ตอนที่แล้วบทที่ 57 เสมือนไฟ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 59 กระบี่ วารี ผีดิบ

บทที่ 58 พรั่นพรึง


 

เก้าพันสี่ร้อยสิบเอ็ด!

หลังจากตกอยู่ในภวังค์สับสนงงงวยร่วมสามวันเต็ม จั่วม่อก็กลับมาเริ่มต้นฝึกปรือเพลงกระบี่อย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ภาพเหตุการณ์ในทะเลแห่งจิตสำนึกคราวนั้นมอบความรู้สึกสะท้านสะเทือนหาใดเปรียบให้แก่มัน อีกทั้งยังคลับคล้ายจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง แต่ไม่อาจไขว่คว้าไว้ได้ สามวันให้หลัง จู่ๆ มันก็ตื่นจากห้วงคำนึงและบรรลุความเข้าใจ

แต่ความเข้าใจไม่ใช่วิมานลอยฟ้าที่สร้างไว้บนอากาศ หากไม่มีรากฐานที่มั่นคง แม้ว่าจะเข้าใจ ท่านยังคงไม่สามารถใช้ออกได้ดั่งใจ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจั่วม่อยังไม่เข้าใจเจตจำนงกระบี่อย่างสมบูรณ์ด้วยซ้ำ ควรทราบว่าด้วยสติปัญญาของศิษย์พี่เหวยเสิ้ง ยังต้องนั่งอยู่หน้าน้ำตกเป็นเวลาหลายเดือน ผ่านการต่อสู้เดิมพันชีวิตหลายครั้งหลายหน ก่อนที่มันจะเข้าใจกระบวนท่าพื้นฐานเหล่านี้จนปรุโปร่ง แล้วด้วยความสามารถทางกระบี่ของจั่วม่อซึ่งห่างไกลจากศิษย์พี่เหวยเสิ้งลิบลับ ไหนเลยจะง่ายดายดังใจนึก?

ท้ายที่สุดก็ทราบว่าปัญหาอยู่ที่ใด จั่วม่อระงับความตระหนกในใจตน แล้วเริ่มต้นฝึกฝนกระบวนเพลงกระบี่เคล็ดกระบี่เพลิงธาราซ้ำไปซ้ำมา

เมื่อเหนื่อยล้าถึงที่สุด ใช้พลังปราณในร่างจนแห้งเหือด มันจะไปนั่งเข้าฌานในห้องศิลา

ครั้นพลังปราณกลับมาเต็มเปี่ยม ก็จะเริ่มร่ายกระบวนท่าอีกครั้ง สลับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเช่นนี้ โดยไม่มีการหยุดพักแม้แต่ครู่เดียว

หนึ่งหมื่นเก้าพันยี่สิบสอง!

จั่วม่อเสื้อผ้าอาภรณ์ขาดวิ่น ร่างกายส่ายโงนเงน เบ้าตาโหลลึก มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่โชนแสงราวกับเปลวเพลิงโหมไหม้ไม่มีวันมอดดับ

ทั้งเจ็ดกระบวนท่า แต่ละท่วงท่า แต่ละการแปรเปลี่ยน ผ่านการฝึกฝน ตรวจสอบ และไตร่ตรองนับครั้งไม่ถ้วน มันช่ำชองชำนาญจนถึงขั้นที่แม้แต่ตัวมันเองยังไม่อยากเชื่อ กระบี่ผลึกน้ำแข็งคลับคล้ายเป็นส่วนหนึ่งในร่างกาย มันสามารถควบคุมแต่ละท่วงท่าได้อย่างง่ายดาย เส้นใยจิตสำนึกของมันราวกับใยแมงมุมอันเหนียวแน่นติดหนึบอยู่กับกระบี่บิน

ในห้วงเวหา กระบี่ผลึกน้ำแข็งส่ายไหวไปมาอย่างเชื่องช้า ประดุจมัจฉาตัวหนึ่งที่กำลังสะบัดหางว่ายทวนกระแสน้ำ กระบี่ผลึกน้ำแข็งโยกไกวถี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ ระลอกวงกลมโปร่งใสขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นกลางอากาศโดยมีตัวกระบี่เป็นจุดศูนย์กลาง

จั่วม่อดวงตาครึ่งหลับครึ่งลืม ขณะที่จิตใจละเลียดสัมผัสความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนที่สุดของกระบี่ผลึกน้ำแข็ง

ทันใดนั้น กระบี่ผลึกน้ำแข็งพลันหายวับไปอย่างไร้สุ้มเสียง ทิ้งไว้เพียงระลอกวงกลมโปร่งใสกระเพื่อมพลุ่งพล่านกลางเวหา

ติ๊ง!

สุ้มเสียงแผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้กังวานขึ้นชั่ววูบหนึ่ง

กระบี่ผลึกน้ำแข็งทะลวงเข้าไปในผาหินของหุบเขา ทิ้งไว้เพียงรูเล็กแคบรูหนึ่ง ชั่วครู่ต่อมา พื้นผิวศิลาบริเวณรอบรูเล็กแคบนั้นพลันปรากฏชั้นน้ำแข็งบางๆ ปกคลุมไว้อย่างแน่นหนา

กระบี่เป็นเช่นสายน้ำ คล้ายจริงคล้ายไม่จริง ทั้งยังไร้รูปร่าง

จั่วม่อหลับตาลง หวนระลึกทบทวนกระบวนการทั้งหมด นึกถึงเส้นทางที่กระบี่ผลึกน้ำแข็งกรีดวาดเป็นเส้นโค้งอันจริงแท้ชนิดหนึ่ง ราวกับสายน้ำรินหลั่งลงจากภูผา ทั้งราบเรียบ ลื่นไหล และสอดคล้องกับธรรมชาติถึงขีดสุด ท่วงท่านี้สมควรเป็น [ธาราไหลหลั่ง] ตามที่กล่าวไว้ในเคล็ดกระบี่เพลิงธารา ถือเป็นความคืบหน้าก้าวเล็กๆ ก้าวหนึ่ง แต่จั่วม่อไม่พอใจอย่างยิ่ง กระบวนท่าเมื่อครู่หากหลอมรวมเจตจำนงกระบี่เข้าไปด้วย กระบี่นี้สมควรทะลวงลึกเข้าไปในหน้าผาไม่น้อยกว่าสามฉื่อ

ทันใดนั้นในจิตใจของจั่วม่อพลันรู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งเข้ามาในหุบเขา ระยะนี้นอกเหนือจากฝึกปรือเพลงกระบี่แล้ว เวลาที่เหลือทั้งหมดของมันทุ่มเทลงไปในการเข้าฌาน ดังนั้นนอกจากฝีมือกระบี่จะรุดหน้าดุจติดปีกบินแล้ว พลังบำเพ็ญเพียรก็ยังเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว!

“ศิษย์พี่หญิง” จั่วม่อพบเห็นหลี่อิงฟ่ง ค่อยคลายการระวังป้องกันลง

หลี่อิงฟ่งพอเห็นสภาพจั่วม่อพลันสะท้านขึ้นคราหนึ่ง จากนั้นนางขมวดคิ้วฉับ “ศิษย์น้อง การต่อสู้แม้สำคัญ แต่เร่งรีบเกินไปก็ไม่ดี หากเจ้าเหน็ดเหนื่อยเกินไป เกรงว่าจะได้ผลตรงกันข้ามเสียมากกว่า”

“ข้าไม่เป็นไร” จั่วม่อตอบ

“นี่ให้เจ้า” หลี่อิงฟ่งไม่ทราบจะปรามจั่วม่ออย่างไร ได้แต่ยื่นม้วนหยกมาให้ “ศิษย์พี่หญิงซวีอีเซี่ยกลับมาถึงสำนักแล้ว ม้วนหยกนี้เป็นนางมอบให้แก่ข้า ภายในบันทึกไว้ด้วยภาพการต่อสู้ครั้งหนึ่งของศิษย์พี่หลัวหลี เจ้าควรหาเวลาว่างลองชมดู”

จั่วม่อนิ่งงัน มันไม่เคยคาดคิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ก่อนหน้าที่ศิษย์พี่เหวยเสิ้งจะเข้าสู่ด่านจู้จี ศิษย์พี่หลัวหลีรั้งตำแหน่งยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักมาโดยตลอด แม้กระทั่งศิษย์พี่เหวยเสิ้งยังเคยเป็นเพียงข้ารับใช้กระบี่ของหลัวหลี จั่วม่อกระหายใคร่รู้ยิ่งว่าที่แท้พลังฝีมือของหลัวหลีเก่งกาจถึงขั้นใด เห็นศิษย์พี่หญิงหลี่อิงฟ่งดูเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง มันซาบซึ้งใจยิ่ง ประสานมือพลางกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่หญิง”

“นี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ศิษย์พี่หญิงสามซวีอีเซี่ยกลับมา” หลี่อิงฟ่งกล่าว “ศิษย์น้องเจ้าต้องฝึกฝนให้ดี ไม่เพียงศิษย์พี่หญิงซวีอีเซี่ยกลับมาแล้ว ว่ากันว่าต้าซือเจี่ยกงซุนฉิง ก็กำลังจะกลับมาในเร็วๆ นี้ด้วย”

“อืม ข้าจะพยายาม!” จั่วม่อรับคำอย่างอาจหาญ

หลี่อิงฟ่งกล่าวเตือนอีกสองสามประโยค ก่อนจะอำลาไป

กลับเข้าไปในหุบเขา จั่วม่ออดใจไม่ไหว รีบประจุพลังปราณลงไปในม้วนหยก

ที่นั่นคล้ายว่าเป็นสนามรบในเหมืองใต้ดิน เห็นแสงสลัวรางและมืดมาก จั่วม่ออดขมวดคิ้วไม่ได้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเคยชินกับแสงแดดมากเกินไปหรือไม่ แต่มันพบว่าที่จริงมันไม่ชมชอบสถานที่ใต้ดินอันมืดมนนี้เลย พยายามสะกดกลั้นความรังเกียจเดียดฉันท์ในใจ อารมณ์ของมันแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

นี่สมควรเป็นเหมืองแร่ที่หลัวหลีดูแลรับผิดชอบ

ศิษย์พี่หลัวหลีนิสัยเย็นชา ความสัมพันธ์กับศิษย์พี่คนอื่นก็ไม่ได้ดีงามเท่าใด การดูแลควบคุมเหมืองแร่ของสำนักเป็นภาระหน้าที่อันหนักหนาสาหัส ต้องอยู่ใต้ดินเป็นเวลานาน ทั้งน่าเบื่อและยากจะทานทน นอกจากศิษย์พี่หลัวหลีแล้ว ไม่มีผู้ใดยินดีจะไป

จั่วม่อเฝ้าชมดูอย่างระมัดระวังถึงขีดสุด กลัวว่าจะพลาดรายละเอียดใด

          มันเห็นผู้คนกลุ่มหนึ่งยืนเผชิญหน้ากับศิษย์พี่หลัวหลี

“พี่น้องข้า ในเมื่อเราไม่สามารถกินอิ่ม จะอย่างไรก็ต้องตาย แทนที่จะยอมอดตาย เราควรต่อสู้กับมันไม่ดีกว่าหรือ!” คนผู้หนึ่งกู่ร้อง แต่สองขาสั่นระริกของมันเปิดเผยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงในใจอย่างชัดเจน คนอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่ดวงตาของพวกมันแดงฉาน

จั่วม่อประหวัดนึกขึ้นได้ว่ามันเคยได้ยินเรื่องทาสฝึกตนจากรายงานข่าวในอินกุย คนเหล่านี้สมควรเป็นทาสฝึกตนนั่นเอง

เห็นดวงตาของผู้คนเหล่านี้ จั่วม่อนึกถึงสัตว์ร้ายที่กำลังจนตรอกขึ้นมาในฉับพลัน พวกมันคล้ายจะเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่?

“หวงเจ๋อ ข้าอุตส่าห์ยกให้เจ้าเป็นหัวหน้า เจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ?”

“หัวหน้า?” ผู้นำของกลุ่มคนฝืนยิ้มขมขื่น “แม้แต่ชีวิตยังรักษาไว้ไม่ได้ เป็นหัวหน้าไปทำอะไร? ทุกวันนี้จิงสือภายในเหมืองยิ่งมายิ่งขุดหาได้ยากเย็น แต่กฏเกณฑ์ของพวกเจ้าไม่เคยเปลี่ยน เฮอะ จิงสือหนึ่งชิ้นแลกกับอาหารเล็กน้อย พวกเราขุดลึกลงไปเรื่อยๆ การกัดกร่อนของพลังงานพิภพยิ่งนานยิ่งแข็งแกร่งขึ้น สองเดือนก่อนพวกเราตายไปสิบคน เดือนที่แล้วเสียชีวิตไปอีกสามสิบ! เดือนนี้...เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น แต่พวกเราตายไปแล้วสามสิบห้าคน!”

ยิ่งกล่าวฝูงชนยิ่งเร่าร้อนขึ้นมา ที่เคยสั่นก็เลิกสั่นไปนานแล้ว ดวงตาแดงฉานของพวกมันไม่เหลือวี่แววหวาดกลัวอีกต่อไป มีเพียงความคั่งแค้นเดือดดาลทะยานฟ้า!

หลัวหลีมองพวกมันอย่างไม่แยแส

“ความหวัง! จะอย่างไรไม่มีความหวังมารดามันอีกต่อไป!” ดวงตาของคนผู้นั้นเต็มไปเส้นเลือด ตะโกนก้อง “พวกเรามาอาละวาดแสวงหาความสำราญกันเถอะ!”

“ความสำราญ?” หลัวหลีจู่ๆ ก็กล่าวเสียงเย็นเยียบ “เช่นนั้นข้าจะมอบความสำราญให้แก่พวกเจ้าเอง!”

เพียงจบคำ โดยปราศจากเค้าลางล่วงหน้า เส้นสีเลือดบางๆ เส้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นบนลำคอของผู้คน ฝูงชนที่กำลังตื่นเต้นและไม่อาจควบคุมตัวเอง ไม่ทันรู้สึกตัวถึงเส้นสีเลือดอันอำมหิตนั้น

พรูด พรูด พรูด!

โลหิตฉีดพ่นสูงเป็นลำจากลำคอที่ขาดราบเรียบของพวกมัน เสาเลือดหลายสิบเสาพวยพุ่งขึ้นดุจน้ำพุโดยพร้อมเพรียงกัน โลหิตอุ่นระอุฉีดพ่นไปทั่วเพดานและผนังของโถงถ้ำ ย้อมทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีแดงฉานผืนมหึมา น่าสยดสยองถึงที่สุด

ท่ามกลางสำเนียงโลหิตพร่างพรม แทรกไว้ด้วยเสียงหล่นกลิ้งประปราย เห็นศีรษะของเหล่าทาสฝึกตนหล่นลงไปกลิ้งอยู่ข้างเท้าของซากไร้หัวของพวกมันเอง ศพไร้ศีรษะหลายสิบซากยืนพ่นน้ำพุโลหิตออกมาจากลำคอไม่ขาดสาย ศีรษะที่ข้างเท้าของพวกมันอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ทั้งไม่มีริ้วรอยใด เค้าหน้ากระจ่างชัด สามารถมองเห็นสีหน้าของพวกมัน เห็นดวงตาที่เบิกกว้างก่อนตายของพวกมัน หลังจากนั้นสักครู่ ซากศพไร้หัวของพวกมันค่อยล้มฟาดลง

“เอื้อก......” เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมด จั่วม่อกระเพาะปั่นป่วน ขยักขย้อนสุดจะทานทน มันก้มลงกับพื้น เริ่มต้นอาเจียนออกมาหมดไส้หมดพุง

มันไม่เคยคาดคิดเลย ว่าวันหนึ่งมันจะต้องมาชมดูภาพอันเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต และน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงถึงเพียงนี้!

ทั้งร่างมันขมวดเกร็ง บุคคลที่ไม่ผิดอันใดกับสัตว์ร้าย ไม่ใส่ใจชีวิตของผู้อื่นเช่นนี้น่ะหรือ? นี่หรือศิษย์พี่หลัวหลี? นานมาแล้วมันมักเคยได้ยินว่าศิษย์พี่หลัวหลีนิสัยใจคอไม่ค่อยดี แต่บัดนี้ค่อยทราบกระจ่างว่า ‘นิสัยใจคอเลวร้าย’ ของศิษย์พี่หลัวหลีแตกต่างไปจากสิ่งที่มันเคยเข้าใจมากถึงเพียงไหน

ทาสฝึกตน? พวกมันคือทาสฝึกตน? แต่ไฉนทาสฝึกตนดูไม่มีอันใดแตกต่างไปจากตัวมันเลยเล่า?

ความคิดนี้กะพริบวาบอยู่ในในมัน จั่วม่อไม่เคยคิดว่ามันเป็นบุคคลที่จะทุกข์เทวษต่อสภาวะของจักรวาล ทั้งไม่คิดว่ามันเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ในความเห็นของมัน มันไม่มีคุณสมบัติที่จะเห็นอกเห็นใจผู้ใด ตัวมันเองยังดิ้นรนอยู่ในชั้นล่างสุดของสังคมอยู่เลย แม้ว่ายามนี้มันเป็นศิษย์ฝ่ายใน ทั้งยังเป็นเกษตรกรปราณผู้หนึ่ง แต่ที่จริงมันยังคงเป็นเพียงบุคคลตัวเล็กๆ ที่ไร้พลังอำนาจและความสลักสำคัญใด

สองตาของมันหยุดลงที่ซากศพไร้ศีรษะเหล่านั้น จ้องมองศีรษะและเลือดเนื้อฉีดพ่นพร่างพรมไปทั่วทุกหนแห่ง... ...

สายตาของศิษย์พี่หลัวหลีทั้งเย็นชาและไม่แยแส ภาพสยดสยองเบื้องหน้ามัน ราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญยิ่งในสายตาของศิษย์พี่

จั่วม่อรู้สึกขนลุกเกรียว สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ไม่อาจควบคุมความพรั่นพรึงในใจมันได้

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มันใช้เวลาทุกวี่วันในทุ่งนาปราณ ไม่เคยคาดคิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาเผชิญกับเลือดเนื้อและซากศพ

ไม่ทราบว่าหลัวหลี ในการทดสอบของสำนัก ...จะฆ่ามันหรือไม่?

หรือจะตัดแขนตัดขามัน?

จั่วม่อจิตใจเปลี่ยนเป็นสับสนวุ่นวาย ความพรั่นพรึงแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ไม่ผิดอันใดกับเพลิงไฟสีแดงดำในทะเลแห่งจิตสำนึกของมัน ... มันกลัวเหลือเกิน!

 

หอกระบี่หนัก นี่เป็นที่พักส่วนตัวของฉินเฉิง แม้ว่าบางเวลามันมักออกไปด้านนอกสำนัก แต่ยังคงมีผู้คนคอยดูแลทำความสะอาดไว้เป็นอย่างดี ภายในหอ ผู้คนล้วนครึกครื้นมีชีวิตชีวายิ่ง

ฉินเฉิงแย้มยิ้ม “พี่น้องเรา นานมากแล้วที่ไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา วันนี้เมื่อสามารถรวมตัวกันได้ สมควรร่ำดื่มให้สาสมใจ”

สวี่อี้รีบโบกมือ “น้ำชา น้ำชา ไม่เอาสุรา”

สตรีอาภรณ์เขียวที่นั่งข้างสวี่อี้ ทั้งอรชรอ้อนแอ้นและน่ารักน่าเอ็นดู นางคือซวีอีเซี่ย นางจุ๊ปากพลางกล่าวอย่างซุกซน “ศิษย์พี่รองยังคงอ่อนแอเช่นเดิม ไม่มีความก้าวหน้าแม้แต่น้อย!”

สวี่อี้ได้แต่ส่ายหน้า รู้สึกอับจนปัญญากับศิษย์น้องหญิงผู้นี้อย่างแท้จริง ซวีอีเซี่ยทั้งซุกซนทั้งน่าเอ็นดู นิสัยใจคอร่าเริงแจ่มใส ล่วงรู้วิธีประจบเอาใจเหล่าผู้อาวุโส นางเป็นศิษย์ที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดผู้หนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นที่ชื่นชอบในหมู่ศิษย์ฝ่ายในทั้งหมด สวี่อี้ได้รับความทุกข์ทรมานในเงื้อมมือนางไม่น้อย และได้แต่ฝืนยิ้มสู้ตลอดมา

หลัวหลีนั่งอยู่อีกข้าง ดื่มชาอย่างปราศจากความวิตกกังวล ใบหน้าเย็นชา ห่าวหมิ่นนั่งถัดจากมัน เวลานี้เอง นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “เป็นเรื่องดีที่ทุกผู้คนล้วนกลับมา หากพวกท่านยังไม่มา เกรงว่าเหล่าลูกสำส่อนพวกนั้นจะปีนขึ้นไปบนศีรษะพวกเราแล้ว!”

ได้ยินห่าวหมิ่นกล่าววาจาขัดหู สวี่อี้กับซวีอีเซี่ยสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจอยู่บ้าง

“ศิษย์น้องหญิงอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล พวกเราล้วนเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน หากไปเข้าหูท่านเจ้าสำนักเข้า เจ้าจะถูกลงโทษอีก” ฉินเฉิงตำหนิ มันมักทรงอำนาจเสมอ ได้ยินเช่นนี้ ห่าวหมิ่นได้แต่หุบปากเงียบงันไป

“อย่างไรก็ตาม” น้ำเสียงของฉินเฉิงแปรเปลี่ยนไป สายตามองกราดไปยังทุกผู้คน “พวกเรารู้จักกันและเติบโตร่วมกันมาแต่เล็กแต่น้อย รักใคร่ปรองดองเหมือนพี่น้อง ช่วยเหลือซึ่งกันและกันก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม” หยุดมองทุกคนอีกรอบ กล่าวว่า “เหล่าผู้อาวุโสมีความคิดของพวกท่าน แต่เรามีมิตรภาพของเรา!”

ทุกผู้คนพยักหน้าพร้อมกัน พวกมันเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก เมื่อมีใครบางคนแทรกเข้ามา พวกมันย่อมไม่เต็มใจ

“ฮิฮิ” ซวีอีเซี่ยกล่าวซุกซน “ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวถูกต้อง แม้ว่าศิษย์พี่หลัวหลีจะชอบทำหน้าเย็นชาตลอดเวลา แต่ข้ายังคงต้องช่วยเหลือท่าน ข้ามอบม้วนหยกที่บันทึกตอนที่ศิษย์พี่สังหารทาสฝึกตนสามสิบกว่าคนในกระบี่เดียว ให้แก่หลี่อิงฟ่ง เวลานี้คงถึงมือเจ้าผีดิบตัวน้อยๆ แล้วกระมัง”

“เจ้าไฉนเปิดเผยเพลงกระบี่ของศิษย์พี่ให้มันชมดู!” ได้ฟังเช่นนี้ ห่าวหมิ่นโต้อย่างขุ่นเคือง

ซวีอีเซี่ยหาได้เกรงกลัวห่าวหมิ่นแม้แต่น้อยไม่ นางเหลือกตาอย่างไม่ใส่ใจ “นี่เรียกว่าจู่โจมจิตใจ! เจ้าผีดิบน้อยนั่นเป็นแค่ชาวนาผู้หนึ่ง จะทนต่อภาพเช่นนี้ได้อย่างไร? เมื่อได้ชมดูแม้แต่ข้ายังหวาดกลัวแทบตาย! ข้าเดาว่ามันคงกลัวจนเป็นลมเลยทีเดียว! ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความพรั่นพรึงลงไปในใจมัน จากนั้นมันจะ... ...”

นางยังไม่ทันจะกล่าวจบ หลัวหลีพลันผุดลุกขึ้น สีหน้ามืดครึ้ม มันกล่าวเสียงเย็นเยียบ “เพียงต่อกรกับเกษตรกรปราณผู้หนึ่ง ข้า หลัวหลีผู้นี้ ยังจะต้องพึ่งพาเล่ห์กลชั้นต่ำเช่นนั้นอีกหรือ!”

กล่าวจบมันก็สะบัดหน้าเดินจากไป

 

ติดตามตอนใหม่ก่อนใครที่เฟซบุ๊คแฟนเพจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด