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาถึงแม้จะมีทักษะการบิน เขาจะสามารถบินได้ไม่นานแค่เพียงครึ่งก้านธูป จุดประสงค์ของเขาในปัจจุบันคือการทดลองทักษะการสร้างยันต์ ตามธรรมชาติไม่อาจถือได้ว่าเป็นทักษะต่อสู้ อย่างไรก็ตามเพื่อหลีกเลี่ยงในการถูกเรียกถามจากคนของนิกายหนึ่งสวรรค์ เหว่ยเส้าจึงตัดสินใจออกนอกเมืองไป

 

หลังจากเดินออกจากเมืองมาสักพัก เหว่ยเส้ามองไปที่บ้านร้างที่ถูกทอดทิ้ง ข้างๆมีแมวจรจัดสีดำกำลังส่งเสียงร้องอยู่บนต้นหลิว

 

เมื่อมันเห็นเหว่ยเส้าหยุดนิ่ง แมวจรจัดสีดำตัวนี้ทำหน้าแสยะใส่เขา ดูเหมือนว่าแมวตัวนั้นพยายามจะบอกเหว่ยเส้าให้ตื่นตระหนกและมีสติไม่ให้หลงไปกับการล่อลวงของมัน

 

“เฮ้เฮ้!”

 

แววตาของเหว่ยเส้าเปลี่ยนไป เขาเพียงแต่ยกมือขึ้นและ “บูม” ลูกไฟขนาดกะทัดรัดระเบิดขึ้นที่ช่วงล่างของต้นหลิว ช่วงล่างของต้นหลิวบิดเบี้ยวผิดรูปเปลวไฟกำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง

 

“เหมียว!”

 

 

แมวจรจัดสีดำกลัวจนเกือบหมดสติขนทุกเส้นของมันตั้งชูชันขึ้น การเคลื่อนที่ของมันดูพริ้วไหว เพียงกระโดดครั้งเดียวมันก็สามารถข้ามจากบนต้นหลิวมายังกำแพงที่อยู่ไกลได้ ร่างกายของมันเริ่มสั่น

 

“โครตโหดเลยว่ะ”

 

นอกจากการแสดงออกทางท่าทางของแมวจรจัดสีดำแม้แต่เหว่ยเส้าก็ยังตกตะลึง เมื่อยันต์ลูกไฟระเบิดจะมีมวลความร้อนแผ่ออกมาทำให้รู้สึกว่าผิวของเขาแห้งลงทันที ความรุนแรงของยันต์ลูกไฟระดับหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงที่มากกว่ายันต์ลูกไฟของหญิงงามชุดคลุมสีเงินอย่างชัดเจน

 

“เชี่ยยย! บ้าระห่ำจริงๆ!”

 

ไกลออกไปบนถนนไปทางเมืองจิตวิญญาณสูงส่งมีคนสองคน พวกเขาต่างมองเห็นฉากที่น่าตื่นใจ “เขาใช้ยันต์ลูกไฟระดับหนึ่งเพื่อสู้กับแมวจรจัด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?”

 

“ข้ากำลังจะรวย!”

 

“ข้ารวยแล้วตอนนี้!”

 

เหว่ยเส้ากลับไปยังบ้านหินหลังเล็กที่ย่านตะวันตกของเมืองจิตวิญญาณสูงส่งด้วยอาการเหม่อลอย

 

“ใครจะไปรู้ สุ่ยหลิงเอ๋อร์อาจจะต้องกลายมาเป็นภรรยาข้าในอนาคตก็เป็นได้”

 

เมื่อเขา(เฒ่าตัวเขียว)เห็นรูปลักษณ์ของเหว่ยเส้าเมื่อเขา(เหว่ยเส้า)เดินเข้ามา เฒ่าตัวเขียวรู้ทันทีว่ายันต์ลูกไฟของเหว่ยเส้าประสบความสำเร็จโดยไม่มีปัญหาใดๆ แต่การเดินก้าวต่อไปของเหว่ยเส้าทำให้เขาตัวสั่นเต็มไปด้วยรู้สึกหวาดกลัว(fear)จนสามารถพูดออกมาเป็นคำพูดได้

 

เหว่ยเส้าปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าทางราวกับเขาได้รับหินจิตวิญญาณมาเป็นจำนวนมาก พลันเกิดความรู้สึกเมื่อมองไปที่บริเวณหน้าอกของสาวงามในภาพบนผนัง เฒ่าตัวเขียวรู้เหตุผลที่ว่าทำไมบริเวณหน้าอกของสาวงามในภาพจะแตกต่างกันเล็กน้อยเมื่อเทียบกับภาพอื่นๆที่เหลืออยู่ (TL : หน้าหนาวต้องเล่น kite สักหน่อย)

 

“โอ้ใช่เฒ่าหัวเขียว” เหว่ยเส้าดูเหมือนจะยังจำอะไรได้บ้างเขามองไปที่เฒ่าหัวเขียวและถาม “เจ้าเคยบอกว่าเจ้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะบอกข้าหลังจากข้ากลับมา แล้วบางอย่างที่เจ้าอยากจะบอกข้าคืออะไรกันล่ะ?”

 

“ข้าอยากจะบอกเจ้าว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าควรจะตื่นเต้น” เฒ่าตัวเขียวจ้องอย่างเคร่งขรึมไปที่เหว่ยเส้า “ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครื่องยันต์,การปรุงยา หรือการสร้างสิ่งประดิษฐ์ สิ่งที่สำคัญที่สุดของสิ่งเหล่านี้คืออัตราความสำเร็จ ช่างเครื่องยันต์คนใดที่มีอัตราความสำเร็จต่ำกว่าร้อยละยี่สิบจะถูกตราหน้าว่าเป็นขยะ ทักษะยันต์ที่พวกเขามีจะสร้างได้แค่ยันต์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าประสิทธิภาพทั้งหมดของวัสดุที่ใช้ทำ”

 

เหว่ยเส้าตกใจเล็กน้อย “ตาเฒ่าเช่นนั้นเจ้าอยากจะบอกให้ข้าไปทดสอบเพื่อที่จะรู้ว่าข้ามีอัตราความสำเร็จเท่าไรสินะ?”

 

“เจ้าคิดว่าเช่นนั้นงั้นรึ?” เฒ่าตัวเขียวจ้องไปที่เหว่ยเส้าด้วยสายตาเย็นยะเยียบ

 

ด้วยหน้าตาที่แสดงออกมาอย่างจริงจัง เหว่ยเส้าเดินไปที่โต๊ะที่ถูกสร้างขึ้นง่ายๆหยาบๆ ความกังวลว่าเขาจะร่ำรวยได้หรือไม่เขาไม่สามารถทำนายมันได้มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างบอบบาง

 

ครั้งแรกลายเส้นที่อยู่ตรงกลางแผนยันต์ถูกวาดให้เอียงเล็กน้อย ยันต์ระเบิดจนไฟลุก โชคดีที่เหว่ยเส้ามีประสบการณ์มาก่อนจึงไม่ถูกเผาด้วยเปลวไฟ

 

ครั้งที่สองเขาวาดภาพออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยันต์ไม่ได้แผ่ความร้อนใดๆออกมาเนื่องจากสาเหตุบางประการ

 

ครั้งที่สาม สำเร็จลุล่วง

 

 

ร่างกายทั้งร่างของเหว่ยเส้าเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

 

เมื่อเขาสร้างยันต์ลูกไฟระดับหนึ่งสำเร็จได้หกใบ เหว่ยเส้าก็ล้มตัวลงนอนกับพื้นเขาเหนื่อยมากจนแทบไม่อยากจะกระดิกนิ้วมือ

 

เลือดแมงป่องไฟที่เหลืออยู่สามารถสร้างยันต์ลูกไฟได้อีกสิบหกใบ เหว่ยเส้าล้มเหลวในการสร้างยันต์ลูกไฟให้สำเร็จได้แปดใบแต่เขาก็ประสบความสำเร็จในการสร้างยันต์ลูกไฟหกใบ เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับมันสองชั่วโมงเต็ม อย่างไรก็ดีอัตราความสำเร็จของเขายังคงต่ำกว่าร้อยละห้าสิบ

 

การสร้างยันต์ต้องใช้ทั้งพลังวิญญาณและจิตใจของคนผู้นั้นที่อยู่ในสภาวะพร้อมใช้งาน นอกจากนี้มันจะต้องแข็งแกร่ง เพราะพลังวิญญาณของคนผู้นั้นจะถูกระบายออกอย่างรวดเร็วมาก

 

อัตราความสำเร็จน้อยกว่าร้อยละห้าสิบแถมยังเหนื่อยเป็นสุนัข เหว่ยเส้ารู้สึกทึ่งจริงๆ

 

อย่างไรก็ตามเฒ่าตัวเขียวได้รับคำตอบแล้ว

 

สิ่งที่เหว่ยเส้าไม่รู้คือแม้แต่ช่างเครื่องยันต์มืออาชีพพวกเขามีอัตราความสำเร็จประมาณร้อยละหกสิบในการสร้างเครื่องยันต์ระดับหนึ่งที่พวกเขาคุ้นเคย

 

เมื่อต้องใช้ทักษะยันต์ที่แปลกไปไม่คุ้นเคยพวกเขาจะมีอัตราความสำเร็จไม่ถึงร้อยละสี่สิบ

 

อย่างไรก็ดีเหว่ยเส้ามีอัตราความสำเร็จใกล้เคียงร้อยละห้าสิบแล้ว! นอกจากนี้เขายังพึ่งสร้างยันต์ในวันนี้ ถ้าเวลาผ่านไปเขาจะมีอัตราความสำเร็จเท่าใดกันแน่?

 

“น้องชายเจ้าตายรึยัง? หากเจ้ายังไม่ตายเราก็มาคุยกันเถิด มาๆแลกเปลี่ยนความคิด” เฒ่าตัวเขียวคิดว่าเหว่ยเส้าคิดนานจนเกินไป เขาก็รีบพูดขึ้นทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด